บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร: ปัญหาและข้อเสนอแนะ (ฉบับสรุปย่อ)

โดย Suwanchai Plc เมื่อ 20 มิถุนายน 2011 เวลา 19:43 น.
         คณะกรรมการมรดกโลกในสมัยประชุมที่ 32 ณ เมืองควิเบก ประเทศแคนนาดา  เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ได้มีมติที่ 32 COM 8B.102  ให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก  โดยให้กัมพูชาส่งแผนบริหารจัดการฉบับสมบูรณ์พร้อมทั้งแผนที่ฉบับสรุปสุดท้าย ให้ศูนย์มรดกโลกภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553  ถึงแม้คณะผู้แทนฝ่ายไทยได้คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ต่อคณะกรรมการมรดกโลกทั้งในสมัยประชุมดังกล่าวและในสมัยประชุมที่ 33  ณ  เมืองเซบีญา  ประเทศสเปน  แต่ไม่บังเกิดผล 
        กัมพูชาได้ยื่น รายงานสถานการณ์อนุรักษ์ปราสาทพระวิหารพร้อมแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร ต่อศูนย์มรดกโลกเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553  เพื่อให้คณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาอนุมัติในการสมัยประชุมที่ 34  ณ เมืองบราซิเลีย  ประเทศบราซิล ช่วงวันที่  25 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553  แต่ปรากฏว่าศูนย์มรดกโลกได้จัดทำเอกสาร WHC-10/34.COM/7B.Add.3  ซึ่งรายงานสรุปสถานการณ์อนุรักษ์ปราสาทพระวิหารตามรายงานของกัมพูชาและส่ง ให้กรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องในวันที่  27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553  ทั้งๆ ที่ตามกฎขั้นตอนการปฏิบัติของคณะกรรมการมรดกโลกในข้อ 45  ได้กำหนดให้เอกสารที่เกี่ยวกับวาระการประชุมต้องส่งให้กรรมการมรดกโลกและผู้ ที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยหกสัปดาห์ก่อนเริ่มสมัยการประชุม  ไทยซึ่งมีนายสุวิทย์  คุณกิตติ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนได้ขอให้ที่ประชุมเลื่อนการพิจารณาเอกสารดังกล่าวออกไป ก่อน  โดยมีเหตุผลที่สำคัญคือแผนบริหารจัดการที่กัมพูชาเสนอมีการกำหนดเขตกันชน (Buffer zone) ที่ไม่ชัดเจนซึ่งอาจรุกล้ำเข้ามาในเขตไทย  จึงควรรอให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC)  ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในบริเวณดังกล่าวให้เสร็จสิ้นก่อน   ในขณะที่กัมพูชาซึ่งมีนายซกอานเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนยืนยันให้ที่ประชุม พิจารณาอนุมัติแผนบริหารจัดการดังกล่าว  ซึ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้  ในที่สุดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553  ประธานกรรมการมรดกโลกชาวบราซิลได้เข้ามาไกล่เกลี่ยจนทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ โดยให้เลื่อนการพิจารณาเอกสารดังกล่าวไปในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้ง ต่อไป
        ในวันที่ 25–27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554  ได้มีการประชุมหารือระหว่างไทยกับกัมพูชาที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโก  กรุงปารีส  ในเรื่องแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร  แต่ก็ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ  ได้  ถึงแม้นางอิรินา โบโควา  ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกได้เข้ามาช่วยเรื่องการเจรจาของทั้งสองฝ่ายก็ตาม  ดังนั้นเรื่องดังกล่าวจึงขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก  ในสมัยประชุมที่ 35  ณ กรุงปารีส  ประเทศฝรั่งเศส  ช่วงวันที่  19–29 มิถุนายนพ.ศ. 2554   โดยเรื่องปราสาทพระวิหารได้จัดอยู่ในวาระที่  7B  ลำดับที่  62  และคาดว่าคณะกรรมการมรดกโลกจะพิจารณาเรื่องกล่าวในวันที่  23  หรือ  24   มิถุนายนนี้           
        แผน บริหารจัดการปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาเสนอนั้นได้จัดทำโดย ดร.ดิเวย์  กัพต้า  ชาวอินเดียซึ่งเป็นสถาปนิกการอนุรักษ์และผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการมรดก  และเคยได้รับมอบหมายจาก ICOMOS ในการเตรียมรายงาน 2007 ICOMOS การประเมินการเสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก  เป็นที่น่าสังเกตว่าแผนบริหารจัดการนี้ไม่ได้จัดทำโดยชาวกัมพูชา  ทั้งๆ ที่กัมพูชาอ้างตลอดมาว่าปราสาทพระวิหารเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศตน  แต่กลับให้ชาวอินเดียเป็นผู้จัดทำแผนให้   แผนบริหารจัดการดังกล่าวแบ่งออกเป็น 7 บท  มีจำนวนทั้งหมด 115 หน้า  และมีเนื้อหาเฉพาะส่วนที่สำคัญที่เกี่ยวกับประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องเขตแดน ดังต่อไปนี้

        บทที่ 1 ความเป็นมาและวิธีการ  มีข้อความในข้อ 1.1 ความเป็นมา หน้าที่ 2  กล่าวว่า  “ภาย ใต้สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม  ค.ศ. 1904 และ 1907  เส้นเขตแดนระหว่างกัมพูชากับไทยตามเทือกเขาดงรักได้ถูกกำหนดขึ้น  ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1963  ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่กรุงเฮก  ปราสาทพระวิหารและบริเวณข้างเคียงได้กลับมาอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา”  ข้อ ความดังกล่าวอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามีความ ชัดเจน  และทั้งสองประเทศไม่มีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนในบริเวณปราสาทพระวิหารแต่อย่าง ใด  ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคณะผู้แทนฝ่ายไทยที่จะต้องชี้แจงให้คณะกรรมการมรดก โลกและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้
        บทที่ 2  มรดกทางวัฒนธรรมและความสำคัญของปราสาทพระวิหาร  มีข้อความในข้อ 2.3 สถาปัตยกรรมของปราสาทพระวิหาร  หน้าที่ 9  ตอนหนึ่งกล่าวว่า  ปราสาทสามารถเข้าถึงได้สองทางโดยผ่านบันไดใหญ่  ทางหนึ่งจากทิศตะวันออก  และอีกทางหนึ่งจากทิศเหนือ  จะเห็นว่าผู้จัดทำแผนเขียนในลักษณะที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่ามีบันไดทางขึ้น ใหญ่สองทาง  โดยเลือกที่จะกล่าวถึงบันไดทางทิศตะวันออกก่อนบันไดทางทิศเหนือ  ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าบันไดทางทิศตะวันออกเป็นบันไดทางขึ้นหลัก  แต่ที่จริงแล้วบันไดทางทิศตะวันออกเป็นทางขึ้นที่เรียกกันว่า “ช่องบันไดหัก”  โดยเป็นบันไดหินที่มีขนาดเล็กและทางขึ้นโดยบันไดดังกล่าวมีความสูงชันมาก  ใช้เป็นทางขึ้นมาจากฝั่งเขมรต่ำซึ่งก็คือกัมพูชาในปัจจุบัน  บันไดทางทิศเหนือต่างหากที่เป็นบันไดทางขึ้นหลักซึ่งมีขนาดใหญ่และอยู่ด้าน หน้าตัวปราสาท  บันไดดังกล่าวเป็นบันไดหินช่วงแรกกว้างถึง 8 เมตร และยาว 78.50 เมตร  ช่วงที่สองกว้าง 4 เมตร และยาว 27 เมตร   บันไดดังกล่าวใช้เป็นทางขึ้นจากฝั่งไทย  คณะผู้แทนฝ่ายไทยควรเสนอให้ปรับปรุงเอกสารในประเด็นดังกล่าวให้ตรงกับข้อ เท็จจริง  และสร้างความเข้าใจในเรื่องบันไดทางขึ้นปราสาทพระวิหารให้กับคณะกรรมการมรดก โลกและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะจะช่วยทำให้เกิดคำถามว่าแล้วทำไมปราสาทพระวิหารจึงเป็นของกัมพูชาใน เมื่อทางขึ้นหลักมาจากฝั่งไทย  อันจะเป็นประโยชน์ต่อการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกต่อ ไป
        บทที่ 3  ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ  มีการกำหนดวิสัยทัศน์ในข้อ 3.1 หน้าที่ 31  โดยกำหนดบางส่วนว่า  “เข้าถึงได้ทุกคน”  และ “เพื่อสนับสนุนสันติภาพ”  แต่ ปรากฏว่าหลังจากปราสาทพระวิหารได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว  ในช่วงที่กัมพูชาเปิดปราสาทพระวิหารให้บุคคลทั่วไปเข้าเยี่ยมชมได้  กัมพูชากลับไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าเยี่ยมชมปราสาทพระวิหาร  ซึ่งขัดกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดในเรื่อง  “เข้าถึงได้ทุกคน”   และยิ่งไปกล่าวนั้นการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกยังเป็นต้นเหตุ ให้เกิดการความขัดแย้งและการสู้รบกันระหว่างไทยกับกัมพูชาในบริเวณเขาพระ วิหารและบริเวณใกล้เคียง  จนมีผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นทหารและพลเรือนทั้งไทยและกัมพูชาจำนวนมาก  นอกจากนี้ในบางครั้งกัมพูชายังใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานที่ตั้งของกำลังทหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อต่อสู้กับไทย  ซึ่งขัดกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดในเรื่อง “เพื่อสนับสนุนสันติภาพ”  อย่าง ชัดเจน  คณะผู้แทนฝ่ายไทยจึงควรยกประเด็นดังกล่าวซึ่งขัดกับวิสัยทัศน์ที่กัมพูชาได้ กำหนด  ให้คณะกรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบโดยทั่วกัน  และเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการแก้ไข   
        บทที่ 4  การบ่งชี้ประเด็นและข้อแนะนำ  มีข้อความในข้อ 4.1  ทรัพย์สินของสถานที่  หน้าที่ 40  กล่าวบางส่วนว่า  สถานที่มรดกโลกที่ได้ขึ้นทะเบียนได้ถูกแสดงใน RGPP  ที่ล้อมปิดดังแสดงในหน้า 52  เขตที่แตกต่างตามที่แสดงใน RGPP เป็นเขตชั่วคราว  เพื่อสะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันของสถานที่”  และ “อย่าง ไรก็ตามกันชนไม่ได้รวมพื้นที่ทางทิศเหนือและตะวันตกของปราสาท  นี้ควรได้รับพิจารณาอย่างชั่วคราวเพราะการกำหนดเขตแดนขั้นสุดท้ายของกันชนจะ ได้ถูกกำหนดตามผลของ JBC ระหว่างกัมพูชากับไทย  RGPP (Revised Graphic Plan of the Property)  ที่กล่าวถึงนั้น  เป็นแผนผังเดิมที่กัมพูชาได้ยื่นต่อศูนย์มรดกโลก  และคณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาแล้วตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2551 ในสมัยประชุมที่ 32  และได้มีมติที่ 32 COM 8B.102  ให้กัมพูชาส่งแผนบริหารจัดการฉบับสมบูรณ์พร้อมทั้งแผนที่ฉบับสรุปสุดท้ายให้ ศูนย์มรดกโลกภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553   แต่จนถึงปัจจุบันกัมพูชาก็ยังไม่ได้ส่งแผนที่ฉบับสรุปสุดท้ายดังกล่าว  และยังคงใช้แผนผัง  RGPP  อ้างอิงแทนแผนที่ในแผนบริหารจัดการฉบับนี้    
ใน แผนผัง  RGPP นั้น  ได้มีการกำหนดเขตกันชนโดยใช้เพียงสัญญาลักษณ์เลข 2  แทนโดยไม่มีการลากเส้นแสดงอาณาเขตใดๆ ทั้งสิ้น  ซึ่งหากดูจากแผนผัง  RGPP  จะพบว่าเขตกันชนที่กำหนดไม่มีความชัดเจนเลย  จึงไม่ทราบได้ว่าครอบคลุมถึงพื้นที่บริเวณใดบ้าง  และรุกล้ำเข้ามาในเขตไทยหรือไม่  ดังนั้นคณะผู้แทนฝ่ายไทยจึงไม่ควรรับแผนบริหารจัดการดังกล่าว  และควรเสนอให้คณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนการพิจารณาแผนการบริหารจัดการดังกล่าว ไปก่อนจนกว่ากัมพูชาจะได้จัดทำแผนที่ฉบับสรุปสุดท้ายตามมติที่ 32 COM 8B.102  ที่มีการกำหนดเขตต่างๆ ในแผนที่ให้มีความละเอียดถูกต้องชัดเจน  หลังจาก JBC ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในบริเวณดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว  นอกจากนี้คณะผู้แทนฝ่ายไทยควรใช้ประโยชน์ข้อความดังกล่าวข้างต้น  ชี้ให้คณะกรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักว่า  กัมพูชาเองก็ได้ยอมรับว่าบริเวณปราสาทพระวิหารยังมีความไม่ชัดเจนของเขตแดน ระหว่างไทยกับกัมพูชา  และต้องรอจนกว่า JBC จะได้กำหนดเขตแดนในบริเวณดังกล่าวให้เสร็จสิ้นก่อน
        บทที่ 5  การอนุรักษ์และโบราณคดี – การประเมินและยุทธ์ศาสตร์  มี ข้อความในข้อ 5.4 การประเมินและการแทรกแซงเพื่อการอนุรักษ์  หน้าที่ 75  กล่าวตอนหนึ่งถึงบันไดใหญ่และลานนาคราช  รวมทั้งตลาดและสระน้ำ  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า  ผู้จัดทำแผนได้ยอมรับว่าบันไดทางขึ้นทางทิศเหนือเป็นบันไดทางขึ้นหลักซึ่งมี ความยิ่งใหญ่  แต่ผู้จัดทำแผนให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนขั้นของบันไดผิด  สำหรับตลาดที่กล่าวถึงน่าจะหมายถึงตลาดที่ตั้งอยู่ในฝั่งไทยก่อนถึงบันไดทาง ขึ้นดังกล่าว  ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วตลาดนี้ชุมชนกัมพูชาพึ่งเริ่มเข้ามาตั้งร้านค้าเพื่อ ขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวในปี พ.ศ. 2541  ไม่ได้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณอย่างที่ผู้จัดทำแผนเข้าใจ  ส่วนสระน้ำที่กล่าวถึงน่าจะหมายถึงสระตราวซึ่งเป็นสระน้ำอยู่ในฝั่งไทย  โดยสระตราวนี้ถือว่าอยู่ในกลุ่มโบราณสถานประกอบของปราสาทพระวิหารที่อยู่ใน ฝั่งไทย เช่นเดียวกับ  ผามออีแดง  สถูปคู่  และแหล่งตัดหินที่ไปสร้างปราสาท  เป็นต้น  แต่ผู้จัดทำแผนกลับไม่ได้ให้ความสำคัญแก่สระตราว  และส่วนประกอบอื่นๆ ที่อยู่ในฝั่งไทยเลย  สิ่งที่กล่าวทั้งหมดข้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้จัดทำแผนยังมีความรู้และ ความเชี่ยวชาญไม่เพียงพอเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารและเขาพระวิหาร  คณะผู้แทนฝ่ายไทยควรเสนอให้ปรับปรุงเอกสารในส่วนนี้ให้ตรงกับข้อเท็จจริง   
        บทที่ 6  การดำเนินการแผนงาน   มี ข้อความในข้อ 6.1 การคุ้มครองที่บัญญัติตามกฎหมาย  หน้าที่ 97  กล่าวถึงกฎหมายต่างๆ ที่กัมพูชาประกาศใช้สำหรับการคุ้มครองปราสาทพระวิหารและบริเวณโดยรอบ  ดังนั้นหากไทยยอมรับแผนบริหารจัดการนี้  กัมพูชาอาจนำมากล่าวอ้างได้ว่าไทยยอมรับสิ่งที่กฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติไว้ ได้   จากการตรวจสอบพบว่า  พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งสถานที่ปราสาทพระวิหาร  ค.ศ. 2003  อนุกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งป่าที่คุ้มครองสำหรับการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช และสัตว์ “พระวิหาร”  ค.ศ. 2002  และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดขอบเขตของสถานที่ปราสาทพระวิหาร  ค.ศ. 2006     มีการกำหนดอาณาเขตที่ล่วงล้ำเข้ามาในเขตไทย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดขอบเขตของสถานที่ปราสาทพระ วิหาร ค.ศ. 2006  ในมาตรา 4  ได้กำหนดเขต 1  เขต 2  และเขต 3  ตามแผนที่ประกอบที่เกินเข้ามาในเขตไทยอย่างชัดเจน  คณะผู้แทนฝ่ายไทยจึงควรยกประเด็นนี้เป็นเหตุผลประกอบการคัดค้านแผนบริหาร จัดการดังกล่าว
        บทที่ 7  โปรแกรมที่เสนอสำหรับการปฏิบัติ  ในบทนี้ไม่มีเนื้อหาส่วนที่สำคัญที่เกี่ยวกับประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องเขตแดน
          ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านโดยทั่วไปที่จะได้ทราบถึง รายละเอียดที่สำคัญของแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารในส่วนที่มีผลกระทบต่อ ประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องเขตแดน  รวมทั้งหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่คณะผู้แทนฝ่ายไทยในนำไปใช้ประกอบการคัดค้าน แผนบริหารจัดการดังกล่าวในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกต่อไป

ไทยยันไม่รับแผนจัดการพระวิหารเขมร

รมว. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยืนยัน ท่าทีต่อผู้อำนวยการยูเนสโก ว่า ไทย ไม่ยอมรับแผนบริการจัดการของเขมร พร้อมนำแบบจำลอง3มิติพื้นที่ทับซ้อนชี้แจงมีการรุกล้ำไทย
นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะ หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ในการประชุม คณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 35 กล่าวภายหลังการเข้าพบ นางอิรินา โบโกวา ผู้อำนวยการยูเนสโก เพื่อนำแบบจำลอง 3 มิติของพื้นที่ทับซ้อน บริเวณเขาพระวิหาร เข้าชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา ที่เกิดขึ้น รวมถึง ประเด็นแผนบริหารกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามายังประเทศไทย

นายสุ วิทย์ ได้แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า ไทยจะไม่ยอมรับแผนบริหารจัดการของกัมพูชา ที่รุกล้ำดินแดนและอธิปไตยของไทย นอกจากนี้ ยังมีการหารือเกี่ยวกับร่างมติที่ประชุม ซึ่งมีข้อความและข้อเท็จจริงของทั้ง 2 ฝ่าย ที่ไม่ตรงกัน โดยไทยได้ขอให้ คณะกรรมการมรดกโลก บันทึกไว้ในการประชุมด้วย สำหรับ ทิศทางของการประชุมจะเน้นและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าระหว่างไทยกับกัมพูชา เพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน นอกจากนี้ ไทยยังเห็นด้วยกับข้อสรุปของยูเนสโก ที่จะปกป้องคุ้มครองตัวปราสาทพระวิหาร และทางออกที่ดีที่สุดที่ไทยเสนอ คือให้ กัมพูชาถอนทหารออกจากตัวปราสาท ส่วนเงินจำนวน 50,000 เหรียญสหรัฐฯ ที่ทางกัมพูชาขอจากยูเนสโก ไปใช้บำรุงรักษาตัวปราสาทพระวิหาร แต่ความจริงกลับนำไปสร้างหมู่บ้านรุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทยนั้น นายสุวิทย์ ได้ทำหนังสือประท้วงและขอให้ชี้แจงว่า สามารถทำได้หรือไม่

นอก จากนั้น นายสุวิทย์ ยังได้ชี้แจงกับ นางอิริน่า โบโกว่า ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโก ถึงท่าทีของไทย โดยมี นางอรชาต สืบสิทธิ์ รองผู้แทนถาวรของไทยประจำยูเนสโก ร่วมชี้แจงถึงแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ที่จะนำขึ้นหารือในที่ประชุมวันที่ 24 และ 25 มิถุนายนนี้ ส่วนความเป็นไปได้ที่จะมีการพิจารณาเรื่องนี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการรับฟังเหตุผลของที่ประชุม ซึ่ง นายสุวิทย์ เองก็ยอมรับว่า ฝ่ายกัมพูชา ได้พยายามอย่างเต็มที่เช่นกัน ที่จะโน้มน้าวใจคณะกรรมการมรดกโลก ให้เห็นชอบกับแผนบริหารจัดการของฝ่ายกัมพูชา

คุณวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ * ตอบอาจารย์พวงทอง ( ประชาไท )

ตอบอาจารย์พวงทอง (1): โปรดอย่าปล่อยให้ศาลโลกแปลคำผิด

วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ * 

ที่มา http://www.facebook.com/verapat.pariyawong

____________________________________________________________________________________

บท ความนี้เป็นการสนทนาทางวิชาการที่ต่อเนื่องจาก บทความ “คำเตือนถึงนักวิชาการ ต้องระวังการแปลคำทางสังคมศาสตร์” โดย ผศ. ดร. พวงทอง ภวัครพันธุ์ (“อ. พวงทอง”) เผยแพร่โดยประชาไท เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2554 ที่ http://www.prachatai3.info/journal/2011/06/35399

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ใจความสำคัญ:

ผู้ เขียนขอส่งคำเตือนด้วยความปรารถนาดีไปยังรัฐบาลรักษาการและผู้เกี่ยวข้อง (อีกครั้ง) เพื่อพิจารณาให้รอบคอบว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) กำลังเข้าใจจุดยืนไทยผิดหรือไม่?

ผู้เขียนเห็นว่านิติกรศาล โลกได้แปลถ้อยคำที่ตัวแทนฝ่ายไทยแถลงต่อศาลโลกเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2554 อย่างไม่รอบคอบ กล่าวคือ ไทยอธิบายเป็นภาษาฝรั่งเศสถึงรั้วลวดหนามที่ไทยนำไปกั้นรอบปราสาทพระวิหาร เพื่อแสดง “la limite de la zone du temple” ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าหมายถึง “ขอบเขตของบริเวณปราสาทพระวิหาร” หรือ “the limit of the Temple area”.

อย่างไรก็ดี นิติกรศาลโลกได้ทำเอกสารแปลคำแถลงของไทย (เอกสารแปล CR 2011/14  ฉบับ uncorrected  หน้าที่ 4) ซึ่งแปล “la limite de la zone du temple” เป็นภาษาอังกฤษว่า  “the boundary of the Temple area” ซึ่งในทางหนึ่งแม้อาจจะแปลได้ว่า “ขอบเขตของบริเวณปราสาทพระวิหาร” แต่ก็เป็นการใช้ถ้อยคำที่ไม่ระมัดระวัง ส่งผลให้มีผู้เข้าใจผิดเป็น “เขตแดนในบริเวณปราสาทพระวิหาร” ซึ่งเป็นการเข้าใจจุดยืนของไทยที่ผิดอย่างมีนัยสำคัญ.

แม้ เอกสารแปลฉบับนั้นจะไม่มีผลเป็นทางการ แต่ไทยไม่ควรนิ่งนอนใจปล่อยให้ถูกกัมพูชานำไปอ้างให้เสียรูปคดี หรือยิ่งไปกว่านั้น คือปล่อยให้สุ่มเสี่ยงต่อการเข้าใจไทยผิดโดยผู้พิพากษาได้. ผู้เขียนจึงเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบ และทักท้วงหรือชี้แจงหากเห็นว่าจำเป็น.

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ผู้ เขียนขอบคุณน้ำใจของ อ. พวงทอง ในฐานะนักวิชาการรุ่นพี่ที่ให้เกียรติร่วมสนทนาด้วย  แม้ผู้เขียนเองจะมีวัยวุฒิและคุณวุฒิที่น้อยกว่าก็ตาม และขอใช้โอกาสนี้กล่าวซ้ำอีกครั้งว่า แม้ผู้เขียนอาจไม่เห็นพ้องกับ อ. พวงทอง ทุกเรื่อง แต่งานเขียนของ อ. พวงทอง ในเรื่องปราสาทพระวิหารมีข้อคิดที่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะในแง่การให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่เกี่ยวข้องในอดีต และการดำเนินนโยบายระหว่างประเทศอย่างมีสติและจิตวิทยา ผู้เขียนเองเคยนำงานของ อ. พวงทอง บางส่วนไปแสดงในฐานะข้อมูลที่น่าสนใจ ขอเชิญชวนให้ผู้สนใจได้อ่านงานของ อ. พวงทอง และของผู้อื่นที่หลากหลายได้ที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple.

ที่ สำคัญที่สุด ผู้เขียนขอหวังร่วมกับ อ. พวงทอง ว่าการสนทนาเรื่องปราสาทพระวิหารและประเด็นสำคัญอื่นๆในสังคมไทย ไม่ว่าจะโดยนักวิชาการหรือผู้มีความเห็นท่านใด มิควรเป็นการโจมตีหรือเพิกเฉยเย็นชา แต่ควรสนทนาแลกเปลี่ยนกันด้วยไมตรีจิต หลักการ เหตุผล และน้ำใจของผู้ที่ล้วนห่วงใยต่อสังคมไม่น้อยไปกว่ากัน ดังที่ผู้เขียนได้รับเกียรติให้สนทนาตอบบทความ “คำเตือนถึงนักวิชาการฯ” ของ อ. พวงทอง ดังนี้.

1. เรื่องความหมายของ “la limite”  “frontier” และ “boundary”  

อ. พวงทอง กล่าวในย่อหน้าที่ 2 ว่า ผู้เขียนเห็นว่า “…‘la limite-boundary’ นอกจากจะหมายถึงเส้นเขตแดนแล้ว ยังหมายถึงพื้นที่ที่ติดกับเส้นเขตแดน หรือที่คนไทยมักเรียกว่า ‘พื้นที่ชายแดน’ ได้ด้วย boundary จึงมีความหนา มีขอบเขต หรืออาณาบริเวณ ส่วนคำว่า frontier คุณวีรพัฒน์เห็นว่าหมายถึง (เส้น)เขตแดน หรือเส้นพรมแดน ที่เป็นเส้นตรงหรือเส้นเดี่ยว…”

จาก นั้น ในย่อหน้าที่ 4-6 อ. พวงทอง ได้อ้างถึงคำนิยามของคำว่า “boundary” และ “frontier” จากพจนานุกรม 3 ฉบับ และสรุปในย่อหน้าที่ 7 ว่า “…boundary ต่าง หากที่หมายถึง เส้นเขตแดน/เส้นพรมแดน (เป็นเส้นเดี่ยว ไม่มีความหนา) แต่ frontier มีความหมายกว้างกว่า ที่สามารถหมายถึงพื้นที่บริเวณชายแดน เป็นพื้นที่ที่มีความหนา ยากที่จะกำหนดขอบเขต ในบางพื้นที่อาจมีผู้คนมากมายอาศัยอยู่, มีตลาดการค้าชายแดน, หมู่บ้าน, ฯลฯ ก็ได้) ดิฉันกล้ายืนยันได้ว่า นี่คือความหมายที่ใช้กัน อย่างน้อยก็ในแวดวงของสังคมศาสตร์”.

ในขั้นแรก เกรงว่า อ. พวงทอง อาจเข้าใจบทความ “คำเตือนถึงอภิสิทธิ์” ของผู้เขียนผิด ผู้เขียนไม่เคยให้นิยามคำว่า “boundary” หรือ “frontier” ว่าสิ่งใดหนา สิ่งใดเป็นเส้นเดี่ยว หรือสิ่งใดเป็นบริเวณพื้นที่ แต่ประเด็นสำคัญของผู้เขียนอยู่ที่ว่า “la limite” ในบริบทที่ฝ่ายไทยใช้นั้น หมายความว่า “เขตเเดน” หรือ “ขอบเขต” กันแน่.

อัน ที่จริง คำนิยามจากพจนานุกรมที่ อ. พวงทอง ยกมาเองนั้นกลับเป็นการสนับสนุนความเห็นของผู้เขียนว่า “boundary” โดยทั่วไปแปลได้สองทาง.

ทางแรกแปลได้ว่า “เขตแดน” (ไม่ว่าจะเป็นเส้น “line” หรือ บางสิ่ง “something” ซึ่งรวมถึง “national boundaries”) ที่ใช้แบ่งดินแดน เช่น เขตแดนระหว่างประเทศ.

ทาง ที่สองแปลได้ว่า “ขอบเขตของพื้นที่หรือบริเวณ” (“farthest limit, as of an area”  หรือ “limit or edges of something”) เช่น ขอบเขตของปราสาทหรือวัด.

ประเด็น หลักที่ อ.พวงทอง ยังเห็นไม่ตรงกับผู้เขียนก็คือ คำต้นฉบับที่ฝ่ายไทยใช้ว่า “la limite” นั้นแปลว่าอะไร. ที่ผู้เขียนมีความเป็นห่วงก็เพราะนิติกรศาลโลกได้เลือกใช้คำภาษาอังกฤษที่ ไม่ระมัดระวัง เพราะเลือกใช้คำว่า “boundary” (ซึ่งตามนิยามที่ อ. พวงทอง ยกมาอ้างก็แสดงให้เห็นได้ว่า “boundary” แปลได้สองทาง) แต่ในกรณีนี้ อ. พวงทอง มองว่า “la limite” แปลว่า “เขตแดน” แต่สำหรับผู้เขียนนั้นแปลว่า “ขอบเขต”.

ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่า แท้จริงแล้วฝ่ายไทยต้องการจะสื่อถึงอะไรกันแน่ (เรื่องนี้จะตอบในข้อที่ 2).

ในย่อหน้าที่ 8 อ. พวงทอง ได้เชิญชวนให้ผู้เขียนอธิบายถ้อยคำเพิ่มเติมในทางนิติศาสตร์ อาจกล่าวพอสังเขปดังนี้.

ประเด็น ที่ว่า “เขตแดน” ระหว่างไทยและกัมพูชาจะเป็นเส้นเดี่ยว หรือเป็นบริเวณที่มีความหนา หรือไม่อย่างไรนั้น ผู้เขียนเห็นว่าไม่ใช่ประเด็นที่จะโต้แย้ง ณ ที่นี้ เพราะสำหรับผู้เขียนแล้ว กฎหมายระหว่างประเทศและหลักการจัดทำเขตแดนไม่ได้กำหนดบทนิยามตายตัวว่า “เขตแดน” (boundary) จะต้องเป็นเส้นเดี่ยวเท่านั้นหรือไม่อย่างไร แต่ “เขตแดน”  เป็นเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการ (process) ซึ่งมีวิธีการและขั้นตอนที่หลากหลาย เช่น อาจอาศัยการลากเส้นสมมติบนแผนที่ (ไม่ว่าจะเป็นแผนที่จากสำรวจหรือไม่) หรือ อาศัยพรมแดนตามธรรมชาติ เช่น แนวยอดเขา แนวสันปันน้ำ หรือร่องน้ำลึกมาเป็นเขตแดน (ไม่ว่าจะเป็นเพียงบทนิยามหรือมีการสำรวจปักปัน) หรือ อาศัยวัตถุอื่น เช่น แนวกำแพงโบราณหรือรางรถไฟ ก็เป็นได้.

เรื่องเขตแดนมิใช่เรื่องที่อธิบายได้โดยสั้น ผู้เขียนเคยอธิบายเพิ่มไว้แล้วที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple/summary1962#TOC-21. [ดูข้อ ๓ (จ.)]

นอก จากนี้ ที่ อ. พวงทอง ยืนยันว่า “frontier” มีความหมายกว้างกว่าในแวดวงของสังคมศาสตร์ ก็มิได้ขัดแย้งกับสิ่งที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ เพราะผู้เขียนเองก็ได้กำกับคำภาษาไทยว่า frontier หมายถึง “พรมแดน” เหตุที่ผู้เขียนอ้างถึงคำว่า frontier ก็เพียงเพื่อยกตัวอย่างว่าคำต่างๆที่มีความหมายเกี่ยวข้องกัน มิได้มีความชัดเจนเท่ากัน จึงต้องเลือกใช้คำอย่างระวัง. ศาลโลกเองก็เคยใช้คำว่า “frontier” หรือ “frontier line” ในคำพิพากษา พ.ศ. 2505 เพื่อสื่อถึงพรมแดนหรือเส้นพรมแดนที่ถูกใช้เป็น “เขตแดน” ตามอนุสัญญาฯ สยาม-ฝรั่งเศส และศาลเองก็เลี่ยงคำว่า “boundary” ซึ่งผู้เขียนได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้แล้วที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple/summary1962#TOC-23.

สรุป ผู้ เขียนเห็นว่า บทความ “คำเตือนถึงนักวิชาการฯ” ของ อ. พวงทองในย่อหน้าที่ 2 -7 ดูจะเป็นการเข้าใจประเด็นของผู้เขียนผิดไป แต่โดยรวมแล้วบทนิยามที่ อ. พวงทอง ยกมานั้นกลับสนับสนุนความเห็นของผู้เขียนว่า “boundary” แปลความหมายได้ทั้งสองทาง คือ “เขตแดน” หรือ “ขอบเขต” แม้ ในกรณีนี้ อ. พวงทองจะเห็นว่าต้องแปลว่า “เขตแดน” ก็ตาม.

2. “la limite” ที่ฝ่ายไทยใช้แถลงต่อศาลโลก นั้น หมายถึง “เขตแดน” ไทย-กัมพูชา หรือ “ขอบเขต” ปราสาทพระวิหาร กันแน่?

บท ความของ อ. พวงทองในย่อหน้าที่ 11-14 เป็นเครื่องยืนยันว่าคำว่า “boundary” ที่นิติกรศาลโลกเลือกใช้นั้นได้สร้างปัญหาและความสับสนอย่างน่าเป็นห่วง และรัฐบาลไทยต้องพิจารณาให้รอบคอบอย่างยิ่ง.

อ. พวงทองกล่าวเชิงสรุปในย่อหน้าที่ 12 “...ดิฉัน กลับไปอ่านคำแถลงของฝ่ายไทยอีกครั้ง ดิฉันก็ยังเห็นว่าฝ่ายไทยต้องการยืนยันว่ารั้วที่ตั้งขึ้นในสมัยรัฐบาล สฤษดิ์ เป็นส่วนหนึ่งของเส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาในบริเวณพระวิหาร

เหตุผลหลักที่ อ.พวงทองใช้อ้างสนับสนุนข้อสรุปของตนก็คือย่อหน้าที่ 13 ซึ่งเป็น ความเข้าใจส่วนตัว ของ อ.พวงทองเอง กล่าวคือ อ.พวงทองได้แปลคำในเอกสารแปล CR 2011/14 ฉบับ uncorrected  ว่า “ได้มีการจัดทำรั้วลวดหนามและป้ายแสดงเขตแดนของพื้นที่ของพระวิหาร ซึ่งเป็นไปตามมติครม.วันที่ 10 ก.ค. เพื่อปฏิบัติตามคำตัดสินปี 2505 การทำรั้วเสร็จสมบูรณ์ประมาณวันที่ 5 ส.ค. (เน้นคำโดยผู้เขียน) กล่าวคือตามความเข้าใจส่วนตัวของ อ. พวงทองนั้น คำของฝ่ายไทยที่ว่า “la limite de la zone du temple”  หรือที่นิติกรศาลแปลว่า “boundary of the Temple area” ต้องหมายถึง “เขตแดนของพื้นที่ของพระวิหาร(ซึ่ง อ. พวงทองอธิบายว่าเป็น “ส่วนหนึ่งของเส้นเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาในบริเวณพระวิหาร”) เท่านั้น.

ตรรกะ การให้เหตุผลดังกล่าวมีลักษณะวกวน (circular logic) เพราะเป็นการให้เหตุผลซ้อนเหตุผลของตนเอง และนำมาอ้างไม่ได้เพราะหาก อ. พวงทอง เชื่อว่าตนแปล “boundary” ว่า “เขตแดน” ถูกมาแต่ต้น ข้อสรุปจากคำแปลก็ย่อมต้องถูกเช่นกัน. คำสำคัญที่ อ. พวงทอง ต้องวิเคราะห์คือคำว่า “la limite”  ซึ่งเป็นคำภาษาฝรั่งเศสต้นฉบับที่นายวีรชัย พลาศรัย ตัวแทนฝ่ายไทยได้ใช้ แต่ อ. พวงทอง เองกลับมิได้โต้แย้งถึงความหมายของคำดังกล่าว.

ที่ น่าแปลกใจก็คือ ในย่อหน้าที่ 14 อ. พวงทอง เองกลับอ้างข้อมูลที่ขัดแย้งตัวเอง คืออ้างถึง “ใบแถลงข่าวของกระทรวงการต่างประเทศไทยวันที่ 31 พ.ค.” ซึ่งย้ำว่า “คำพิพากษาของศาลเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารเมื่อปี ๒๕๐๕ เป็นเรื่องของอธิปไตยเหนือตัวปราสาท ไม่ใช่เรื่องเส้นเขตแดน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กัมพูชาได้ยอมรับเส้นขอบเขตของพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหารตาม มติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๐๕ เพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว โดยนิ่งเฉยมิได้มีการทักท้วงใด ๆ มากว่า ๔๐ ปี จนเมื่อไม่นานมานี้กัมพูชาถึงได้เปลี่ยนท่าทีเนื่องจากต้องการขึ้น ทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก” (ส่วนที่เน้นเป็นของผู้เขียน).

หากอาศัยใบแถลงข่าวมาเป็นเหตุผล ก็ย่อมหักล้างข้อสรุปของ อ. พวงทองเองว่า “la limite de la zone du temple”  หรือที่นิติกรศาลแปลว่า “boundary of the Temple area” ไม่สามารถหมายถึง “เขตแดนของพื้นที่ของพระวิหาร ได้ เพราะในเมื่อคำพิพากษามิได้ตัดสินเรื่องเขตแดน แล้วไทยจะมาล้อมลวดหนามเป็นเขตแดนได้อย่างไร? อีกทั้งคำว่า “เส้นขอบเขตของพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร ที่กระทรวงการต่างประเทศใช้ก็บ่งชัดอยู่แล้วว่าลวดหนามที่กำกับ “la limite de la zone du temple” นั้นหมายถึง “ขอบเขต” มิใช่ “เขตแดน”.

หาก ยังมีผู้ไม่แน่ใจ ผู้เขียนก็ขอให้อ้างตามบันทึกเอกสาร CR 2011/16 หน้าที่ ใน 25-26 ซึ่งนายวีรชัย พลาศรัย ตัวแทนฝ่ายไทยได้ย้ำเองว่าคำพิพากษาปี พ.ศ. 2505 ไม่ได้ตัดสินเรื่อง “เขตแดน” แต่อย่างใด แนวของลวดหนาม (ที่อ้างถึง “la limite”) เป็นเพียงเส้นปฏิบัติการตามคำพิพากษาที่นำมาใช้ระหว่างกระบวนการจัดทำเขตแดน ยังไม่สิ้นสุด.

หากยังไม่ชัดเจนอีก ผู้เขียนก็หวังว่าผู้สื่อข่าวจะได้สอบถามกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้ความปรากฏชัด.

สรุป หลักฐานใบแถลงข่าวที่ อ. พวงทอง ยกมานั้น ประกอบกับคำพูดของนายวีรชัย พลาศรัย เองเป็นการสนับสนุนความเห็นของผู้เขียนว่า “la limite de la zone du temple” หรือที่นิติกรแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า  “the boundary of the Temple area” ต้องแปลว่า “ขอบเขตของบริเวณปราสาทพระวิหาร” ไม่สามารถแปลว่า “เขตแดนในบริเวณปราสาทพระวิหาร” ซึ่งเป็นการเข้าใจจุดยืนของไทยที่ผิดอย่างมีนัยสำคัญ.

3.  “เขตแดน” ไทย-กัมพูชา และ “ขอบเขต” ปราสาทพระวิหาร ต่างกันอย่างไร?

อาจมีผู้สงสัยว่าที่ถกเถียงกันว่า “boundary” ที่นิติกรศาลโลกใช้นั้น หมายถึง “เขตแดน” หรือ “ขอบเขต” และต่างกันอย่างไร?

ขอ อธิบายว่าการที่ไทยต้องล้อมรั้ว “ขอบเขต” บริเวณปราสาทพระวิหาร ก็เพราะคำพิพากษา พ.ศ. 2505 วินิจฉัยให้ไทยต้องถอนกำลังออกไปจาก “บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร” (vicinity) แต่เมื่อคำพิพากษามิได้ระบุ “ขอบเขต” ของ “บริเวณใกล้เคียง” ไว้ ฝ่ายไทยจึงได้ทำรั้วลวดหนามเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ ส่วนที่กัมพูชาเห็นด้วยหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของการตีความคำพิพากษาซึ่งมีกระบวนพิจารณาอยู่ในปัจจุบัน.

เรื่องนี้ผู้เขียนเคยอธิบายไว้แล้วที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple/summary1962#TOC-16

ใน ทางกลับกัน หากเราไปถือว่ารั้วลวดหนามที่แสดง “boundary of the Temple area” นั้น หมายถึง “เขตแดน” ก็เสมือนว่าเรากำลังตีความว่าศาลได้พิพากษาเรื่องเขตแดนไปแล้วใน ปี พ.ศ. 2505 ซึ่งเป็นความเข้าใจที่อันตรายอย่างยิ่ง.

4. ความสำคัญของ “แผนที่ภาคผนวก 1” หรือ “แผนที่ 1:200000”  

อ. พวงทองกล่าวในย่อหน้าที่ 12 ว่า “ดิฉันเห็นด้วยกับคุณวีรพัฒน์ที่ว่า “การ จะตอบว่าเส้นเขตแดนที่แท้จริงคือเส้นใด ต้องว่าไปตามอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสฯ และข้อตกลงอื่น ฯ” ซึ่งดิฉันขอย้ำว่า ข้อตกลงอื่นๆที่ว่านี้ รวมถึงแผนที่จากการปักปันของคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส หรือแผนที่ที่คนไทยเรียกติดปากว่า 1:200000 ด้วย “ 

ผู้เขียนเห็นด้วยกับข้อความหลักของ อ. พวงทอง และไม่ประสงค์จะโต้แย้ง แต่ขออธิบายดังนี้.

ประการแรกต้องเข้าใจเสียก่อนว่า “แผนที่ภาคผนวก 1” หรือ “แผนที่ 1:200000” นั้นไม่ใช่ผลงานของ “คณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศสตาม ที่ อ. พวงทอง เข้าใจ แต่เป็นผลงานของฝรั่งเศสฝ่ายเดียว ศาลโลกได้ยืนยันข้อเท็จจริงนี้ชัดเจนในคำพิพากษาหน้า 21 เพียงแต่ศาลนำแผนที่ดังกล่าวมาพิจารณาในการตีความอนุสัญญาฯ ค.ศ. 1904.

ผู้ เขียนได้เคยอธิบายไว้แล้วว่า “แผนที่ภาคผนวก 1” หรือ “แผนที่ 1:200000” นั้นย่อมเป็นข้อที่ต้องพิจารณาประกอบการตีความสนธิสัญญาระหว่างไทยและ กัมพูชาในปัจจุบัน และด้วยเหตุนี้เอง ผู้เขียนจึงต้องเน้นว่าการตีความสนธิสัญญาในปัจจุบันมิได้ผูกมัดไทยและ กัมพูชาว่าต้องยึดตามเส้นที่ปรากฎใน “แผนที่ภาคผนวก 1” หรือ ยึด “สันปันน้ำ” ตามอนุสัญญาฯ ค.ศ. 1904 หรือยึด “แนวพิจารณา” ของศาลโลกเมื่อ พ.ศ. 2505 อย่างใดอย่างหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศอย่างละเอียดและครบถ้วน.

หาก ถามว่าหลักดังกล่าวมีว่าอย่างไร ผู้เขียนเห็นว่าต้องอาศัยกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่สะท้อนอยู่ใน อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 ซึ่งกำหนดให้ไทยและกัมพูชาตีความ อนุสัญญาฯ ค.ศ. 1904 โดยยึดความหมายปกติของถ้อยคำตัวอักษรในอนุสัญญาฯ เป็นหลัก ประกอบกับบริบทการประพฤติปฏิบัติ (subsequent practice) และความตกลง (subsequent agreement) ต่างๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไทยและกัมพูชาได้มีมาตลอดกว่าร้อยปีหลังได้ตกลงอนุสัญญาฯ เมื่อ ค.ศ. 1904 ไปแล้ว.

ยกตัวอย่าง เช่น  สมมติว่าไทยพิสูจน์ได้ว่ามีความตกลงในรูปแบบ “บันทึกความเข้าใจ” (MOU) พ.ศ. 2543 ฉบับหนึ่ง ประกอบกับ “แถลงการณ์ร่วม” (Joint Communiqué) พ.ศ. 2551 อีกฉบับหนึ่ง ที่แสดงให้เห็นว่าไทยกับกัมพูชามีเจตนาจะร่วมกันสำรวจเขตแดนและทำแผนที่ฉบับ ใหม่ขึ้นมาใช้แทนที่แผนที่ทั้งหลายที่มีมาก่อนหน้านี้ ไทยย่อมอาศัยข้อตกลงดังกล่าวมาตีความอนุสัญญาฯค.ศ. 1904 ได้ว่า “แผนที่ภาคผนวก 1” ที่กัมพูชาอ้างต่อศาลโลกเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว แม้ตอนนั้นศาลจะมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของอนุสัญญาฯ แต่การกระทำและการตกลงระหว่างไทยและกัมพูชาตลอดเวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์ว่า ณ วันนี้แผนที่ฯ มิได้มีสาระสำคัญสำหรับไทยและกัมพูชาดังที่ศาลเห็นในอดีตอีกต่อไป ดังนั้นบริบทการตีความถ้อยคำในอนุสัญญาฯ ค.ศ. 1904 ที่ว่าด้วยเขตแดนไทย-กัมพูชา ในวันนี้จึงต่างไปจากเมื่อ พ.ศ. 2505 เป็นต้น. ฉันใดก็ฉันนั้น กัมพูชาก็อาจนำข้อตกลงและการประพฤติปฏิบัติต่างๆของไทยมาอ้างตีความในทางตรง กันข้ามได้.

สรุป ผู้เขียนย้ำว่า การจะทราบถึงเขตแดนของไทยและกัมพูชา ต้องว่าไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ หลักใหญ่อยู่ที่ถ้อยคำในอนุสัญญาฯ ค.ศ. 1904 ประกอบการประพฤติปฏิบัติ (เช่นการยอมรับหรือปฏิเสธแผนที่) และข้อตกลงต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ใช่มองไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงอย่างเดียว. สันติภาพและกฎหมายระหว่างประเทศเป็นเรื่องของกระบวนการที่สอดคล้องกับความ เป็นจริงในปัจจุบัน มิได้ยึดติดอยู่กับแผ่นกระดาษหรือภาพวาดในอดีตแต่อย่างใด.


อนึ่ง ผู้เขียนก็ไม่ต่างไปจากชาวไทยหรือกัมพูชาที่เป็นมนุษย์ธรรมดา รู้สึกรันทดหดหู่ใจทุกครั้งที่เห็นชาวบ้านไม่ว่าเชื้อชาติใดต้องมารับกรรม จากปัญหาที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อ สิ่งที่ผู้เขียนพอทำได้ในฐานะนักกฎหมายคนหนึ่ง ก็คือการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องและเป็นธรรมตามกฎหมาย ซึ่งอย่างน้อยต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจในหลักกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ถูก ต้องร่วมกัน เมื่อหลักกฎหมายและข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติ การแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีย่อมมีโอกาสสำเร็จได้ แต่หากมนต์ที่สวดพร้อมกันยังเป็นคนละเล่มไซร้ มนต์อธิษฐานภาวนาไม่ว่าจะหวังดีหรือไพเราะเช่นใด ก็คงมิอาจฟังกันรู้เรื่อง.

(จบ บทความตอบ อ. พวงทอง ตอนที่ 1: สำหรับประเด็นเรื่อง ไทยสามารถ “สงวนสิทธิ” เอาปราสาทพระวิหารคืนมาได้หรือไม่? ศาลได้ “วินิจฉัย” เรื่อง “แผนที่” หรือไม่? และศาลพิจารณาการประพฤติปฏิบัติของไทยอย่างไร? ผู้เขียนจะขอนำมาตอบในโอกาสต่อไป)

ประเด็นที่กล่าวมาเหล่านี้ มีความละเอียดอ่อนและต้องศึกษาจากคำพิพากษาทั้งฉบับ ผู้เขียนเคยอธิบายไว้แล้วบางส่วน ขอเชิญชวน อ. พวงทอง และผู้สนใจดูบทวิเคราะห์ฉบับเต็มที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple/summary1962

____________________________________________________________________________________
* อดีตนักกฎหมายในคดีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ สำนักกฎหมาย Freshfields Bruckhaus Deringer (กรุงปารีส).
นิติศาสตรมหาบัณฑิต (รางวัลทุนฟุลไบรท์และวิทยานิพนธ์เกียรตินิยม) มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด.

- บทวิเคราะห์คดีปราสาทพระวิหารฉบับเต็ม อ่านได้ที่ https://sites.google.com/site/verapat/temple/summary1962

- รูปภาพบรรยากาศศาลโลก ดูได้ที่ http://www.facebook.com/verapat.pariyawong (photos)

*** สำหรับผู้ต้องการแสดงความไม่เห็นด้วย หรือ เห็นด้วย หรือความเห็นอื่นๆ เกี่ยวกับความเห็นบทความนี้ ท่านสามารถกลับไป กด "like" ที่ http://www.facebook.com/verapat.pariyawong ก่อนครับ ***

Delist_Pra_Viharn_UNESCO_World_Heritage

Request to Delist Pra Viharn Temple from World Heritage


 

The Kingdom of Thailand Protection Committee (KTPC)
Baan Phra Arthit, Phra Arthit Rd.
Phra Nakorn District, Bangkok ,Thailand

17 June 2011

Subject : Request for delisting of the Phrah Vihear temple from the Cultural Heritage sites

Address to : Irina Bokova,Director General of UNESCO (through Director of UNESCO, Bangkok Office)


The Kingdom of Thailand Protection Committee (KTPC) and the Thai People express grave concern towards the inscription of the Temple of Preah Vihear and the behaviour of the 21 States Parties World Heritage Committee (WHC) which triggered the conflict between Thailand and Cambodia. It contradicts the objectives of the World Heritage inscription stipulated by the World Heritage Centre and UNESCO, the organization under your supervision and you yourself have been continuously supporting the Preah Vihear inscription. The KTPC has considered the said act as an infringement of Thai Sovereignty and territorial integrity which Thailand, as a State member of the World Heritage Convention, will not tolerate. We, hereby, request you to take into account the following data and evidences provided by the Thai Civil Society and to present them at the 35th World Heritage Committee Meeting to be held in Paris, France during June 19-29, 2011. Please draw the meeting’s attention to the issue of delisting the Temple of Preah Vihear from the inscription of World Heritage List owing to the following reasons;

1. Prior to the 31st World Heritage Committee Meeting in Christchurch, New Zealand, Thailand has vigourously objected the inscription of the Temple of Preah Vihear to the World Heritage List as proposed by Cambodia.

2. At the same session, the World Heritage Committee resolved that Cambodia, as a State member to the Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage, should closely consult with Thailand towards the inscription of the Temple of Preah Vihear by suggesting that Thailand, also a State member to the Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage, to “seriously cooperate in the Temple of Preah Vihear inscription proposed solely by Cambodia.”

3. A year later, UNESCO and WHC had showed support towards Cambodia’s sole attempt to inscribe the Temple of Preah Vihear by assigning Ms Françoise Rivière to Phnom Penh to discuss and to establish the National Authority for the Protection of Preah Vihear (ANPV) as an organization to manage the Preah Vihear Temple area in accordance with the ICOMOS principles.

4. A few months before the 32nd WHC Meeting, Thailand and Cambodia had jointly issued the Joint Communiqué to specify the Management Plan which Cambodia had proposed to divide the Management zone into 3 areas. Following the Communiqué’, the People’s Alliance for Democracy (PAD) and the Organization Network for Monitoring the Situation on the case of Phra Viharn Temple, had requested the Royal Thai Government to revoke the Joint Communiqué which might have led to the country’s lost of territory.

The PAD then filed the case to the Thai Administrative Court to suspend the submission of the Joint Communiqué to be used as one of the supporting documents in the Preah Vihear Temple inscription by Cambodia alone since the surrounding areas of the Preah Vihear Temple is under Thailand’s sovereignty and that the Joint Communiqué was breaching the Constitution of the Kingdom of Thailand B.E. 2550 Article 190 (The brief detail of such Article is that “any document that is considered to be a Treaty must have the Parliament approval prior the signatory process.”).

At the outset, the Thai Administrative Court had ruled the interim injunction prohibiting any Thai officials to support or to use the Joint Communiqué as one of the supporting documents in the Temple of Preah Vihear inscription and Thailand, as a State member, did not support the inscription of the Temple by Cambodia as appeared in the statement of the Minister of Foreign Affairs, H.E. Noppadol Pattama and the statement of Mr.Pongpol Adireksarn, Head of the Thai World Heritage Delegation. Those two statements were acknowledged by both WHC and UNESCO.

5. However, at the 32nd WHC Meeting in Quebec, Canada, not only the meeting disregarded the said statements made by Thai Delegation, the Meeting had also approved the inscription of the Temple of Preah Vihear as a World Heritage for the Temple structure only quoted as “9. Notes that the property proposed for inscription is reduced and comprises only the Temple of Preah Vihear and not the wider promontory with its cliffs and caves;”


6. The 32nd WHC Meeting also contradicted the 31st WHC Meeting’s resolution on the issue that the Preah Vihear Temple inscription proposed by Cambodia must beforehand receive consent from Thailand who already expressed her total disagreement. The 32nd WHC Meeting then resolved to set up the International Coordinating Committee Preah Vihear and has included Thailand among one of the seven other appropriate international partners to sit in this Committee.

Pursuant to the controversial resolution, Thailand has contested the appendix map in the Joint Communiqué and the newly revised map that Cambodia proposed to the WHC given the fact that the Joint Communiqué and all the supporting documents were under interim injunction by the Thai Administrative Court. Unfortunately, all the claims and requests made by Thailand not only were ignored, but the WHC also approved the Preah Vihear inscription against all odds. When the Thai ICOMOS sent in their letter of disagreement, the WHC had instead asked the World Heritage Centre to help Cambodia by providing Indian experts to draw up the management plan for the surrounding areas of the Preah Vihear Temple.

7. After the 32nd WHC Meeting, the Thai Civil Society expressed strong disagreement. The Thai Constitutional Court ruled that the surrounding areas of the Preah Vihear Temple are under Thai sovereignty and that the Joint Communiqué in the 31st WHC Meeting might have led to the country’s lost of territory since the Royal Thai Government (1962) gave up the rights to the Temple only, but did not mention about any land granting to Cambodia. Furthermore, d">the Royal Thai Government (1962) has submitted a letter claiming the property rights over the disputed area of the Temple of Preah Vihear to the United Nations with no expiry term.



8. After the 32nd WHC resolution, the Cambodian armed troops were deployed in Thailand territory concurrently the Cambodian border community increasingly expanded into Thailand. This left Thailand no choice, but only to defend our national sovereignty. The violent incident between Thai and Cambodian soldiers caused several casualties among both troops.

While the Head of Cambodia World Heritage Delegation sent in a paper to the World Heritage Centre, accusing Thailand as invader and using artillery to destroy the Preah Vihear Temple ruins . That Cambodian paper was inserted in the agenda of the 33rd WHC Meeting.

9. At the 33rd WHC Meeting in Sevilla, Spain, Cambodia solely presented the damage of the Temple supposedly caused by Thai troops especially the destruction of the Cambodian community market encroached upon Thai soil. Even if the actual fact was that after the Cambodian soldiers and Community encroached the Thai territory, when clashes occurred, Thai soldiers had to use force to push the intruders back into their territory to maintain the Thai sovereignty. Regrettably, the WHC Meeting not only, concurred with the Cambodia Delegation but also approved a fund for the reconstruction of the Cambodian community market situated in Thai soil at the steps of the Temple. In addition, the Meeting granted extra fund for the completion of the Management Plan on a special privilege basis. France also stood out to defend Cambodia disregarding Thai objection. WHC resolved that Thai and other State parties must cooperate withCambodia in establishing the International Coordination Committee Preah Vihear.

10. It can be said that relation between Thailand and Cambodia is worsened by the 32nd WHC meeting resolution and more conflicts arose.Thailand felt that UNESCO under the lead of Director General Mr.Koiichiro Matsuura and Ms Françoise Rivière, Director General for Culture extended unusual support to Cambodia by assigning UNESCO representatives to survey the Temple’s damage. Thailand had to organize a security team to safeguard them and to prove the sovereign rights over the surrounding areas of the Temple.

11. UNESCO and the World Heritage Centre still support Cambodia with special favours and seemed like Cambodia was given special rights to submit any documents regarding the Management Plan or the military confrontation when Cambodia invaded Thai soil and reported otherwise particularly the road contruction to the Temple of Preah Vihear that vandalized the Thai national park area.

As such, UNESCO and the World Heritage Centre overlooked to apply the Article of the Convention for the Protection of the World Cultural and Natural Heritage which states that in the case the World Heritage site became the cause of military confrontation with armed forces which lead to casualties of military personnel and civilians alike. The World Heritage Centre should put the the Temple of Preah Vihear in the “List of World Heritage in Danger” in accordance with the Convention and Procedures from Articles 177 to 191.

12. In the 34th WHC Meeting in Brasilia, Brasil , the WHC attempted to compromise with Thailand by convening a special meeting and insisted that Thailand should accept the 32nd WHC resolution and help Cambodia by lobbying other State parties Committee to accept it too. Thailand accepted the compromised solution in good faith unaware that it was the conspiracy plan of other State parties Committee.

Afterwards the meeting resolution came out more in favour of Cambodia such as the contribution from Japan for the construction of an eco-global museum, the support of the new Management Plan that did not take Cambodia’s invasion into account, Thailand was forced to join the ICC Preah Vihear in the 35th WHC Meeting and Cambodia used the appendix map of the Joint Communiqué that UNESCO had promised not to use it in the consideration of the Management Plan and the World Heritage inscription, but instead let Cambodia use it as master plan to correct the original management plan. Worst of all is that the WHC let Cambodia encroached Thai soil while disregarding Thailand’s objection.

13. The 34th WHC Meeting resolution in Brasilia, Brasil has raised grave concern among a large number of Thai people who came out to 24 hrs stay-over night-protest for 144 days and sent many protest letters to UNESCO Thailand including this time (17th June 2011 letter) requesting the Royal Thai Government to resign from being a State party of the World Heritage Convention and the WHC.

Thailand, as a member of the United Nations, UNESCO, and a State party of the World Heritage Convention, has sovereign rights and territorial integrity. In the Preah Vihear case, Cambodia has always infringed Thailand sovereignty and territory that Thailand had to submitted protest letters several times.

UNESCO is an organization aiming to promote peace among the State parties, but its behavior in the Preah Vihear case was completely paradox with the organization essence. Since UNESCO supports the World Heritage Centre and the WHC to approve the Preah Vihear inscription, violence, domestic and international conflicts, invasion against national territory to complete the Management Plan have been all around. There have been military clashes until lately, in February Cambodian troops fired rockets and cannons at Thai civilian communities near the Preah Vihear area which led to emergency evacuation twice of more than 100,000 Thais. Cambodian troops used the Temple as their military base/camp gathering weapons and troops (photographs attached herewith) which violates the Convention for the Protection of the World Cultural and Natural Heritage Article 180 about “potential danger”.







It turned out that UNESCO, the World Heritage Centre, and the WHC turned a blind eye and still supported Cambodia to complete the Management Plan that invades Thai territory while forcing Thailand to welcome the WHC’s resolution. The Thai Civil Society cannot accept these dishonest acts and sought for UNESCO, the World Heritage Centre, and the WHC clarifications.











Consequently, the Kingdom of Thailand Protection Committee and Thai people, hereby, request you to take the above mentioned reasons into account in the Preah Vihear Temple de-listing from the Cultural Heritage sites consideration. We further request you to set up an Investigating Committee to inspect the State party of Cambodia, the World Heritage Centre, and the WHC about the fraudulent 31st, 32nd, 33rd, and 34th WHC resolutions which lack of non-interference principles. All resolutions have the sense of domestic interference against the State Party’s, Thailand, sovereignty and territory. We request you to put this in the emergent agenda prior the agenda for consideration concerning Preah Vihear during the 35th WHC Meeting to be held in Paris, France.


Yours sincerely,


(Maj.Gen.Chamrong Srimuang) (Mr.Parnthep Pourpongpan (Mr.Thepmontri Limpaphayom)

The Kingdom of Thailand Protection Committee



Le Royaume de Thaïlande Comité de la protection (KTPC)
Rue Baan Phra Arthit, Phra Arthit
Phra Nakorn District, Bangkok, Thaïlande

17 Juin 2011

Objet: Demande de retrait de la cote du temple Phrah Vihear à partir des sites du patrimoine culturel

Adresse à: Irina Bokova, Directrice générale de l'UNESCO (par l'intermédiaire dudirecteur Bureau de l'UNESCO à Bangkok)


Le Royaume de Thaïlande Comité de la protection (KTPC) et le peuple thaïlandaisd'exprimer une vive préoccupation envers l'inscription du temple de Preah Vihear etle comportement des 21 Etats Parties Comité du patrimoine mondial (WHC) qui a déclenché le conflit entre la Thaïlande et le Cambodge. Il contredit les objectifs de l'inscription au patrimoine mondial stipulé par le Centre du patrimoine mondial et l'UNESCO, l'organisation sous votre supervision et de vous-même avez été constamment en soutenant l'inscription de Preah Vihear. Le KTPC a examiné ladite loi comme une violation de la souveraineté et l'intégrité territoriale thaïlandaise dont la Thaïlande, en tant qu'État membre de la Convention du patrimoine mondial, ne toléreront pas. Nous, par la présente, vous demander de prendre en compte les données suivantes et les preuves fournies par la Société thaïlandaise civils et de les présenter à la réunion du Comité du patrimoine mondial 35e se tiendra à Paris, en France lors de Juin 19-29, 2011. S'il vous plaît attirer l'attention de la réunion sur la question de la radiation de la cote du temple de Preah Vihear de l'inscription decause Liste du patrimoine mondial pour les raisons suivantes;

1. Avant la réunion du Comité du patrimoine mondial de 31e Christchurch, Nouvelle-Zélande, la Thaïlande a vigoureusement contesté l'inscription du temple de Preah Vihear à la liste du patrimoine mondial tel que proposé par le Cambodge.

2. À la même session, le Comité du patrimoine mondial a décidé que le Cambodge,en tant qu'État membre de la Convention concernant la protection du patrimoinemondial culturel et naturel, devraient concerter étroitement avec la Thaïlande versl'inscription du temple de Preah Vihear en suggérant que la Thaïlande, également unEtat membre de la Convention concernant la protection du patrimoine mondialculturel et naturel, à «sérieusement coopérer dans le temple de Preah Vihearinscription proposée uniquement par le Cambodge."

3. Un an plus tard, l'UNESCO et le WHC a montré un soutien envers seule tentativedu Cambodge d'inscrire le temple de Preah Vihear en assignant Mme Françoise Rivière à Phnom Penh afin de discuter et d'établir l'Autorité nationale pour la protection de Preah Vihear (ANPV) comme une organisation à gérer la zone de Preah Vihear Temple en conformité avec les principes ICOMOS.

4. Quelques mois avant la 32e réunion du CPM, la Thaïlande et le Cambodge ontpublié conjointement le Communiqué conjoint de préciser le plan de gestion dont le Cambodge a proposé de diviser la zone de gestion en 3 zones. Après le«Communiqué de l'Alliance du peuple pour la démocratie (PAD) et le RéseauOrganisation pour la surveillance de la situation sur le cas de Phra Viharn Temple,avait demandé au Gouvernement royal thaïlandais de révoquer le communiqué conjoint qui pourrait avoir conduit le pays a perdu du territoire .

Le PAD a ensuite déposé le dossier à la Cour thaïlandaise administrative de suspendre le dépôt du communiqué conjoint à être utilisé comme l'un des documents à l'appui de l'inscription de Preah Vihear par le Cambodge seule depuis les zonesentourant le temple de Preah Vihear est sous souveraineté de la Thaïlande et que lecommuniqué conjoint a été violé la Constitution du Royaume de Thaïlande ÊTRE2550 Article 190 (Le bref détail de l'article est que "tout document qui est considéré comme un traité doit avoir l'approbation du Parlement avant le processus designature.").

Au départ, la Cour administrative thaïlandaise avait décidé de l'injonction provisoire interdisant à toute officiels thaïlandais pour soutenir ou pour utiliser le Communiqué conjoint comme l'une des pièces justificatives dans le temple de Preah Vihearinscription et la Thaïlande, en tant qu'État membre, n'a pas appuyé la inscription dutemple par le Cambodge en tant paru dans la déclaration du ministre des Affaires étrangères, SEM Noppadol Pattama et la déclaration de Mr.Pongpol Adireksarn, Chef de la délégation thaïlandaise patrimoine mondial. Ces deux déclarations ont été reconnus par les deux HFC et l'UNESCO.

5. Cependant, à la 32e réunion du CPM au Québec, au Canada, non seulement la réunion ignoré ladite déclarations faites par la délégation thaïlandaise, l'assemblée a également approuvé l'inscription du temple de Preah Vihear comme patrimoine mondial pour la structure du temple ne cite que "9. Note que le bien proposé pour inscription est réduit et ne comprend que le temple de Preah Vihear et nonl'ensemble de promontoire avec ses falaises et ses grottes; "

6. La réunion a également contredit WHC 32ème résolution de la 31e réunion du CPM sur la question que le Temple de Preah Vihear inscription proposée par le Cambodge doit préalablement obtenu le consentement de la Thaïlande qui a déjàexprimé son désaccord total. La Réunion WHC 32e résolut donc de mettre en place le Comité international de coordination de Preah Vihear et la Thaïlande a inclusparmi l'un des sept autres partenaires internationaux appropriés pour siéger dans cette commission.

Conformément à la résolution controversée, la Thaïlande a contesté la carte annexe dans le Communiqué conjoint et la carte nouvellement révisé que le Cambodge a proposé au CPM compte tenu du fait que le Communiqué conjoint et toutes les pièces justificatives étaient sous injonction provisoire par la Cour administrativethaïlandaise. Malheureusement, toutes les réclamations et des demandes formuléespar la Thaïlande, non seulement ont été ignorés, mais le WHC a également approuvél'inscription de Preah Vihear, contre toute attente. Lorsque l'ICOMOS thaïlandaisesont envoyé leur lettre de désaccord, le WHC a plutôt demandé au Centre du patrimoine mondial afin d'aider le Cambodge en fournissant des experts indiensd'élaborer le plan de gestion pour les zones entourant le temple de Preah Vihear.

7. Après la 32e réunion du CPM, la Société thaïlandaise civile ont exprimé leur désaccord fort. La Cour thaïlandaise constitutionnelle a jugé que les zones entourant le temple de Preah Vihear relèvent de la souveraineté thaïlandaise et que leCommuniqué conjoint de la 31e réunion du CPM pourrait avoir conduit le pays a perdu du territoire depuis le gouvernement royal thaïlandais (1962) a donné le droit de le seul temple, mais n'a pas mentionné sur tout territoire accordant au Cambodge.Par ailleurs, d "> le Gouvernement royal thaïlandais (1962) a soumis une lettreréclamant le droit de propriété sur la zone contestée du Temple de Preah Vihear à l'ONU sans terme d'expiration.

8. Après la résolution 32e WHC, les troupes armées cambodgiennes ont été déployées en Thaïlande du territoire en même temps la communauté frontière cambodgienne en plus étendu à la Thaïlande. Cette quitté la Thaïlande pas le choix, mais seulement pour défendre notre souveraineté nationale. L'incident violent entre soldats thaïlandais et cambodgiens fait plusieurs victimes parmi les deux troupes.

Alors que le chef du Cambodge patrimoine mondial délégation envoyée dans un document au Centre du patrimoine mondial, accusant la Thaïlande comme envahisseur et utilisant l'artillerie pour détruire les ruines du temple de Preah Vihear.Ce document cambodgienne a été inséré dans l'agenda de la 33ème réunion du CPM.

9. Lors de la 33e réunion du CPM à Séville, en Espagne, le Cambodge a présenté uniquement des dégâts du Temple prétendument causé par les troupes thaïlandaises en particulier la destruction de la communauté cambodgienne de marché empiète sur le sol thaïlandais. Même si la réalité était que, après que les soldats cambodgiens et communautaire empiété le territoire thaïlandais, lors des affrontements survenus, les soldats thaïlandais ont dû utiliser la force pour repousser les intrus de retour sur leur territoire afin de maintenir la souveraineté thaïlandaise. Malheureusement, la réunion du CPM, non seulement, d'accord avec la délégation du Cambodge, mais également approuvé un fonds pour la reconstruction de la communauté cambodgienne de marché située dans le sol thaïlandais sur les marches du Temple. En outre, la Réunion accordé des fonds supplémentaires pour l'achèvement du plan de gestion sur une base privilège spécial. France s'est aussi démarquée pour défendre le Cambodge négligeant d'objection thaïlandais. WHC a décidé que les États parties thaïlandais et d'autres doivent coopérer withCambodia dans l'établissement du Comité de coordination international de Preah Vihear.

10. On peut dire que la relation entre la Thaïlande et le Cambodge est aggravée par la résolution de réunion WHC 32e et plus de conflits arose.Thailand estimé que l'UNESCO sous la direction du directeur général Matsuura Mr.Koiichiro et Mme Françoise Rivière, directeur général pour la culture prolongée de soutien inhabituel de Le Cambodge en assignant des représentants de l'UNESCO à l'enquête sur les dommages du Temple. La Thaïlande a dû organiser une équipe de sécurité pour les sauvegarder et de prouver les droits souverains sur les zones entourant le temple.

11. L'UNESCO et le Centre du patrimoine mondial soutiennent toujours Cambodge avec des faveurs spéciales et semblait comme le Cambodge a été donné des droits spéciaux à soumettre tous les documents concernant le plan de gestion ou de la confrontation militaire lorsque le Cambodge a envahi le sol thaïlandais et signalés ailleurs particulièrement la contruction route pour le temple de Preah Vihear qui a vandalisé le parc national thaïlandais région.

En tant que tel, l'UNESCO et le Centre du patrimoine mondial négligé d'appliquer l'article de la Convention pour la protection du patrimoine mondial culturel et naturel qui stipule que dans le cas du site du patrimoine mondial est devenu la cause de la confrontation militaire avec les forces armées qui conduisent à des pertes du personnel militaire et les civils. Le Centre du patrimoine mondial devrait mettre le temple de Preah Vihear au dans la «Liste du patrimoine mondial en péril» en conformité avec la Convention et les procédures d'articles 177 à 191.

12. Dans la 34e réunion du CPM, à Brasilia, au Brésil, le WHC a tenté de transiger avec la Thaïlande en convoquant une réunion spéciale et a insisté pour que la Thaïlande devrait accepter la résolution 32e WHC et aider le Cambodge par le lobbying d'autres parties Comité d'Etat pour l'accepter aussi. La Thaïlande a accepté la solution de compromis de bonne foi ignorent que c'était le plan de la conspiration d'Etat des parties des autres comités.

Après la résolution de réunion est sorti plus en faveur de tel que la contribution du Japon pour la construction d'un musée écologique globale du Cambodge, le soutien du nouveau plan de gestion qui n'ont pas pris l'invasion du Cambodge en compte, la Thaïlande a été contraint de rejoindre la CPI Preah Vihear dans la 35e réunion du CPM et du Cambodge ont utilisé la carte annexe du communiqué conjoint que l'UNESCO avait promis de ne pas l'utiliser dans l'examen du plan de gestion et de l'inscription au patrimoine mondial, mais au contraire laisser le Cambodge de l'utiliser comme plan directeur pour corriger les plan de gestion original. Le pire de tout est que le WHC laissez le Cambodge empiété sol thaïlandais tout en négligeant d'objection de la Thaïlande.

13. La résolution 34ème réunion du CPM, à Brasilia, Brasil a suscité une grave inquiétude parmi un grand nombre de la population thaïlandaise qui est sorti à 24 heures qui restent pendant la nuit-de protestation pendant 144 jours et envoyé des lettres de protestation de nombreux UNESCO en Thaïlande, y compris cette fois (17eJuin 2011 lettre) demandant au Gouvernement royal thaïlandais à démissionnerd'être un Etat partie de la Convention du patrimoine mondial et le WHC.

Thaïlande, en tant que membre de l'Organisation des Nations Unies, l'UNESCO, et un Etat partie de la Convention du patrimoine mondial, a des droits souverains et l'intégrité territoriale. Dans le cas de Preah Vihear, le Cambodge a toujours violé la souveraineté et le territoire en Thaïlande que la Thaïlande avait des lettres de protestation à l'soumis plusieurs fois.

L'UNESCO est une organisation visant à promouvoir la paix entre les États parties, mais son comportement dans le cas de Preah Vihear a été complètement paradoxalavec l'essence organisation. Depuis l'UNESCO soutient le Centre du patrimoine mondial et le Centre du patrimoine mondial à approuver l'inscription de Preah Vihear, à la violence, les conflits intérieurs et internationaux, l'invasion contre le territoire national pour compléter le plan de gestion ont été tout autour. Il ya eu desaffrontements militaires jusqu'à tout récemment, dans les troupes cambodgiennes ont tiré des roquettes Février et les canons de Thai communautés civiles près de la zonede Preah Vihear qui a conduit à une évacuation d'urgence à deux reprises de plus de100 000 Thaïlandais. Troupes cambodgiennes a utilisé le Temple que leurs armes militaires collecte de base / camp et des troupes (photographies ci-joint) qui viole la Convention pour la protection du patrimoine mondial culturel et de l'article 180 du patrimoine naturel de "danger potentiel".

Il s'est avéré que l'UNESCO, le Centre du patrimoine mondial, et le CPM a fermé les yeux et toujours soutenu le Cambodge pour compléter le plan de gestion qui envahitle territoire thaïlandais tout en forçant la Thaïlande d'accueillir la résolution du WHC.La Société civile thaïlandaise ne peut accepter ces actes malhonnêtes et recherchépour l'UNESCO, le Centre du patrimoine mondial, et les éclaircissements du WHC.

En conséquence, le Royaume de Thaïlande et du Comité de protection des Thaïlandais, par les présentes, vous demandons de prendre les raisons mentionnées ci-dessus en compte dans le Temple de Preah Vihear de radiation de laconsidération du patrimoine culturel des sites. En outre, nous vous demandons de mettre en place une commission d'enquête pour inspecter l'État partie du Cambodge, le Centre du patrimoine mondial, et le CPM au sujet le 31 frauduleuses, 32e, 33e, et 34e résolutions WHC qui manquent de non-ingérence principes. Toutes les résolutions ont le sens des interférences domestiques contre l'Etat Partie, la Thaïlande, la souveraineté et le territoire. Nous vous demandons de mettre cela dansl'ordre du jour émergentes avant l'ordre du jour pour examen concernant Preah Vihear au cours des 35e réunion du CPM qui se tiendra à Paris, France.

Cordialement,

(Maj.Gen.Chamrong Srimuang) (Mr.Parnthep Pourpongpan (Mr.ThepmontriLimpaphayom)

Le Royaume de Thaïlande Comité de la protection
































 

Cambodia Uses Pra Viharn Temple As A Military Base

Cambodia Uses Pra Viharn Temple As A Military Base.

Cambodia uses Pra Viharn Temple despite of being listed as a World Heritage by UNESCO. The World Heritage Committee has listed it in favour of tyrant Hunsen since 2009. It becomes clear that Hunsen wickedly exploits the temple as a military base to store troops, artilleries and military supplies. On February 4, 2011, Cambodia launched a series of military assaults against Thai troops as well as Thai civilian communities along the border.

On top of the inhumane acts of criminal bombardment at civilian targets, Cambodia has not expressed a civilized care of the temple as UNESCO would expect. This malicious purpose is against the regulations for WorldHeritage since it puts the invaluable humanity's historical and cultural legacy at a risk of being a military target. To the world, Cambodian's action is a vicious intention to exploit the temple as a hostage to harbour its weapons as well as to put a blame on Thailand, if there is any damage during any inevitable exchanging fire.















Without declaration or warning, Hunsen ordered his sons, young generals, to lead surprise attacks on Thai civilian targets, 2 civilian men were killed following heavy firing to Thai communities. Houses, schools and government offices were destroyed. Twenty thousand Thai people have to flee their homes and take refuge in other towns remote from the border.

















 


Chairperson National Human Rights Commission of Thailand 's Letter to UNESCO


OPEN LETTER TO THE UN SECRETARY-GENERAL

Dear Mr. Ban Ki-Moon, Secretary-General,
United Nations.
No. 0001.04/224
National Human Rights Commission of Thailand
422 Phyathai Rd., Pathumwan, Bangkok 10330,
THAILAND
26 July B.E. 2551 (2008)
Dear Mr. Secretary-General,
I am writing to you to express and register the most serious concern and dismay of the National Human Rights Commission of Thailand, an independent organ established under both Thai Constitutions of 1997 and 2007, over the blatant violation of human rights committed by organs of the United Nations in total disregard of the letters and spirit of the UN Charter and the Universal Declaration of Human Rights, namely, the inscription by the World Heritage Committee (established within the United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization pursuant to the Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage of 16 November 1972) of the Temple of Pra Viharn or Preah Vihear on the World Heritage List, as unilaterally proposed by Cambodia.
Such decision with the reference number 32 COM 8B.102 by the World Heritage Committee at its 32nd Session in Quebec City, Canada, has clearly contravened the noble purpose of the UN Charter in promoting the development of friendly relations among nations, the very concept echoed in the preamble of the Universal Declaration of Human Rights, as well as the provisions of the Universal Declaration of Human Rights itself, especially Article 28, namely, “Everyone is entitled to a social and international order in which the rights and freedoms set forth in this Declaration can be fully realized”.
The events before and after the making of such decision by the World Heritage Committee show that the issue of sovereignty over Pra Viharn Temple itself and its surrounding areas has been highly contentious ever since the decision of 15 June 1962 of the International Court of Justice and the responding letter by the foreign minister of Thailand dated 6 July 1962 to the Acting UN Secretary-General, expressing Thailand’s disagreement with the said decision of the International Court of Justice and reserving whatever rights Thailand has or may have in the future.
Furthermore, the massive popular protests in Thailand over the perceived attempt by the current Government of Thailand to support Cambodia’s unilateral nomination of the Temple of Pra Viharn, culminate in the ruling by the Administrative Court granting an interim injunctive relief to suspend all the effects of the Joint Communique of 18 June 2008 between Thailand and Cambodia, and the decision by the Constitutional Court that the signing of the said Joint Communique was unconstitutional. These events were widely reported by domestic, regional and international media, making it somewhat inconceivable for UNESCO with its long presence and experience in this Southeast Asian region and its World Heritage Committee to profess ignorance of the ongoing dispute and the controversy surrounding the Pra Viharn Temple before the making of Decision 32 COM 8B.102, especially in the face of the protest of the Thai Government at the 32nd Session of the World Heritage Committee against the lack of due process in dealing with the unilateral nomination of the Pra Viharn Temple by Cambodia. Besides, the issue of Pra Viharn Temple has always been a special case stirring strong passion and a sense of injustice in Thailand. There was also the incident of the burning of the Thai embassy in Pnom Penh in January 2003. So the relationships between the 2 countries and peoples have gone through trials and tribulations already and should not be subjected to undue extra stress that will cause greater animosity and bitterness inside and between Thailand and Cambodia.
The above have raised serious doubt and questions about the manner in which the World Heritage Committee made its decision regarding the inscription of Pra Viharn Temple on the World Heritage List, especially from the human rights perspective, a fundamental international instrument of which, namely, the Universal Declaration of Human Rights is supposedly enjoying its 60th anniversary this year. I therefore would like to bring to your attention some, if not all, of the questions and doubt as follows:
1. Who is responsible for the violation of Article 3 of the Universal Declaration of Human Rights? The above decision of the World Heritage Committee has endangered the lives of those who live along the Thai-Cambodian border especially if a violent conflict arises and those people’s rights to life, liberty, and security has been seriously jeopardized. On 17 July 2008 there was a violent clash between the protesters from all over the country protective of Thai sovereignty and some villagers living near the Pra Viharn Temple fearful of losing their livelihood and security permanently due to the ongoing conflict. Unfortunately, the seed of a serious discord and threat to life has somehow, intentionally or unintentionally been sown by the World Heritage Committee. The 17 July incident could be merely a glimpse of things to come.
2. At present, the troops of Thailand and Cambodia are facing each other in combat readiness creating tension along the border which could escalate into a larger scale confrontation. The people of the 2 countries who have been living peacefully are now seeing peace being undermined by the decision of the World Heritage Committee. It is clear that the conflict as it is has deprived the peoples of Thailand and Cambodia of a favourable social and peaceful environment to exercise all their rights under the Universal Declaration of Human Rights because of internal disturbances and the escalation of animosity between the peoples of the 2 countries. Who, then, is responsible for this violation of Article 28 of the Universal Declaration of Human Rights?
3. Why did the World Heritage Committee so hurriedly make the decision on “an exceptional basis” on 7 July 2008 overlooking the criteria of integrity crucial to the sustainability of the World Heritage status especially with full knowledge that the Pra Viharn Temple and its surrounding areas are still a matter of dispute between Thailand and Cambodia. Of course, the World Heritage Committee could claim that its decision does not prejudice the rights of the parties in the dispute by citing the wording of Article 11 (3) of the 1972 convention concerning the protection of the world cultural and natural heritage, namely, “the inclusion of a property situated in a territory, sovereignty or jurisdiction over which is claimed by more than one State shall in no way prejudice the rights of the parties to the dispute”. But such as attitude would reflect its insensitivity to the highly contentious nature of the Pra Viharn Temple issue and the sufferings of the people on the ground. In any case, such kind of decision does not help to promote friendly relations between nations, nor does it help create the social and international order in which the rights and freedoms set forth in the Universal Declaration of Human Rights can be fully realized. On the contrary!. The World Heritage Committee should have a more mature judgment and care to consider that the joint management approach as the Pra Viharn Temple and its surrounding areas have still remained contentious, rather than arbitrarily allowing only the unilateral nomination by Cambodia.
4. Why did the World Heritage Committee not ask Cambodia to resubmit the nomination in the light of the change in the map of the property of Pra Viharn Temple as is normally the case? This neglect of the well-established practice concerning the documents submitted in any nomination has raised the suspicion if there is any hidden motive in this hasty decision of the World Heritage Committee in total disregard of the fundamental human rights of the peoples of the 2 countries.
5. Is the decision of the World Heritage Committee based on a sound archeological analysis taking into account the views of all parties concerned? It seems that the views of the Thai side have been consistently overlooked although the buffer and management zone as well as the overall landscaping of the Pra Viharn Temple is in the Thai territory.
6. It is even more puzzling that the World Cultural Heritage Committee has requested Cambodia, in collaboration with UNESCO, to convene an international coordinating committee for the safeguarding and development of the property no later than February2009, inviting the participation of the Government of Thailand and not more than seven other appropriate international partners. How is the World Heritage Committee empowered to request Cambodia to convene such a committee in the first place and how could such invited countries be empowered to delineate the lines of the buffer and management zones in the areas where sovereignty and territorial integrity has been hotly contested? They are dealing with the matter of sovereignty which is clearly outside the authority of the World Heritage Committee.
All the above questions and doubt underscore a need for UN-related agencies to have transparency, consistency, integrity, and good governance as well as respect of the highest order for human rights. The acts committed by the World Heritage Committee and UNESCO have shown their insensitivity and total disregard to human rights especially of the peoples of Thailand and Cambodia. I wish to request you to set up an inquiry committee consisting of impartial persons of highest moral authority to find the answers to the above questions and to set a strong example that human rights be respected not only by member countries of the UN, but also by the UN itself and its related agencies. This should be a meaningful way to celebrate the 60th anniversary of the Universal Declaration of Human Rights.
Yours sincerely,
(Prof.Saneh Chamarik)
Chairperson National Human Rights Commission of Thailand
CC:
Mr. Koichiro Matsuura, Director-General, UNESCO
Mr. Francesco Bandarin, Director, UNESCO World Heritage Centre
Ms. Louise Arbour, High Commissioner for Human Rights
Mr. Homayoun Alizadeh,
Regional Representative, OHCHR Regional Office for Southeast Asia
Member countries of ICOMOS including the under-represented ones
Member countries of the World Heritage Committee
All related and interested institutions



















 

Peter's Analysis of the World Court's Ruling of Pra Viharn Temple

 


September 23, 2009

Dear Friends,

As promised, I am attaching 2 files containing the decision of the World Court (WC) on the disputed Prasart Pra Viharn. One is the summary ”Merit” of judgment and another are details of the ruling. (For details, please visit http://www.icj-cij.org/docket/index.php?p1=3&p2=3&code=ct&case=45&k=46)
Merit of Judgement and Details of Judgment

As you can see from these 2 sets of documents, and as I informed you before, the WC ruled that not only the temple but also the land where the temple situated belongs to Cambodia.

The judges then might be bias towards France & its protectoral state of Cambodia but they did a very thorough analysis based on all evidence presented from both parties in conflict. It was too bad that the judges did not buy our side’s arguments & did not look beyond its decision for potential problems or ramifications in the years or hundreds of year ahead of their time. The main objective from their decision was to settle the dispute & avoid the future conflict between the 2 countries. But they were wrong; their goal has not been attained since. The site has remained to be a hot spot and a flash point. Armed conflicts have continued while the threat of all out war is real & can possibly happen at any moment. Perhaps, this along and the fact that enormous amount of land-mines that litter the area surrounding Prasart Pra Viharn can be used to further attract international attention & help stop the UNESCO World Heritage & Cambodia’s actions to further implement & finalize their plan on the temple.

Again, as I mentioned before, we must form a committee or taskforce pooling all experts, intellectuals & scholars (from in & outside the Kingdom) to work together exclusively on Prasart Pra Viharn issue to counter the Cambodian’s efforts. We must support the work of M.L. Valvipa and Khun Vira Somkuamkid or any patriotic Thai who is willing to make sacrifice to righteously reclaim the temple back to our country. We also must secretly work with the patriotic military leaders for the purpose. Because the WC did not clearly address or decide the ownership of the land beyond where the temple situated, we must firmly protect that area & strongly view that it’s Thailand territory. The Thai armed force must have this view & swiftly take actions to defend the land & stand. Additionally, we should pay more attention & explore deeper in details about the history & civilization of SE Asia.

We must come up with short term, mid range & long term strategies to justify future actions reclaiming Prasart Pra Viharn so that international leaders & communities would agree & side with us.

But more importantly, what we, every patriotic Thai every where, must do now is to stop believing that it was the Khmer who built Prasart Pra Viharn & other ancient Hindu sites in Thailand & throughout the SE Asia region! We must immediately change our attitude & misperception. We must not allow ourselves to be misled by the French & other westerners any longer! After all, the Chinese did not call westerners as ”the Foreign Devils’ for nothing; there’re plenty of good reasons behind it!

I’ve shared with a few individuals so far on what I learnt from reading materials through Internet on the history of SE Asia, its inhabitants & particularly the ancient Hindu ruins in this part of the world. Originally, I was going to find someone who can help me with Thai typing writing up the whole thing in one time. But P’ Payom (a wise & elder compatriot as well as a respected Muslim Thai leader in the US) suggested that I should write it in series or parts. This is so sensible & practical that I have to heed his advice.
If you don’t mind & are willing to put up with my broken English as well as amateur & non-scientific analysis , I’d like to share with you on what I found & the reasons why we (Thai & non-Thai) should rethink again on who actually constructed these invaluable Hindu monuments all over SE Asia. However lame or logical they will be, I would like to invite you to evaluate them. If we cry that Prasart Pra Viharn belongs to us, Thai people & Thailand, we must firmly believe so, and say so loudly with good (new & rather compelling) reasons. And I’ll try my best to present them to you in the near future.
Sincerely,

Peter


Dear friends,
It has been more than a week since I emailed you copies of World Court (WC) decisions on Prasart Pra Viharn & to inform you why we should think differently about the ancient Hindu structures & history about SE Asia. Before jumping into the subject, may I share some information & my thoughts with you on the World Court’s decision because Prasart Pra Viharn is one of the ancient Hindu sites which I’ll discuss later & because the temple is very hot on the news again?
For those of us who lived on July 4, 19 62 or 2505 (BE) when Marshall Sarit Thanarat told the nation through the national radio station that the World Court’s judges gave their verdicts awarding Prasart Pra Viharn to Cambodia, it was the dark day & a bad memory hard to forget in our lives. Millions were immensely disappointed & shed tears. The loss of this ancient Hindu temple has been a thorn on our chest since. They said time heals all wounds. But for almost all of us, except the sq. face exPM & his cronies, the wound from this loss has not really healed up at all. We still feel the pain from the loss. Most of us did not & have not really known any detailed fact or the key factors that the judges used & based their decisions on. We have lived with hope, based on Marshall Sarit Thanarat’s statement, that one day Prasart Pra Viharn will return to our possession again. I was no exception to these feelings particularly the lack of detail information.
But last year, after the former Foreign Minister, Noppadon Pattama, officially helped the Cambodian govt to further reaffirm & cement its claim on the dispute Prasart Pra Viharn by solely & successfully getting the ancient temple approved by UNESCO as the world’s heritage site, I began to curiously search for more info on the World Court ’s decision. My efforts led to, for the first time, the actual details of the lawsuit, WC’s proceedings, and the historical data involving the actions by all parties. From the discovery, I printed out some pages of WC’s detailed decisions which I’ve forwarded to some of your earlier. They are attached herein again for your review and as my references (Exhibit A, Exhibit B and Exhibit C) for our discussion.
Briefly, Exhibit A is the World Court’s summary of the decisions and key facts involved on the case while Exhibit B contains partial details of decisions & the judges’ reasons.
To facilitate your review, I’ve annotated important facts on Exhibit A with the numbers from 1 to 7. Let us refer to them as item A-1, item A-2, item A-3, so on and so forth. To distinguish the key points on Exhibit B, I used item B-1, item B-2, etc.
Based on these important facts and key points, I reconciled them against the WC judges’ reasons used to derive their verdicts. I have to conclude that the French surveyor, the Mixed Commission team, the French President governing Cambodia then, and the 9 judges (who gave Prasart Pra Viharn to Cambodia) all acted in BAD FAITH, misused their knowledge & skills to solve & create the problem, and were likely to be biased against Siam/Thailand while favoring Cambodia. But nonetheless, the actions, inaction and silence from Thai officials (from the treaty negotiators, border guards, provincial governors to Prince Praya Dumrong) were used by the WC judges as the main reason to inflict the painful loss of the temple on us, the majority of Thai citizens, and the country. The loss has become a continuous problem & the truth has not really been told or widely acknowledged.
Personally, I believe that we should face the fact & tell the truth. It is wrong to tell our fellow Thais everywhere that the judges only gave the temple to Cambodia, not the ground it situates on. There are a few things we (govt & military leaders as well as citizen groups) can do to prevent further territorial loss (as the near term goal) and perhaps to reclaim Prasart Pra Viharn back to us (as the long term shot).
I am sure some of you will think that what a waste of time reviewing my writing/comments, that it’s useless to argue, and what benefits will derive from this. Well, a failure had occurred and problems have continued to derive from it. For any failure, there are lessons to learn from. To solve the problems & prevent them from recurring, we need to know the cause(s) & the root. Using the problem solving technique, in addition to addressing it & taking actions, will lead to the improvement as well. Thus, success will ensue replacing failure. But by ignoring it, we become ignorant. Knowing the fact(s) allows us to be the learnt one. Though some of you may have already known about the facts on this issue, a large number of people does not know or is still misinformed, I thought I should share the facts with those of you who are part of latter group. Being a good student, I try to think critically & logically on issues. Since some of you are educators, I’d like to present my comments & logics for your review & further comments. I hope to increase the awareness, ignite the interest on the history of SE Asia and change the perception that Khmers were the most influential & civilized group of people in the region.
Below are the WC judges’ decision & statements (after the bullet point) and my comments (in highlight) for your review & consideration.
On the Exhibit A
EXHIBIT A

  • Item A-1 is the World Court’s precise decision on Prasart Pra Viharn. Nine (9) of the twelve (12) judges found that the temple was situated in territory under Cambodia’s sovereignty.
Here, the WC did not clearly specify how close or far the land/territory around the ancient structure belongs to Cambodia.
But per item B-6 and B-7 on page 37 & 38 of Exhibit B, the judges referred to the sovereignty over the portion of territory in which the temple is situated. This means, we have the good reason to argue, that Thailand has the sovereignty on territory beyond the portion of the land (immediate perimeter) where the temple is. But it is very important for us to clearly understand that the World Court’s judges gave the temple to Cambodia as well (see B-5 on page 36 of Exhibit B), not just the land it situates on. Please do not let others fool or mislead you about this fact any longer.
  • Item A-2 refers to the application of the Treaty of 13 February 1904.

Being the 1st treaty, it became the Parent Treaty which is like the main & most important law. It set the tone or preamble to be further followed by future acts on the subject matter. It’s like the Constitution that is used to create other subsequent related treaty or laws to supplement the first one. The judges were wrong to give no weigh or ignore this Parent (or Grand Parent)Treaty while accepting others done later with mal-intent or hidden agenda. The World Court also recognized this treaty as the Parent Treaty (see item B-2 on page 34 of Exhibit B). If what prescribed in the Parent Treaty carries no value, why did they have the treaty to begin with? Disregarding it (natural watershed line) but opting to go with man made one just does not make good sense. As we all know, it is the man who made, has made & will make mistakes. It is the man who created biases and prejudices. It is the man who killed & has killed one another besides killing those less intelligent animals. It is the man who has destroyed the environments including forests or jungles once abundant in the world. All these things happened even during the times when religion founders were alive preaching for higher morality while raising the awareness of consequences on evil deeds.
So, it is not uncommon at all that whether intended or not, mistake(s) will occur during the work process of determining the border lines using the means other than the natural watershed line. This is what happened to the Annex 1 map unilaterally drawn by Frenchmen
  • Item A-3 mentions that in the eastern sector of Dongrek range where Pra Vihear was situated, the frontier was to follow the Watershed line.
This clearly established the fact, per the 1st or original treaty of 13 February 1904, that wherever visible and possible, the natural Watershed line was to be first choice used in marking & settling the boundaries. It should be also understood even without clearly specifying that, on the location or territory without the Watershed line, then a fair and equitable method (as the alternative means) be employed with the consent from both sides to delimit the border. In the Kao Pra Viharn case, the watershed line is clearly present in addition to the cliff and mountain range that physically separates our country from Cambodia on the low land below. The Court’s opinions (see item B-3 & B-4 on page 35 of Exhibit B) about discounting & refusing to accept the use of the natural watershed line as the effective means of dividing boundaries were the main problem in this case. The 9 judges were wrong. As the most logical and practical method, the natural watershed line should be and has been internationally accepted as the primary line for dividing the borders just like rivers or lakes were used to separate many nations’ borders. Amur River separates Russia from China. Mekong River separates Thai & Laos. Uruguay Rivers is used as borderline between Argentina & Uruguay, between Argentina & Brazil. The Great Lakes are used to separate Canada & US border. So, the Court’s judges clearly were wrong in refusing to use the natural watershed line to mark the area on the Dongrak mountain range.
EXHIBIT B

