ขบวนการขายชาติศตวรรษ ๒๑
กับวาทกรรม “ก้าวข้ามทักษิณ”?
Tan Rasana /
ระบอบทักษิณปรากฎขึ้นในกรอบเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยในสถานการณ์โลกซึ่งกระแสโลกาภิวัตน์เชี่ยวกราก และสึนามิทางการเงินพัดเข้ากระหน่ำประเทศสร้างความเสี่ยหายอย่างหนัก กอรปกับนวัตกรรมใหม่ๆในการขุดรีดพลโลกที่มากับการปฏิวัติเทคโนโลยีการสื่อสาร ทำให้อำนาจรัฐในกระบวนทัศน์เก่าไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์บนโลกใบใหม่ได้
ภายในประเทศไทยเองในปี ๒๕๔๐ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เรียกได้ว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับนายทุนใหญ่”ก็เริ่มประกาศใช้ สะท้อนให้เห็นว่า ไม่เพียงแต่ภาคธุรกิจเอกชนเท่านั้นที่จะต้องปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ให้เท่าทันกับวัน-เวลาและสิ่งใหม่ๆที่ถาโถมเข้ามา ภาครัฐและความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ-ประชาชนก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงยกระดับไปสู่คุณภาพใหม่ในขณะเดียวกันด้วย
ห้วงเวลาเช่นนี้เองที่นักธุรกิจในภาคการสื่อสารที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ ผู้ผ่านการทดลองงานการเมืองในตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศและรองนายกรรัฐมนตรีมาเป็นระยะเวลา ๓ ปี พร้อมที่จะเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่..ของประเทศด้วยคะแนนเสียงในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย เขาสามารถสร้างดาวดวงใหม่ สร้างความหวังใหม่ เสนอตัวเข้ามาเพื่อที่จะเติมเต็มกับสุญญากาศทางกระบวนทัศน์ของสังคมทั้งสังคม เขาประกาศคำขวัญ “คิดใหม่-ทำใหม่”เพื่อปฏิสังขรณ์ซากปรักหักพังของสังคมไทยหลังวิกฤติ ๒๕๔๐ เสนอตัวที่จะแก้ไขกฎหมายขายชาติ ๑๑ ฉบับ โดยการตั้งคณะกรรมการร่วมภาคประชาชน(ซึ่งภายหลังไม่มีการประชุมหรือปฏิบัติการใดๆออกมาอย่างเป็นมรรคเป็นผล) รัฐธรรมนูญใหม่ก็ได้ปรับเปลี่ยนระบบเลือกตั้งที่ยิ่งเอื้อประโยชน์กับการเข้าสู่ถนนการเมืองของเขาได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
สิ่งที่เขาสัญญิงสัญญากับประชาสังคมประเทศไทยก็คือการทำให้ประเทศไทยเข้มแข็งขึ้นในทางเศรษฐกิจเพื่อการแข่งขันได้ในเวทีโลก และนี่ก็เป็นที่มาของการสร้างระบบเศรษฐกิจแบบคู่ขนานหรือ “Dual Track Policy”ซึ่งนักวิชาการบางคนผัดหน้าทาแป้งให้ว่าเป็นเศรษฐกิจสังคมทุนนิยม(Social Capitalism)ที่เศรษฐกิจเส้นบนจะมีลักษณะทุนนิยมเต็มรูปแบบคือการใช้ระบบการเงิน-การคลังและตลาดเงิน-ตลาดทุนเป็นตัวกระตุ้น ส่วนเศรษฐกิจเส้นล่างจะมีลักษณะสังคมนิยม คือการใช้ลักษณะประชานิยม โดยรัฐอัดฉีดเม็ดเงินลงไปสู่ฐานราก หรือที่ทักษิณใช้คำว่า “รดน้ำที่ราก”เพื่อให้เกิดการผลิต เกิดสินค้าเกิดการซื้อขาย ในท้ายที่สุดสร้างการบริโภคหรือสร้างตลาดใหญ่ให้กับการบริโภค
ทักษิณสามารถระดมมันสมองและผู้คนจากทุกทั่วสารทิศมาทำงานร่วมกันกับเขาในระยะแรกของพรรคไทยรักไทย แต่ต่อมาไม่นานตัวตนที่แท้จริงของเขาที่คำพูดกับการกระทำสวนทางกันในทิศทาง ๑๘๐ องศาอยู่เสมอทำให้พลังห้อมล้อมค่อยๆแตกหนีกระจัดกระจายไปทีละกลุ่มสองกลุ่ม ความผิดหวังและความเจ็บปวดของคนการเมืองที่เข้าร่วมกันเขาแสดงออกอย่างเปิดเผยในภายหลังจากเวลาของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ในอำนาจด้วยกันไม่นาน
จากสัมปทานดาวเทียมสู่ “สัมปทานอำนาจรัฐ”
ผ่านการสะสมทุนจากธุรกิจสื่อสารได้จำนวนมหาศาล ทักษิณตระหนักดีแล้วว่า การทำมาหากินกับสัมปทานทรัพย์สินของรัฐนั้น เป็นช่องทางที่ถ่างกว้าง เพียงแค่การลงทุนเคลื่อนเงินสินบนจำนวนหนึ่ง เขาก็สามารถครอบครองและสร้างธุรกิจมูลค่านับแสนล้านบาทได้ภายในช่วงระยะเวลาไม่ถึงสิบปี เขาได้เริ่มเรียนรู้และเพิ่มความทะเยอทะยานมากขึ้น ในช่วงวิกฤติของประเทศชาติที่ยังขาดเจ้าภาพมาแก้ไข หาทางออกจากความตีบตันทางปัญหาของระบบการปกครอง และกระบวนทัศน์ทางเศรษฐกิจใหม่ที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เขาได้ใคร่ครวญที่จะใช้โมเดลของการได้มาซึ่งสัมปทานในทรัพย์สินของรัฐเพื่อจุดประสงค์อย่างอื่นๆ และนั่นก็คือ การช่วงชิง “สัมปทานอำนาจรัฐ” การหาทางช่วงชิงอำนาจรัฐให้มาอยู่ในมือ และการขับเคลื่อนสินบนลงสู่รากหญ้าในรูปของการตั้งพรรคการเมืองและการซื้อเสียง เขาได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งเพราะเงื่อนไขแวดล้อมอำนวยให้ทุกอย่าง เขาได้รับ “สัมปทานอำนาจรัฐ” ในขณะที่ยังได้ถือครองสัมปทานธุรกิจในทรัพย์สินของรัฐคือสัมปทานดาวเทียม
ในความหมายใหม่นี้ก็คือ การที่เขาได้มีโอกาสที่จะเป็น “คู่สัญญากับตัวเอง” เป็นโอกาสทางธุรกิจ เป็นนวัตกรรมใหม่ที่สุดของทุนครอบโลกที่ไม่ต้องใช้ “นอมินี”มาถือหุ้นทางการเมืองแทน เมื่อทุนได้ผนวกเข้ากับอำนาจรัฐโดย “นายทุน”เข้าแย่งยึด “อำนาจรัฐ”ได้อย่างเบ็ดเสร็จ แล้วสามารถทำสัญญา สัมปทานอำนาจรัฐที่มีคู่สัญญาก็คือ “ลูก-เมีย-ญาติและคนรับใช้” ที่เขานำหุ้นไปซุกเอาไว้เพื่อตบตาประชาชนว่า เขาเองได้ละวางมือจากธุรกิจแล้ว โกหกพกลมว่าต้องการทำงานการเมืองเพื่อชาติเพื่อประชาชน
การได้มาซึ่ง “สัมปทานอำนาจรัฐ”และการ “เป็นคู่สัญญากับตัวเอง” ทำให้ทักษิณเริ่มใช้อำนาจที่มีอยู่เพื่อการเอารัดเอาเปรียบคู่แข่งขันที่เป็นเอกชนรายอื่นๆ เขาได้เริ่มหาลู่ทางแก้ไขกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจและแสวงหากำไรให้กับธุรกิจของตนเอง เอารัดเอาเปรียบประชาชนและประเทศชาติ ไม่เพียงแต่เท่านั้น เขายังสามานย์ถึงขนาดนำเอาสัมปทานรัฐ-สัมปทานดาวเทียมที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติไปขายให้นายทุนต่างชาติด้วยวิธีการหาทางหลบเลี่ยงภาษีโดยมีนายสุวรรณ วลัยเสถียร(สมควรที่ประชาชนไทยจะบันทึกและจดจำคนๆนี้)คนรับใช้ผู้ขายชาติเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้ทั้งหมด
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทย ได้เปิดโปงถึง ๑๑ ประเด็นผลาญชาติของทักษิณ ชินวัตรที่มีการใช้สัมปทานอำนาจรัฐลักษณะเป็นคู่สัญญากับตัวเอง เอารัดเอาเปรียบคู่แข่งขัน สร้างผลกำไรได้มากขึ้นด้วยการเอารัดเอาเปรียบวิสาหกิจของชาติของประชาชน ว่า ก่อนเข้าบริหารประเทศของตระกูลชินวัตรมีมูลค่าหุ้น ๓๒,๐๐๐ ล้านบาท ผ่านไปเพียงระย ๕ ปีมีเงินเพิ่มขึ้น ๑๓๔,๐๐๐ ล้านบาท เพราะได้กระทำการต่อไปนี้คือ
๑.ใช้สัมปทานอำนาจรัฐแปรสภาพคู่สัญญาและคู่แข่งของบริษัทเอไอเอสคือองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.)เป็น ทศท.คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ทำให้ ทศท.อ่อนแอลงขณะเดียวกัน เอไอเอส เข้มแข็งขึ้น
๒.ให้การสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) แปรสภาพเป็นบริษัท กสท.โทรคมนาคม ยกเลิกการประมูลสัมปทาน เทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือ ซีดีเอ็มเอ เฟสที่
๓. ใช้อำนาจรัฐแทรกแซงกรณีนายลีกาชิง มหาเศรษฐี ชาวฮ่องกง เจ้าของบริษัทฮัทชิสัน ชนะประมูลแล้วกลับให้ กสท.ลงทุนเอง และเมื่อรัฐเป็นผู้กำกับดูแลก็ทำให้ กสท.อ่อนแอลง ผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับบริษัทเอไอเอส
๔.ตรา พ.ร.ก.ให้กระทรวงการคลังจัดเก็บภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือโดยไม่กระทบรายได้สัมปทานของผู้ประกอบการรายเดิม กีดกันผู้ประกอบการรายใหม่จนไม่มีผู้เข้ามาแข่งขัน
๕.ให้บริษัทเอไอเอสแก้สัญญาร่วมงานกับบริษัท ทศท.ในการจ่ายเงินชดเชยของโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบพรีเพดวันทูคอลให้ลดลงจาก ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ทำให้รัฐเสียรายได้ ๑,๖๐๐ ล้านบาทต่อปี เอไอเอสได้ประโยชน์
๖.ใช้สัมปทานอำนาจรัฐให้กระทรวงการคลังยกเลิกภาษีนำเข้าโทรศัพท์มือถือจาก ๑๐ เปอร์เซ็นต์เหลือ ๐ เปอร์เซ็นต์ ทำให้บริษัทเอไอเอสมีกำไรเพิ่มขึ้น
๗.ลดค่าสัมปทานไอทีวีเหลือเพียง ๑๕๐ ล้านบาทต่อปี รวมทั้งเปลี่ยนเงื่อนให้มีรายการบันเทิงเข้ามาทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้นอีก รวมแล้วไอทีวีจะได้กำไร ๕๗,๐๐๐ ล้านบาทภายใน ๒๐ ปี
๘.ให้บริษัทชินคอร์ปฯลงทุนในสายการบินแอร์เอเชียซึ่งถือเป็นคู่แข่งของสายการบินไทยทำให้การบินไทยอ่อนแอ ปัจจุบันแอร์เอเชียมีเที่ยวบินกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ๑๒๐ เที่ยวต่อเดือน ทับซ้อนเส้นทางของสายการบินไทย
๙.ให้พัฒนาสนามบินเชียงใหม่เป็นฮับเพื่อประโยชน์ของแอร์เอเชีย และยกเลิกเส้นทางการบินไทยหลายเส้นเพื่อหลีกทางให้แอร์เอเชียที่ตนเองมีหุ้นส่วนอยู่
๑๐.ให้ดาวเทียมไอพีสตาร์ได้รับการสนับสนุนจากประเทศนิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย จีนและอินเดีย ซึ่งเชื่อมโยงกับการเจรจาเอฟทีเอทั้งสิ้น ทำให้ผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนเพิ่ม แต่รายได้ของประเทศลดลง
และ ๑๑.ใช้สัมปทานอำนาจรัฐออก พ.ร.บ.ให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในกิจการโทรคมนาคมจาก ๒๕ เปอร์เซ็นต์ เป็น ๔๙ เปอร์เซ็นต์ เอื้อประโยชน์ให้แก่ทุนข้ามชาติ กลุ่มทุนเทมาเสกได้โอกาสเข้ามาลงทุน ซึ่งเทมาเสกเป็นแขนขาของรัฐบาลสิงคโปร์ ปัจจุบันถนนสุขุมวิทกว่าครึ่งถูกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ของสิงคโปร์ซื้อแล้ว รวมทั้งโรงแรมต่างๆ ที่เป็นระดับ ๕ ดาวใน กทม.ด้วย
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งอันเป็นส่วนเสี้ยวเดียวที่เขาได้ใช้ “สัมปทานอำนาจรัฐ”แสวงหากำไรให้กับธุรกิจของตนเองในฐานะ “คู่สัญญากับตัวเอง” โดยมีเป้าหมายการขายสัมปทานดาวเทียมให้กับต่างชาติ เพื่อแต่งตัวเข้าสู่ธุรกิจพลังงาน และแน่นอนการได้ถือครองสัมปทานอำนาจรัฐ จะทำให้ธุรกิจพลังงานในอ่าวไทยซึ่งได้ร่วมวางแผนเอาไว้กับนายกรัฐมนตรีฮุนเซนของประเทศกัมพูชาเป็นไปด้วยความราบรื่น เป็นธุรกิจยุครุ่งอรุณหลังจากธุรกิจสื่อสารกลายเป็นธุรกิจเที่ยงวันและไม่สามารถทำกำไรให้มากกว่าที่เป็นอยู่แล้ว ประกอบกับเริ่มมีการพัฒนาเทคโนโลยีซึ่งจะทำให้การลงทุนเพิ่มมากขึ้น สัดส่วนของกำไรก็จะน้อยลง
การเสพติดสัมปทานอำนาจรัฐทำให้เขาต้องหาทุกวิถีทางที่จะกลับคืนมาถือครองมันอีกครั้ง ไม่ต้องการให้สัมปทานนี้หลุดลอยไป ในภาวะเศรษฐกิจชาติที่ยังผงกหัวไม่ขึ้นจากสถานการณ์วิกฤติเศรษฐกิจโลก จากความอ่อนแอของพรรคแกนนำรัฐบาลทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นความอ่อนแอที่ทำให้เขาเคยได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี ๔๐ ที่สำคัญ “กรอบเวลา”การดำรงอยู่ของสิ่งที่เขาเรียกว่า “ระบอบอำมาตย์”ค่อยๆหดสั้นลงเหลือเวลาน้อยลง ปัจจัยทั้งภายในภายนอกเหล่านี้ทำให้เขาต้องทำ “สงครามครั้งสุดท้าย”เพื่อแย่งยึดสัมปทานอำนาจรัฐกลับคืนมาให้จงได้
และนี่คือเหตุผลว่า ระบอบทักษิณจะยังไม่ตายไปจากโลก และจะยังไม่มีการรามือที่จะเข้าแย่งยึดสัมปทานอำนาจรัฐกลับคืนไปเป็นของเขา เพราะเป้าหมายยาวไกลยังไม่บรรลุผล เงินทุนสะสมที่ยังเหลืออยู่จำนวนมากที่สามารถซื้อประเทศไทยได้ทั้งประเทศ ได้เข้ามา “ล่อซื้อ”ขบวนการต่างๆที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อความยุติธรรมในสังคม กระทั่งได้ก่อตั้งขบวนการการเมืองจอมปลอมที่ชื่อ “แนวร่วมประชาชนประชาธิปไตยแห่งชาติ”หรือนปช. เพื่อประสานกับกองกำลังซากเดนของเขาที่ยังฝังตัวอยู่อย่างหนาแน่นในอำนาจรัฐ เพื่อเป้าหมายที่จะให้เกิดสภาพ “รัฐซ้อนรัฐ”และการบ่อนทำลายจากภายใน เพื่อให้เกิดสภาพ “รัฐล้มเหลว”หรือ “failed state”เพื่อการแทรกแซงจากภายนอกของเขาจะทำได้ง่ายขึ้น
แยกขบวนการประชาธิปไตยออกจากขบวนการอนาคี่ของทักษิณ
“การแยกขบวนประชาธิปไตยสร้างสรรค์ออกจากขบวนการอนาธิปไตย(ประชาธิปไตยจอมปลอม) เป็นภาระหน้าที่สำคัญและเร่งด่วนเฉพาะหน้า”
๑๙๓ วันของวิกฤติสังคมไทยได้จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของทุกๆฝ่าย โดยเฉพาะประเทศชาติและประชาชน ภาระหน้าที่เร่งด่วนในการฟื้นฟูประเทศ สังคมและจิตใจอันบอบช้ำของผู้คนทุกๆฝ่ายเป็นภาระหน้าที่เร่งด่วนที่จำเป็นกับสถานการณ์เฉพาะหน้าขณะนี้
การจุดประกายความคิดต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งของ คมช.จากการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ จนกระทั่งนำมาซึ่งการจัดตั้งขบวนการ นปช.(แนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย)ภายใต้การสนับสนุนทางการเงินจากพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทางการเมืองจากส.ส.พรรคเพื่อไทย และการทหารจากนายพลในกองทัพทั้งที่ยังประจำการและปลดประจำการ จนกระทั่งนำมาสู่การต่อสู้เรียกร้องเพื่อการโค่นล้มพรรคประชาธิปัตย์โดยการเรียกร้องให้มีการยุบสภา หรือให้นายกลาออก อันเป็นทั้งเกมการเมือง เกมสงครามและมีนัยเป็นเกมเศรษฐกิจที่แฝงเร้นด้วยความเลือดเย็น
ไม่ว่า นปช.จะมีข้ออ้างใดๆในการเคลื่อนไหว ข้อเรียกร้องและบทบาทของ นปช.ได้มีหลักฐานเชิงประจักษ์ต่างๆมากมายที่แสดงให้เห็นว่า การต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของพวกเขานั้น แท้ที่จริงก็คือการดำเนินหมากกลทั้งทางการเมือง การทหารและเศรษฐกิจเพื่อปูทางให้กับการแก้ไขการกระทำผิดของทักษิณ ชินวัตรและเป็นการปูทางให้แก่การกลับมาสู่อำนาจใหม่อีกครั้งหนึ่งของเขา โดยการเคลื่อนไหวทั้งหมดอยู่ภายใต้เครือข่ายใหญ่ซึ่งได้มีการออกแบบมาแล้วเป็นอย่างดีของคนระดับเสนาธิการทางการเมือง การทหารและเศรษฐกิจ ภายใต้การกำกับของทักษิณ ชินวัตรโดยตรงรวมทั้งภรรยาน้องสาวและบุคคลใกล้ชุดของเขาในแวดวงต่างๆ
การเคลื่อนไหวและข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลของนปช.จึงแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งไม่สามารถปิดบังอำพรางแก่นแท้ของจุดประสงค์ในการเคลื่อนไหวที่นำเอาประชาธิปไตยมาเป็นข้ออ้างได้ พวกเขาได้ละเมิดหลักการการเคลื่อนไหวต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมและประชาธิปไตยที่ให้การเรียกร้อง “มีเหตุผล ได้ประโยชน์ รู้ประมาณ” นอกเหนือจากนั้น พวกเขาได้มีการเคลื่อนไหวที่ใช้ความรุนแรง ใช้การยั่วยุและวิธีสามานย์ต่างๆเพื่อให้รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำตกหลุมพรางไปสู่กับดักทั้งทางการเมือง การทหารและทางเศรษฐกิจที่พวกเขาวางเอาไว้ พวกเขาแปรขบวนการที่อ้างว่าเป็นขบวนการประชาธิปไตยไปเป็นขบวนการของพวก “อั้งยี่” โดยใช้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ เด็กและคนชรา เป็นตัวประกันและเป็นโล่ห์มนุษย์คุ้มครองเหล่าบรรดาแกนนำซึ่งภายหลังได้กระทำการถึงขั้นเป็นกบถต่อประชาชนด้วยการก่อวินาศกรรมทำลายผลปประโชน์ของประชาชน
ความพ่ายแพ้และปราชัยของ ขบวนการอนาธิปไตยของ นปช.จะต้องเกิดขึ้นอย่างไม่พักต้องสงสัย เพราะเป็นการเคลื่อนไหวที่ก้าวข้ามขอบเขตของการต่อสู้ทางการเมืองอันชอบธรรม ไปไกลเกินกว่าที่ประชาชนทั่วประเทศจะยอมรับได้ว่ามันเป็นการต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของพวกเขา เพราะหลักฐานเชิงประจักษ์ที่เกิดขึ้นมามายจากการทำลายชีวิตทหาร การทำลายชีวิตฝ่ายเดียวกันเอง การวินาศกรรมสถานที่ต่างๆ พวกเขามุ่งทำลายผลประโยชน์ของประชาชน โดยโยนความผิดให้กับรัฐเพื่อให้ประชาชนเคียดแค้นชิงชังรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐ และคาดหวังว่าความเคียดแค้นชิงชังเหล่านี้จะก่อรูปไปเป็นฉันทามติให้แก่พวกเขาในการโค่นล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์เพื่อปูทางให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ เปิดโอกาสให้ทักษิณ ชินวัตรเจ้านายใหญ่ของพวกเขากลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง การต่อสู้ยิ่งลุกลามไปเมื่อพวกเขาแพ้ ปฏิบัติการเผาบ้านเผาเมืองเพื่อให้บ้านเมืองอยู่ในสภาพบ้านป่าเมื่อเถือน โดยหวังจะให้รัฐไทยเป็น “รัฐล้มเหลว”เพื่อให้ต่างชาติเข้าแทรกแซง ปฏิบัติการล้างแค้นทางเศรษฐกิจ ที่ให้รํฐบาลต้องเอาเงินมาเยียวยาประเทศที่ต้องใช้เม็ดเงินมากกว่าที่ยึดเอามาจากทักษิณ ๔.๖ หมื่นล้านบาท
หลักฐานเชิงประจักษ์เหล่านี้ได้ตบหน้าผู้คน กลุ่มบุคคล สถาบันและนักวิชาการที่ทำตัวเป็นกลาง หรือกระทั่งประกาศตัวอย่างเปิดเผยว่า เป็น “red elite”ที่พยายามผัดหน้าทาแป้งให้กับขบวนการอนาคี่ของทักษิณว่าเป็นการต่อสู้ของคนยากคนจน ตบหน้าขบวนการ “ซ้ายหลงยุค”ที่ร่วมคิดค้นวาทกรรม “ไพร่-อำมาตย์” ตบหน้าขบวนการ “ซ้ายอีแอบ”ที่รับใช้ทักษิณมาจนกลายเป็น “เด็กในบ้าน”ที่ร่วมกันสร้างแก้วสามประการ พรรค กองทัพ(เถือน)และแนวร่วม(ตัวประกัน)ให้กับขบวนอนาคี่ของทักษิณ
ที่สำคัญมันเป็นข้อพิสูจน์ว่า “ทักษิณ”ยังไม่ตาย และยังไม่มีวันเลิกราง่ายๆ และยังคงส่งสัญญาณ “อวตารโมเดล”หลังจากที่ขบวนการก่อการร้ายของเขาทำการเผาบ้านเผาเมือง ใช้กองทัพเถื่อนจนถูกปราบปราม วาทกรรม “ก้าวพ้นทักษิณ”จึงเป็นข้ออ้างที่ไร้ความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง
บทพิสูจน์ ๕ ข้อ “ก้าวข้ามทักษิณ”
ปฏิบัติอย่างไรที่จะให้วาทกรรม"ก้าวข้ามทักษิณ"เป็นจริง
๑.แยกตัวออกจากขบวนการทักษิณ
๒.เลิกพึ่งพิงเงินและปัจจัยเคลื่อนไหวจากทักษิณ
๓.ข้อเรียกร้องของขบวนการประชาธิปไตยต้อง"มีเหตุผล ได้ประโยชน์ รู้ประมาณ"
๔.ยุติวินาศกรรมทำลายผลประโยชน์ของปชช. และ-
๕.ยุติบ่อนทำลายชาติสร้างความแตกแยก สร้างภาพให้ไทยเป็น"รัฐล้มเหลว"เพื่อชักศึกเข้าบ้านเอาต่างชาติมาแทรกแซง
ชัยชนะของรัฐบาลบนสี่แยกราชประสงค์เป็นชัยชนะทางการทหารชั่วคราวทางด้านการเมืองไม่มีใครพ่ายแพ้นอกจากประชาชน แกนนำเสื้อแดงได้กลายเป็นฮีโร่พันธุ์ใหม่ของอนาคิสต์ที่เป็นหัวโจก เป็นคนยากคนจนในเมืองที่ไร้จัดตั้งและคนระดับรากแก้วของประเทศที่ถุกหลอกลวง เชื่อว่า การต่อสู้ของขบวนการทักษิณจะยังดำเนินต่อไปและต่อไป แม้เขาจะพ่ายแพ้แต่ก็ได้สร้างร่องรอยบอบช้ำทางเศรษฐกิจนับแสนล้านบาทที่ทำให้รัฐบาลต้องทุ่มเทงบประมาณอันมาจากภาษีอากรของประชาชนลงไปเยียวยาแก้ไข นับเป็นการ “วางยา”ทางเศรษฐกิจ เป็นระเบิดเวลาที่ต้องทำกอบกู้อย่างรีบด่วน
รูปแบบการเคลื่อนไหวแบบ “ใต้ดิน”มีโอกาสเป็นไปได้สูง ขณะเดียวกัน รูปแบบการต่อสู้ที่เรียกร้องความชอบธรรม เรียกร้องประชาธิปไตยแบบของ ขบวนการอนาคี่ของ นปช.ก็ส่อเค้าลางว่าจะประทุขึ้นอีกหลังการยกเลิก พรบ.สถานการณ์ฉุกเฉิน
การเรียกร้องให้มีข้อจำแนกระหว่างขบวนการประชาธิปไตยของประชาชนที่ต้องเบนเข็มไปสู่การผลักดันให้เกิดการปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจังออกจากขบวนการอนาคี่ของ นปช. และการ “ก้าวข้ามทักษิณ”ที่เป็นจริงในทางปฏิบัติ เป็นภาระหน้าที่สำคัญและเร่งด่วนที่สุดของประชาชนทั่วประเทศในขณะนี้
Shin thai political warfare โมเดลขุมกำลังเต็มรูปแบบของทักษิณ
สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เคยเปิดโปงแผน ๗ ขั้นล้มสถาบัน โดยเขากล่าวว่า ตนเองได้รับเอกสารลับจากนายทหารยศพลอากาศเอกท่านหนึ่งที่เปิดโปงถึงแผนการ ๗ ขั้นของทรราชและกลุ่มคนผู้ต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งก็เป็นจริงตามที่ สนธิ ลิ้มทองกุลและกลุ่มพันธมิตรได้กล่าวมาตลอด โดยคนกลุ่มนี้พยายามใช้เงินซื้อประชาชนและใช้เงินซื้อทหารบางคน
สำหรับแผนบันได ๗ ขั้นเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์และยึดอำนาจในการปกครองประเทศนั้น"สมเกียรติ"ได้แจงรายละเอียดโดยคร่าวๆ เข้าใจง่ายๆดังนี้
๑.สร้างความแตกแยก ให้แบ่งกันเป็นฝ่าย จากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น บวกกับ แผนบันได ๗ ขั้น ที่กล่าวมา เหตุการณ์ประเทศไทย เขากล่าวว่า ณ วันนี้ เป็นเพียงแผนการที่อยู่ในขั้นที่ ๖ เท่านั้น
๒.ชี้นำกลุ่มที่แตกแยกสองข้างให้เอาชนะกัน
๓พัฒนาการต่อสู้ให้เข้มข้น โดยใช้อำนาจรัฐโดยเฉพาะรัฐตำรวจและใช้ความรุนแรงเป็นวิธีหลัก
๔.ยกระดับความรุนแรงให้สูงขึ้น ต้องให้แต่ละฝ่ายทำร้ายกันและกันให้ได้
๕.เมื่อปราบปรามใช้ความรุนแรงแล้ว ค่อยยกระดับความรุนแรงให้กลายเป็นจลาจล
๖.เมื่อเกิดการจลาจลแล้วต้องพัฒนาให้กลายเป็นสงครามกลางเมือง
๗.หลังเกิดสงครามกลางเมืองแล้วต้องก่อสงครามประชาชนทั่วประเทศ และกำจัดกลุ่มประชาชนที่ไม่เห็นด้วยให้หมดไป
การบรรลุโอกาสทองในการกลับมาครอบครองสัมปทานอำนาจรัฐประเทศไทย เพื่ออนาคตทางธุรกิจพลังงานของเขา ได้มีผู้เปิดโปงมาก่อนหน้านี้ และหากจะพิจารณาถึงตัวตนของทักษิณ ชินวัตรในความเป็นนักลงทุน ขณะนี้ก็เปรียบเสมือนกับเขาได้ก่อตั้งบรรษัทข้ามชาติขึ้นมาใหม่บรรษัทหนึ่ง เป้าหมายก็คือการทำสงครามและการเมืองเพื่อแย่งยึดอำนาจรัฐ แย่งยึดสัมปทานอำนาจรัฐที่เขาเสพติดแล้ว เพื่อเป้าหมายไปสู่ธุรกิจพลังงานในอ่าวไทยของเขา
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ได้เขียนบทความลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๓เรื่อง “เจรจาลับระดับโลก “สถาปนารัฐไทยใหม่” แลก “พลังงานในอ่าวไทย”!!?
เขากล่าวว่าการที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา และสหประชาชาติได้แทรกแซงชี้นำให้รัฐบาลเจรจากับคนเสื้อแดง หรือการที่เจ้าหน้าที่สถานทูตหรือเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศบางประเทศเข้ามาสังเกตการณ์หรือพูดคุยกับแกนนำของคนเสื้อแดง หรือการที่สถานทูตออสเตรเลียปิดทำการไม่มีกำหนด ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญาณความไม่เชื่อมั่นในอำนาจรัฐบาลในเวลานี้ว่า กำลังก้าวเข้าสู่ความเป็น รัฐล้มเหลวแล้วหรือไม่?
ปานเทพกล่าวว่า และเมื่อเห็นว่ารัฐล้มเหลวและอ่อนแอเกินไป จึงมีแต่ข้อเสนอให้รัฐบาลไปเจรจากับกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งมีการสนับสนุนจากกองกำลังติดอาวุธสงครามของโจรก่อการร้ายของรัฐไทยใหม่ เป้าหมายของกลุ่มคนเสื้อแดงปีกความรุนแรงแห่งรัฐไทยใหม่ในเวลานี้ จึงต้องการยกระดับให้เป็นสากลให้ได้ในทุกวิถีทาง
เขากล่าวว่า และยังอาจมี ขบวนการเจรจาที่จะมอบผลประโยชน์ของประเทศไทยในอนาคตประเคนเป็นบรรณาการในรูปแบบต่างๆ ให้กับต่างชาติที่เข้าร่วมด้วย หรือที่เรียกว่า “ขายชาติเพื่อช่วยกันสถาปนารัฐไทยใหม่” อีกด้วย พลังงาน และน้ำมันในอ่าวไทย คือแรงจูงใจประการหนึ่ง อันมหาศาลที่ต่างชาติมองเข้ามา และพยายามเข้ามาแทรกแซงหรือเปลี่ยนอำนาจรัฐ แล้วเข้ามาสูบผลประโยชน์ทางพลังงานออกไป คล้ายกับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกรณีเรื่องผลประโยชน์แลกเปลี่ยนขายชาติในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารและการแอบตกลงเอาพื้นที่เขตไหล่ทวีปทางทะเลซึ่งเป็นของไทยให้เป็นของกัมพูชาเพื่อหาผลประโยชน์ทางพลังงานเข้ากระเป๋าส่วนตัวของนักการเมืองเพียงไม่กี่คน
วันนี้ทะเลในอ่าวไทย มีผลประโยชน์อย่างมหาศาลที่ต้องมีการช่วงชิงของมหาอำนาจชาติต่างๆ ทั้งที่ต้องรักษาผลประโยชน์ของตัวเองที่มีอยู่และการช่วงชิงทรัพยากรเพิ่มเติมในอนาคต เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ สิงคโปร์ ฯลฯ
หลายสิบปีมานี้ประเทศมหาอำนาจวนเวียนกับการแทรกแซงและคุกคามในประเทศต่างๆ ที่จะนำมาสู่การได้มาซึ่งพลังงานกลับเข้ามาสู่ประเทศของตนเท่านั้น!!!
สมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ประกอบไปด้วย ๕ ประเทศ ได้แก่ จีน ฝรั่งเศส รัสเซียสหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา เมื่อดูประเทศเหล่านี้แล้วก็จะพบว่า ไม่มีประเทศไหนเลยที่นักโทษชายทักษิณหรือเครือข่ายคนเสื้อแดงยังไม่ส่งคนไปเจรจา
สำนักข่าว ซีเอ็นเอ็น สังกัดค่ายอเมริกัน ที่เคยฉีกหน้าทักษิณเป็นชิ้นๆ ในการก่อจลาจลของคนเสื้อแดงเมื่อปีที่แล้ว กลับกลายเป็นกระบอกเสียงสร้างความชอบธรรมให้กับคนเสื้อแดงในปีนี้ ด้วยการตอกย้ำจับผิดว่าทหารฆ่าประชาชน เหมือนเหตุการณ์สร้างข่าวบิดเบือนเพื่อสร้างความชอบธรรมให้สหรัฐอเมริกาบุกทั้งอิรักและอัฟกานิสถาน
ตรงกันข้ามกับสำนักข่าวอัลจาซีรา ของโลกตะวันออกกลาง ซึ่งคอยรายงานจับผิด และเปิดโปงขบวนการก่อการร้ายติดอาวุธสงครามที่อยู่กับกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างหมดเปลือก
การส่งสัญญาณแทรกแซงกิจการภายในมาจากสหรัฐอเมริกาหลายครั้งให้รัฐบาลไทยเจรจากับคนเสื้อแดง เมื่อรวมกับกรณีที่ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาที่ได้แวะรับประทานอาหารเช้ากับนายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายนพดล ปัทมะ
แทนที่จะพบกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลไทย เป็นที่ชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกามองผลประโยชน์แห่งชาติอเมริกันบางอย่างที่ได้จากคนเสื้อแดงนั้นใกล้เคียงหรืออาจจะมากกว่ารัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน
หันไปดูที่สาธารณรัฐประชาชนจีน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็เดินเกมทางการทูตให้กับพรรคเพื่อไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องพูดถึงประเทศเพื่อนบ้านซึ่งได้เดินเกมแสวงหาแนวร่วมมาก่อนหน้านี้ตั้งแต่ตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย
ด้านรัสเซีย นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร สามารถเดินเกมเข้าไปพักอาศัยในรัสเซียได้ด้วยตัวเอง ทั้งๆ ที่อยู่ในสถานภาพนักโทษ ซึ่งปรากฏเป็นข่าวน่าสงสัยก่อนหน้านี้ว่าเกี่ยวพันกับการค้าอาวุธสงครามข้ามชาติด้วยหรือไม่?
เมื่อหันไปดูที่อังกฤษ กลุ่มคนเสื้อแดงก็ได้ใช้วิธียื่นหนังสือผ่านทูตสหภาพยุโรปกดดันทางอ้อมแทน โดยสำนักข่าว บีบีซี ก็เป็นเสมือนกระบอกเสียงให้กับนักโทษชายทักษิณอย่างต่อเนื่อง
ด้านฝรั่งเศส นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ก็ยังสามารถชอปปิ้งอย่างสบายใจอยู่ที่ห้างหลุยส์ วิตตอง ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งหนึ่งในประเทศที่มีบริษัทสัมปทานขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันในอ่าวไทยที่ได้ไปลงนามกับกัมพูชาในพื้นที่ที่พิพาททางทะเลของไทยกับกัมพูชา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้นักโทษชายทักษิณไม่สามารถที่จะเข้าไปในประเทศฝรั่งเศสได้เลย
สัมปทานอำนาจรัฐเพื่อการ “ฮั้วระดับโลก”ธุรกิจพลังงานในอ่าวไทยเป็นผลประโยชน์มหาศาลที่ทำให้ทักษิณ ชินวัตรไม่อาจจะหยุดยั้งความพยายามที่จะทำให้รัฐไทยเป็น “รัฐล้มเหลวโดยสิ้นเชิง”ในสายตาของชาวโลกและจักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจ และนี่คือที่มาของ ขุมข่ายกำลังเพื่อการโค่นล้มรัฐไทยในโมเดลของ Shin – Thai Political Warfare Company หรือบรรษัทข้ามชาติ สงครามการเมืองของกลุ่มทักษิณ ชินวัตร ซึ่งจะยังไม่หยุดยั้งการรบยืดเยื้อยาวนาน.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น