ปานเทพ" โต้ "มาร์ค"
เขตปลอดทหารกินพื้นที่กัมพูชาบริเวณหน้าผาสูงชัน
ซึ่งไม่มีคนอยู่อาศัยถือว่ากระทบน้อยมากถ้าเทียบกับไทย
ชี้ชัดศาลโลกปล่อยเขมรใช้พื้นที่ลำเลียง แสดงให้เห็นว่าเอ็มโอยู 43
ทำไทยเสียเปรียบทุกเวที เพราะแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ถูกนำมาใช้ ด้าน
"เทพมนตรี" สงสัยรัฐบาลสมรู้ร่วมคิด "ฮุนเซน"
ถึงไปถลำลึกสู่วังวนศาลโลกอย่างไม่ฉลาด
แถมไม่นำกรณีสันปันน้ำเป็นเขตแดนไทยไปสู้ในคราวนี้ด้วย
เวลา 20.30 น. วันที่ 19 ก.ค. นายเทพมนตรี ลิมปพยอม
นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมพูดคุยในรายการ "คนเคาะข่าว"
ถึงกรณีการตัดสินของศาลโลกในการออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวพื้นที่รอบปราสาท
พระวิหาร
นายปานเทพ กล่าวว่า
นายอภิสิทธิ์พยายามบอกว่าที่ศาลโลกขีดเส้นกินพื้นที่กัมพูชาและไทยพอๆกัน
แต่อยากบอกว่าทางฝั่งของกัมพูชาสิ้นสุดที่ตีนเขาเท่านั้น
หมายความว่าพื้นที่ที่กินทางฝั่งกัมพูชาเป็นหน้าผาสูงชันซึ่งไม่มีคนหรือ
ทหารอาศัยอยู่อยู่แล้ว กัมพูชาไม่ได้เสียอะไรมากเลย
เพราะไม่ได้กระทบต่อพื้นที่จริง
ตรงกันข้ามประเทศไทยกลับเสียพื้นที่ตั้งแต่จากขอบหน้าผา
เลยไปตามปราสาทพระวิหาร เลยสระตราวผ่านไปยังผามออีแดงสถูปคู่
อีกด้านสะเทือนไปยังภูมะเขือ ซึ่งเป็นของไทย 100 เปอร์เซ็นต์
เราเสียพื้นที่ที่มีทหารตั้งอยู่ในพื้นที่ราบทั้งหมด
และกินพื้นที่ไทยมากกว่าแผนที่มาตรา 1 ต่อ 2 แสน
อันนี้นายอภิสิทธิ์พูดความจริงไม่หมด
นายเทพมนตรี กล่าวว่า ปราสาทตั้งอยู่บนหน้าผา
นายกฯเคยบอกว่าพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเป็นของเรา
เส้นสันปันน้ำคือเขตแดนของไทย
ถ้าดูจากผังของศาลโลกอาจมองเหมือนที่นายอภิสิทธิ์พูด
คือพื้นที่ปลอดทหารของไทย-กัมพูชา จะเท่าๆกัน แต่ท่านพูดเป็นศรีธนญชัย
เพราะไปเอาพื้นที่หน้าผาสูงชันมารวมด้วย
และที่จริงแล้วกัมพูชาไม่ได้ต้องการพื้นที่ของฝั่งกัมพูชา 8.8 ตร.กม.
แต่เขาสนใจ 8.5 ตร.กม. ของเรามากกว่า
นายกฯพยายามให้คนไทยที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้ มองภาพเป็นแค่ตัวเลข
แต่ไม่กล้าแสดงความจริงที่เป็นภาพกราฟฟิก
นายปานเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า
ความสูงที่เริ่มเป็นจุดตัดจากแผนที่ของศาลโลก
วัดจากพื้นที่ราบที่มีคนอาศัยอยู่ อาจสูงต่างกันประมาณตึก 72 ชั้น
คิดดูว่าจุดที่พูดถึงใครจะอาศัยอยู่ได้ และนายอภิสิทธิ์ไม่พูดต่อว่า
ทันทีที่ปลอดทหาร พื้นที่ทั้งหมดไม่มีชุมชนไทยอาศัยอยู่เลย
มีแต่ชุมชนกัมพูชา
ถ้าปล่อยอย่างนี้ไปเรื่อยๆเขาก็จะขยายชุมชนต่อเนื่องไปได้อีก
ขยายไปถึงผามออีแดง สถูปคู่ สระตราว กลายเป็นว่าทหารไทยเข้าไม่ได้
แต่ชุมชนกัมพูชาขยายได้
นายเทพมนตรี กล่าวอีกว่า
ศาลโลกตัดสินออกมาอย่างนี้ตนคิดว่าเราเสียดินแดนแล้ว แม้ใครบอกว่ายังก็ตาม
ขอถามว่าเราไปที่อุทยานแห่งชาติปราสาทพระวิหารได้หรือไม่
ก่อนที่จะถอนกำลังทหาร ให้ถอนพระราชกฤษฏีกาอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารไปเลย
ถอนเรื่องเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าภูมะเขือไป
เพราะว่าถึงอย่างไรเขมรไม่ยอมอยู่แล้ว
และดูทีท่าศาลโลกกระทำการเลยขอบเขตอำนาจศาลโลกปี 2505
คราวนี้นายกฯไม่พูดให้ชัดเจนว่าเส้นทางลำเลียงจะให้ขึ้นทางไหน
เชื่อว่าที่สุดไทยต้องปล่อยให้ขึ้นจากทางบ้านโกมุย
ไม่ได้ให้ขึ้นจากบันไดหัก ซึ่งที่ถูกต้องขึ้นทางบันได้หักเท่านั้น
ตามคำพิพากษาศาลโลกปี 2505
นายปานเทพ กล่าวว่า
ศาลโลกห้ามไทยขัดขวางเส้นทางลำเลียงการส่งกำลังบำรุงสำหรับพลเรือนที่ไม่ใช่
ทหาร ปัญหาคือจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพลเรือนไม่ใช่ทหาร
ในเมื่อทหารไทยถูกกันออกไปอยู่ไกลแสนไกล
แล้วเขมรขึ้นมาจากทางในพื้นที่ที่ทหารไทยห้ามอยู่
การห้ามขัดขวางเส้นทางลำเลียงอย่างนี้หมายความว่า
1.ไม่ปฏิเสธการใช้ถนนที่ลุกล้ำเข้ามาในเขตของไทย
2.ศาลโลกเห็นด้วยกับการละเมิดเอ็มโอยู 2543
จนกลายเป็นทรัพย์สินคือถนนที่เข้ามาอยู่ในเขตประเทศไทย
และสามารถใช้การได้เป็นปกติ เท่ากับว่าละเมิดเอ็มโอยู 43
ผ่านมาตรการคุ้มครองชั่วคราวไปโดยปริยาย
นายเทพมนตรี กล่าวว่า นายกฯพยายามให้เห็นว่าศาลโลกขีดเส้นขึ้นเอง
รู้ได้อย่างไรว่าศาลเป็นคนทำ แล้วใครให้ศาลทำก็ต้องเป็นผู้ฟ้องนั่นเอง
ตนเชื่อว่าเขมรเป็นคนขีดเส้นนี้
ไม่อย่างนั้นศาลโลกจะรู้หรือทำไมขีดเส้นพอดีกับถนน
ให้คุ้มครองถนนจากปลายตีนเขาหน้าผาตรงพนมดงรัก
ขึ้นมาถึงวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ถ้าศาลโลกมาเมืองไทยเราก็ต้องรู้
แต่ปรากฎว่าไม่มี เพราะฉะนั้นปีหน้าศาลโลกก็คงตัดสินตามแผนที่มาตรา 1 ต่อ 2
แสน คือจะคืนพื้นที่ที่นายกฯบอก 8.5 ตร.กม.คืนมาให้เราหน่อยนึง
แล้วให้คนไทยเห็นว่าเราได้ดินแดนกลับคืนด้วยนะ
ส่วนที่นายกฯบอกว่าศาลโลกไม่ได้ออกคำสั่งคุ้มครองตามที่กัมพูชาขอ
แต่นี่สั่งให้ถอนทหารทั้ง 2 ฝ่าย
ซึ่งตรงนี้ถ้าไม่ถอนทหารก็เป็นมรดกโลกไม่ได้
ถึงอย่างไรกัมพูชาต้องการถอนอยู่แล้ว
นายเทพมนตรี กล่าวต่อว่า ถึงบอกว่ากระทรวงต่างประเทศ
ถลำลึกเข้าไปในวังวนของศาลโลกอีก ตอนนั้นเราก็เตือนกันแล้ว
คิดอย่างอื่นไปไม่ได้เลย ถ้าฉลาดต้องไม่ทำอย่างนั้น
แสดงว่าถ้าไม่ฉลาดก็อาจรู้เรื่องนี้ดีจนกระทั่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ
นายฮุนเซนคงนั่งหัวเราะว่ากลุ่มภาคประชาชนทะเลาะกับรัฐบาลตัวเอง
โดยหารู้ไม่ว่ารัฐบาลได้ไปตกลงกับนายฮุนเซนไว้เรียบร้อยแล้ว
มันคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ตอนปี 2505 ไทยยังเอาสันปันน้ำไปสู้
ยืนยันว่าเป็นเขตแดนไทย แต่สมัยนี้กลับบอกว่าต้องปักปันเขตแดนใหม่
เห็นได้ชัดเจนว่ากัมพูชานำเอ็มโอยู 43 ไปใช้ประโยชน์
อยากจะบอกว่าการเลิกเอ็มโอยู 43
คือการเลิกข้อตกลงที่ทำให้นายฮุนเซนตายอย่างเดียว
นายปานเทพ กล่าวว่า ฝ่ายไทยใช้เอ็มโอยู 43
เพื่อบอกว่าเขตแดนยังไม่ได้ข้อยุติ ไม่มีใครอ้างเขตแดนตัวเองได้
คิดว่าจะใช้มุกนี้ต่อสู้ในศาลโลก หลายๆคนก็ได้เตือนว่าอันตรายอย่างยิ่ง
เพราะเอ็มโอยู 43 มีข้อ 1 ค. ระบุให้ทำหลักเขตแดนตามเอกสารดังต่อไปนี้
รวมถึงแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน
ระวังกัมพูชาเอาไปอ้างว่าแผนที่นี้เป็นผลลัพธ์จากสนธิสัญญาและมีผลผูกพันธ์
ทางกฎหมายระหว่างประเทศ แล้วเขาจะเอาเอ็มโอยู 43
มาผนวกกับมูลฐานที่ศาลโลกใช้ในการตัดสินพระวิหารว่าไทยโดนกฎหมายปิดปากที่
ไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน
ถ้าใช้หลักการนี้ข้ออ้างของเราจะฟังไม่ขึ้น เขาจะบอกว่าทำหลักเขตแดนจริง
แต่ทำตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งไทยลงนามในเอ็มโอยู 2543
จึงมีสภาพบังคับให้ต้องพิจารณาแผนที่นี้อย่างไม่มีเงื่อนไข
และต้องเอาศาลโลกมาพิจารณาประกอบด้วย แล้วเขาก็ใช้วิธีนี้จริงๆ
แล้วก็ต้องเทียบกันระหว่างไทย - กัมพูชา ว่าใครมีน้ำหนักมากกว่า
ปรากฎว่าศาลโลกเชื่อกัมพูชา แสดงว่าเอ็มโอยู 43 ข้อ 1 ค.
ศาลโลกมองว่าเป็นพื้นที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน เป็นของกัมพูชา
จึงให้มีการละเมิดเอ็มโอยู 43 ด้วยการยอมรับในเส้นถนนให้มีการลำเลียงต่อไป
เพราะเขาเข้าใจว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา เลยจับได้ว่าเอ็มโอยู 43
ใช้ไม่ได้จริงในเวทีคณะกรรมการมรดกโลก จนนายสุวิทย์ต้องถอนตัว
ศาลโลกก็เช่นกัน เอ็มโอยู 43
ทำให้กัมพูชามีข้ออ้างว่าไทยไม่เคยปฏิเสธแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน
นายเทพมนตรี กล่าวว่า แล้วที่นายกฯบอกว่ายกเว้นระวางดงรัก
อันนี้ก็ไม่ยกเว้นแล้ว เป็นผลให้เห็นชัดแล้วว่า ทางสากลต้องยอมรับทุกระวาง
ศาลโลกคงงง ตอนไป 2505 ไม่ยอมรับ 1 ต่อ 2 แสน แต่ดันมามีเอ็มโอยู 2543
ซึ่งเป็นการยอมรับ คงตัดสินเลยตามเลย
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น