  • Item A-4 states that a MIXED commission (of Thai & French representatives) should travel along the Dongrak range for reconnaissance and that A French SURVEY OFFICER should survey the whole eastern part of Dongrak range.
Here, the fact is it was not a mixed commission but one with all members was Frenchmen; thus making it a tilted one, off from neutral. As the result, it’s very likely that its work was partial towards its protectoral client state of Cambodia. Moreover, how could a sole surveyor of French citizen/service man be trusted as impartial and fair without the proof & control or supervision? The fair & right thing to do was to have other neutral parties (at least 3 members) who have no vested interest to do the survey & mapping.
  • Item A-5 states that in January-February 1907, the President of French section reported to his Government that eh frontier-line has been definitely established (after being surveyed & FIXED). But there was no record of decision or reference made on the Dongrak region in the Commission’s meeting minutes after 2 December 1906 meeting.
The President of French sector did not honestly say who owned the temple. It’s a dishonest act for the President of French sector to hide the fact that his subordinates had already drawn up the boundary lines on the map giving the ancient temple to Cambodia when he reported to his nat’l government in France. Though the Mixed Commission was designated to work on the border delimitation, it was revealed here that they actually paid more focus & attention on the coming treaty of 23 March 1907. So, based on these statements, the French representatives had worked in concert manipulating information & facts to unilaterally preconceive the mapping & content of 23 March 1907 treaty (the 2nd one) while our side was in the passive mode without knowing what actually had occurred in the remote corner of the kingdom.
  • Item A-6 refers to the fact that the final stage of delimitation was the preparation of maps. The Siamese govt, which did not dispose of adequate technical means, had requested that French officers should map the frontier region. These maps were completed in the autumn of 1907 by a team of French officers. Some of whom had been members of the Mixed Commission. Amongst them was a map of the Dongrek range showing Pra Viharn on the Cambodian side. It was on that map (filed as ANNEX 1 to its Memorial) that Cambodia had principally relied in support of her claim to sovereignty over the Temple. Thailand, on the other hand, contended that the map, not being the work of the Mixed Commission, had no binding character; that the frontier indicated on it was not the true watershed line and that the true watershed line would place the Temple in Thailand, and the map had never been accepted by Thailand.
Our legal team had presented the facts which sounded very reasonable & realistic. But despite these logical facts, 9 judges out of 12 were not convinced & chose to rely solely & only on the ANNEXT 1 map itself (which has the scale of 1:200,000 or so). Despite the fact that, in 1934-1935 (item A-9 of Exhibit A), the govt of Thailand had offered a more refined & accurate map to counter the Cambodian, and despite knowing that the Parent Treaty of 13 Feb 1904 which stated the border line be established based (primarily) on the watershed line, these judges chose to give no weigh or place no value to these facts but opted for the Annex 1 map instead. These show that the judges acted in bad faith, with negligence and prejudice no matter how well their explanations were.
  • Item A-7 says that the ANNEX 1 map was never formally approved by the Mixed Commission, which had ceased to function some months before its production.

Despite the long list of logical arguments, facts and references including the parental treaty (done on 13 February 1904) & other subsequent treaties and/or agreements to support the claims made by our country’s legal team (see Exhibit A item A-9), the judges made their decisions based solely on the map called ”Annex 1” drawn by a team of French surveyors/officers. The fact as pointed out by the World Court ’s document here that the ANNEX 1 had never been formally approved by the MIXED COMMISSION, it clearly shows that the map had some problems & flaws. If the map was good enough in terms of fairness & accuracy, it would have been approved by the MIXED COMMISSION & forwarded to Thailand for acceptance. Moreover, our officials involved then would certainly know that the Annex 1 map could not be entrusted or relied on. That’s why Siamese officials did not formally accept or approve it despite repeated presentation & reference by the French counterpart. That’s why Siamese officials came up with the map of our own & brought it to the French in 1934-1935 (item A-8 & A-9 of Exhibit A).
Based on this, how could the World Court, in its deliberation (see item B-1 on page 32 of Exhibit B) consider that Thailand in 1980-1909 did accept the Annex 1 map as representing the outcome of the work of delimitation? The Court’s view seemed to contradict to the fact as stated on item A-7 by the Court’s document itself summarizing their judgment. All 9 judges who voted for Cambodia further showed their prejudice by picking & choosing parts of the facts & created reasons to justify their decisions. There were 2 maps; yet they chose the French’s creation of Annex 1. In human behaviors, most people typically are not vocal. The great majority of people in many cultures are quite reserve. Most people tend to remain quiet even if they do not agree unless it’s the matter of life and death. In dealing with foreigners, barriers often come into play. These barriers include language, culture, and custom (procedural) practice. Additionally, because France was the world superpower, it was very possible that our officials felt intimidated then. Was there any coercion involved, I wonder? Was there any threat involved using the GUN BOAT DIPLOMACY type of tactic then, I wonder? Just because Thai or Siamese officials did not say and/or take action to object to the Annex 1 map, why did the judges chose to negatively interpret as our side had agreed by default? Why did the judges fail to think positively (for the benefit of the doubt & afore-mentioned barriers) that our side had not formally accept & disagreed with the Annex 1 map; that’s why we produced our own map 30 years later when our officials knew a little bit more & better in the mapping technique? Even if some Thai officials gave out the wrong map to others, it was just an inadvertent human error (like the case of left hand does not know what the right hand did) which should not become a key factor used against us.
As we know, before 1904, Frenchmen had traveled to all 7 seas & navigated to various corners of the world to map the localities and colonize them to be their territories as part of their global imperialistic expansion. They were the world’s superpower along with the English & Spaniards after the Portuguese & Dutchmen had become weaker. With their superiority in military power, technological skills (particularly in surveying & mapping), education & legal knowledge in addition to their cunning ability, a small & very backward country with little formal education & elementary knowledge of European languages/customs had little chance to stand up to the world’s superpower like France.
So based on these together with the language barrier, I can understand why our representatives dealing with the French officials in early 1900s did not (as indicated by Cambodian & the judges) take appropriate actions as they should to clearly (on equal footing) counter the Frenchmen’s questionable acts in the process of delimitating & settling the borders between Siam & France (+ Cambodia) then.
The international justice system was not properly served when the World Court’s judges failed to incorporate these factual conditions while ignored the evidence as presented for their consideration before making the judgments (based solely on the Annex 1 map) against Siam/Thailand but in favor of the Cambodia.
For your info, the word ”Annex” is the term usually & exclusively used by any government (either city or county) in its plan to claim a sizable land area not belonging to anyone to become its own territory. The land that a government tries to possess through ANNEXATION may include body or bodies of water (pond, lake) or whatever in the boundaries. I also had seen architects used the word Annex on their maps or blueprints for building projects. The examples include ”the Arnold Building Annex”, ”the Broadway Annex”, etc. So, when the Frenchmen used the name ”ANNEX 1” for the map of Siam & Cambodia they drew up, I could not help to think that French officials/govt representatives then would likely have the idea or intention to further ANNEX more sites or land from Siam to add to Cambodia’s side of the border because if 1 was established, 2-3 or 4 would follow. If it was not the case, then with Frenchmen’s proficiency of language, legal terms & incomparable superior technical knowledge, why they did not use other more appropriate term? This appears to me the Frenchmen involved at the time had hidden motive and the Annex 1 map, solely drawn up by the French team, was done in a bias manner favorable to Cambodia , France ’s protectoral state.
EXHIBIT C
Also for your info, though our team of lawyers, advisors and experts were larger than the Cambodia’s counterpart, the Cambodia was smart enough to recruit Dean Acheson (see Exhibit C) to help representing them on the case. Mr. Dean Acheson was the world’s most renowned diplomat during the post WW2 era. A Yale & Harvard Law School graduate, he was a lawyer by profession with the US Supreme Court experience and also a knowledgeable economist before leaving his legal practice to serve in the US Am-forces participated in the WW2 battles. He later became the US Secretary of State in President’s Harry Truman’s administration & earned the recognition as the Statesman afterward. He was also a strategist credited for being a primary architect of the infamous Cold War & playing the central role in the Marshall Plan, NATO, IMF, World Bank, WTO, and the Truman doctrine. His most famous move was to convince Truman to intervene in the Korean War.
Dean Acheson also was instrumental in framing the US policy on Vietnam persuading Truman to send aids to French forces in Indochina . I also thought that his present & involvement in the Prasart Pra Viharn lawsuit contributed immensely to outcome of the judges’ decisions. (Summarized from Wikipedia)
I agree that our immediate goal is to stop & prevent further loss of the 4.6 KM land. But I’d also suggest that the longer range is to find supporting evidence to convince the world that Prasart Pra Viharn was built, not by Khmers, but by another more civilized group of people who dominated the region before the rise of Khmers & Thais around 1000 AD & centuries thereafter. The ultimate goal is to re-affirm and/or re-establish the acceptance that natural watershed line must be the primary means as border marking method between Thailand & Cambodian borders. If it’s the case, it also should apply to the border area along Dongrak mountain range where Prasart Pra Viharn situated.
Thai government & officials must tell the world & the World Heritage Committee through mass media & independent NGOs that the site around Prasart Pra Viharn is littered with landmines. It was the work of the Khmer Rouge which Hun Sen was a member who had planted them there. But in recent years, Cambodian soldiers also have added many more while our Thai soldiers have tried to defuse & eradicate them. The environment surrounding Prasart Pra Viharn is extremely unsafe, and unsuitable or unqualified to be approved as the World Heritage site.Some one must reimburse Thailand for the costs of cleaning up the landmines, of the limbs & lives lost from the landmines planted by Cambodians.

Remember � the issue of landmines was so popular during Princess Diana’s final years of her life. People in developed countries still care a lot about this issue. We can reignite worldwide attention & interest to help our cause or to side with us in stopping Prasart Pra Viharn from further development. Remember that a buffer zone is needed around the World Heritage site. Without adequate surrounding space, the project can’t & will not go anywhere but be retracted or canceled.
Perhaps, Thai government should file a lawsuit against the French government for their questionable & dishonest acts which led to our loss of the territory & Prasart Pra Viharn because their officers intentionally ignored to follow the use of the natural watershed line in mapping the Dongrak mountain area for border delimitation. They knowingly drew the line eastward passing the ancient temple further into Thailand’s territory on the map which they solely created & was in charge of. Since they were the one who created the continuing problem & the mess, they must take responsibility.
Additionally, we should conduct deeper research in greater details about the ancient Hindu structures all over SE Asia to confirm that they were built first & mostly by the Cham people, not by Khmers whom Cambodians claimed to be their ancestors. The preceding underlined statement is my personal contention. Just because Anchor Wat temples are the largest, it does not mean that other smaller ones scattered in Vietnam , Laos , Thailand , and Burma were all built by Khmers.
In my next emails, I’ll share with you the information & facts that I’ve come across & gathered to help support my contention.
Thank you for your time & attention given,
Regards,

Peter

October 5, 2009
Dear Friends,
Attached above are some more files containing info for you & everyone to be aware of. They are all related to Khao Pra Viharn (the specific question ”APPEALING” you asked) and a pair of Thai citizens with Cambodian heat who gave interview to a foreign media along with news & opinions from people in Cambodia .
As you can see from the attached ”Frequently Ask Questions” section of the ”Practical Information” document, the answers on question 6 should give you the answer about appealing. The Court’s judgments are final and without appeal. But in the event of the discovery of a fact hitherto unknown to the Court which might be a decisive factor, either party may apply for revision of the judgment.Despite this fact, there have been over 1000 appeal for revision or reversion of the judgments so far (please see the attachment with single page for some examples).
Additionally, a few months ago, I read somewhere in the World Court ’s proceedings & regulations which said that there was a 10 year statue of limitation for appealing on Prasart Pra Viharn case. And we all knew, 10 years has long gone. But I must confess that my memory is not as sharp as when I was 10-20 yr younger. Besides, I am not a lawyer. So, I could be wrong on this.
As Sun Wu wrote in the Art of War, there’re 2 lessons that came into my mind.
  • Before engaging in war, one must learn to be familiar with the terrain & environment of the battle fields.
  • Know your enemy & know your own strength (and limitation).
Because of these, I thought we should know How the World Court Works before filing the lawsuit or an appeal. I thought we should know what the Cambodians have been saying, doing or plan to do on the disputed temple. We should also know what would be the impacts on the economy & politics (international) from any hostile action taken either legally or by force.
If we’re going to appeal, we must know about the statute of limitation. And most importantly, we must have the new fact or evidence affecting the case which were unknown to the Court when the judges made their decision then.
As I mentioned earlier, our gov’t must establish a nat’l committee with the tasks to exclusively focus & deal with the issues on Prasart Pra Viharn & other ancient Hindu sites along the border. More & serious attention from leaders (civilian & military) must be given on this. Private advocacy groups must be formed to work closely & in coordination with the govt to solidify the efforts against Cambodian’s side to firmly hold our grounds, protect what we still have & reclaim what we have lost. The cohesive & comprehensive strategies with options must be formulated on the issue.
Thank you for your kind consideration of publicizing my comments & facts provided you on Prasart Pra Viharn. But I personally think that they are not good enough to deserve such consideration for publication. Besides, with everyone’s earnest & honest effort, the fact can be effectively passed on to others who have been misinformed or have not had any factual info on the WC’s actual decisions. As I mentioned to you before, the Cambodian’s side has spies who are closely monitoring us including ASTV & Manager Online. In addition to the increase in population & diversity, Thugsin & his cronies have greatest impact in the hike of hostile elements (in Thai society) that have no loyalty or patriotism towards ethics, our country & our beloved king. Some friends or people in the group could be foes & turning against us as what we’ve seen in Thai politics & during PAD’s movements in the long & hard fight during the past few years. So, for now, let’s keep things in private between/among us.

Regards,
Peter

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง