บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

อีกไม่เกิน 60 วัน ไทยกำลังจะแพ้ศาลโลกรอบที่สองในรอบ 50 ปี !?

ณ บ้านพระอาทิตย์
       โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
      
       วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อคดีการวินิจฉัยตีความคำพิพากษาของศาลโลกกรณีพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารความตอนหนึ่งว่า:
      
       “จะมีการเปลี่ยนแปลงองค์คณะผู้พิพากษาศาลโลกในเดือนกุมภาพันธ์ และเพื่อไม่ให้คดีดังกล่าวข้ามการเปลี่ยนแปลงองค์คณะ ดังนั้นจึงมีการคาดการณ์กันว่า ภายในเดือนกุมภาพันธ์ ศาลโลกจะมีคำตัดสินเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมา ซึ่งรัฐบาลไทยคงได้ยื่นคำให้การที่เป็นลายลักษณ์อักษรไปแล้ว ส่วนการจะไปให้ถ้อยแถลงด้วยวาจา ก็มีความสำคัญ ต้องมีการเตรียมตัวให้ดี มีการซักซ้อม ดำเนินการให้เป็นเอกภาพ”
      
       หากเป็นไปตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คาดการณ์เอาไว้ ศาลโลกจะวินิจฉัยคำพิพากษาของศาลโลก เมื่อปี พ.ศ. 2505 ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ก็แปลว่าเรามีเวลาเหลืออยู่อีกเพียงไม่ถึง 60 วันเท่านั้น ก่อนที่ศาลโลกจะตัดสินไปในทางใดทางหนึ่ง:
      
       ซึ่งปีนี้ถือเป็นปีที่ 50 แล้วที่ศาลโลกได้เคยตัดสินคดีนี้ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ลงความเห็นด้วยข้อความว่า:
      
        “ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา”
      
       สำหรับ ข้อเรียกร้องในข้อ 1 ของกัมพูชาว่าให้ศาลพิพากษาและชี้ขาดสถานภาพของแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว (แผนที่ภาคผนวก 1) และข้อเรียกร้องในข้อ 2 ของกัมพูชาที่ขอให้พิพากษาและชี้ขาดเส้นเขตแนวระหว่างไทย-กัมพูชาตามแผนที่ มาตราส่วน 1: 200,000 (แผนที่ภาคผนวก 1) นั้น ศาลไม่ตัดสินเป็นบทปฏิบัติการของคำพิพากษาโดยให้เหตุผลในคำพิพากษาในครั้ง นั้นว่า:
      
        “คำแถลงสรุปข้อที่หนึ่งและข้อที่สองของกัมพูชาที่ขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดใน เรื่องสถานภาพทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1 และในเรื่องเส้นเขตแดนในอาณาบริเวณที่พิพาท จะรับฟังได้ก็แต่เพียงในฐานที่เป็นการแสดงเหตุผล และมิใช่เป็นข้อเรียกร้องที่จะต้องกล่าวถึงในบทปฏิบัติการของคำพิพากษา ในทางตรงกันข้าม ศาลเห็นว่าประเทศไทยนั้นหลังจากที่ได้แถลงข้อเรียกร้องของตนเกี่ยวกับ อธิปไตยเหนือพระวิหารแล้ว ได้จำกัดการต่อสู้คดีตามคำแถลงสรุปของตนในตอนจบกระบวนพิจารณาภาควาจาอยู่แต่ เพียงการโต้แย้งและปฏิเสธเพื่อลบล้างข้อต่อสู้ของคู่ความฝ่ายตรงข้ามเท่า นั้น โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลที่จะเลือกหาเหตุผลที่ศาลเห็นเหมาะสมซึ่งคำพิพากษาอาศัยเป็นมูลฐาน”
      
       แม้คำพิพากษาจะมีความชัดเจนว่าไม่ได้ตัดสินสถานภาพของแผนที่และเส้น เขตแดนตามแผนที่ภาคผนวก 1 แต่เราก็จะวางใจไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะสิ่งที่กัมพูชาได้ยื่นคำร้องปีที่แล้วต่อศาลโลกนั้นได้ให้ช่วยตีความใน คำพิพากษาในการตัดสินเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ในประเด็นที่มีการลงคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ว่า:
      
        “ประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทยส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือ ในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา”
      
       และสิ่งที่กัมพูชาให้ตีความนั้นก็คือคำว่า การถอยทหาร ตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลออกจาก “บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา” คือบริเวณไหน?
      
       โดยกัมพูชามุ่งหมายจะให้ศาลโลกตีความเพื่อหวังว่า บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชานั้นหมายถึงแผนที่ภาคผนวก 1 หรือ แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 หรือไม่?
      
       ทั้งนี้เพราะแม้กัมพูชาจะรู้ว่า แผนที่ภาคผนวก 1 และเส้นเขตแดนตามแผนที่ภาคผนวก 1 จะไม่ใช่บทปฏิบัติการของคำพิพากษาโดยตรง แต่กัมพูชาอาศัยช่องเล็กๆที่แผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ศาลโลกอ้างกฎหมายปิดปากที่ฝ่ายไทยไม่ปฏิเสธแผนที่ ฉบับนี้ในการใช้เป็น “มูลฐาน” ในการแสดงเหตุผลเพื่อตัดสิน “บทปฏิบัติการ” ให้ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ในการใช้เป็นประโยชน์ในการส่งศาลโลกตีความในครั้งนี้ด้วย
      
       เพราะเมื่อ “มูลฐาน” จากกฎหมายปิดปากในเรื่องแผนที่ภาคผนวก 1 ใช้ถูกนำมาใช้เพื่อตัดสินบทปฏิบัติการในประเด็น อำนาจอธิปไตยเหนือตัวปราสาทแล้ว ก็ย่อมต้องส่งผลต่อบทปฏิบัติการในการให้ทหาร ตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาและผู้ดูแล ออกจาก “บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา” ด้วยเช่นกัน
      
       มูลฐาน “กฎหมายปิดปากที่ไทยไม่ปฏิเสธแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว” ส่งผลต่อบทปฏิบัติการว่า อำนาจอธิปไตยเหนือตัวซากปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา” ฉันใด
      
       มูลฐาน “กฎหมายปิดปากที่ไทยไม่ปฏิเสธแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว” ก็ย่อมส่งผลต่อบทปฏิบัติการว่า ให้ทหาร ตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาและผู้ดูแล ออกจาก “บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา” ฉันนั้น
      
       ไทยจึงย่อมตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบกว่า หากปล่อยให้มีการตีความบทปฏิบัติการของคำพิพากษานี้ !!

      
       ทั้งนี้การใช้กฎหมายปิดปากที่ไทยไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว ได้กลายเป็น “มูลฐาน” ในการตัดสิน “บทปฏิบัติการของคำพิพากษา” ทั้งนี้ได้มีการบรรยายมูลฐานในการตัดสินครั้งนั้นด้วยข้อความว่า:
      
        “อย่างไรก็ดี ศาลมีความเห็นว่าประเทศไทยใน ค.ศ. 1908 – 1909 ได้ยอมรับแผนที่ในภาคผนวก 1 ว่า เป็นผลงานของการปักปันเขตแดน และด้วยเหตุนี้จึงได้รับรองเส้นบนแผนที่ว่าเป็นเส้นเขตแดน อันเป็นผลให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา ศาลมีความเห็นต่อไปว่าเมื่อพิจารณาโดยทั่วไป การกระทำต่อๆมาของไทยมีแต่ยืนยัน และชี้ให้เห็นชัดถึงการยอมรับแต่แรกนั้น และว่าการกระทำขอบงไทยในเขตท้องที่ก็ไม่พอเพียงที่จะลบล้างข้อนี้ได้ คู่กรณีทั้งสองฝ่าย โดยการประพฤติปฏิบัติของตนเองได้รับรองเส้นแผนที่นี้ และดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นการตกลงให้ถือว่าเส้นนี้เป็นเส้นเขตแดน”
      
       ด้วยเหตุผลนี้ประเทศไทยจึงได้ทำการประท้วง คัดค้าน ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินที่อยุติธรรม ที่แม้ว่ารัฐบาลไทยจะปฏิบัติตามคำพิพากษา แต่ก็ยังได้ตั้งข้อสงวนที่จะทวงคืนในอนาคตหากกฎหมายมีการพัฒนาไปมากกว่านี้ โดยปราศจากการคัดค้าน และทักท้วงจากทุกประเทศในหมู่มวลสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ
      
       ข้อสำคัญแม้แต่กัมพูชา ก็พอใจกับการปฏิบัติกั้นแนวรั้วรอบปราสาทพระวิหารของฝ่ายไทยและไม่เคยคัด ค้านหรือเรียกร้องใดๆจากองค์การสหประชาชาติเป็นเวลากว่า 40 ปี
      
       เพราะความจริงมีอยู่ว่าศาลโลกในขณะนั้นไม่ได้หักล้างเหตุผลของฝ่าย ไทยที่หยิบยกขึ้นมาต่อสู้ในหลายประเด็น ทั้งในเรื่อง หลักฐานผลงานของผู้เชี่ยวชาญการการสำรวจตรวจตราภูมิประเทศในบริเวณเขาพระ วิหาร หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ฝ่ายฝรั่งเศสมีบันทึกระบุว่าสันปันน้ำบริเวณทิว เขาดงรักอยู่ที่หน้าผามองเห็นได้จากตีนภูเขาดงรัก และหลักฐานที่ว่าแผนที่นี้สร้างขึ้นผิดจากความเป็นจริงแห่งภูมิประเทศ ฯลฯ แต่ศาลโลกกลับเลือกกฎหมายปิดปากมาเป็นมูลฐานหลักโดยปราศจากการหักล้าง ไม่โต้แย้ง ไม่แม้กระทั่งกล่าวถึงเหตุผลของฝ่ายไทย
      
       ดังนั้นจึงถือว่าประเทศไทยในขณะนั้นไม่ได้คัดค้าน ประท้วง และตั้งข้อสงวน เฉพาะ “บทปฏิบัติการ”ของคำพิพากษาของศาลโลกเท่านั้น แต่ยังคัดค้านรุกไปถึง “มูลฐาน”ในการใช้เป็นเหตุผลตัดสินที่อยุติธรรมอีกด้วย
      
       คำแถลงคัดค้าน ประท้วง และตั้งข้อสงวนของไทยในยุคนั้น จึงมีความหมายอย่างยิ่ง เมื่อรวมกับการที่ประเทศไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการประกาศยอมรับอำนาจศาลโลก โดยบังคับมา 50 ปีแล้ว ย่อมหมายความว่าเราไม่ควรกลับไปยอมรับอำนาจศาลโลกในการตีความที่มาจาก “มูลฐาน” ที่อยุติธรรมของศาลโลกอีก

      
       และถ้าไทยยังไปยอมรับการตีความ “บทปฏิบัติการของคำพิพากษา” บน “มูลฐาน”ที่อยุติธรรมแล้ว เท่ากับว่าประเทศไทยได้สละการคัดค้าน ประท้วง ตั้งข้อสงวนของฝ่ายไทยที่เคยมีมา และได้กลับไปรับอำนาจของศาลโลกอีกครั้งในรอบ 50 ปี และอาจถือเป็นการทรยศต่อภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยที่ได้ปกป้องแผ่นดินไทยเอา ไว้มาจนถึงวันนี้ ใช่หรือไม่?
      
       และอีกไม่เกิน 60 วัน ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่ความเสี่ยงที่จะเสียดินแดนในเวทีศาลโลกครั้งที่สองในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง