MOU 2543 เป็นโมฆะ
การดำเนินการใดๆต่อมาที่อ้าง MOU 2543 ต้องเป็นโมฆะทั้งสิ้น !
โดย ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์
นักวิจัยผู้เชี่ยวชาญ สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ทันทีที่นายกรัฐมนตรีไทยใช้ช่องทางทางการฑูตเจรจากับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา พลันสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า พังแน่ประเทศไทย !
ต้องขอย้อนไปก่อนหน้านี้สักเล็กน้อยถึงสถานการณ์ภายในประเทศเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของภาคประชาชนที่พยายามเขยื้อนนโยบายของอำนาจบริหารเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา
ภาคประชาชนกำลังไล่ตรวจสอบฝ่ายอำนาจบริหารอยู่เรื่อง MOU 2543 ทำให้ความจริงกำลังจะเปิดเผยว่า ที่แท้ MOU 2543 ซึ่งเป็นเพียงข้อตกลงระหว่างฝ่ายอำนาจบริหารของประเทศ 2 ประเทศ คือ ไทยและกัมพูชานั้น โมฆะ ไปแล้วตั้งแต่รัฐบาลที่ทำ MOU 2543 นั้นหมดอำนาจไป
ดังนั้น การนำ MOU 2543 กลับมายืนยันหรืออ้างอิงกันอีกต่อๆ มา จึงเสมือนเป็นการปลุกผีขึ้นมา ซึ่งยังไงเสียมันก็ตายไปแล้ว จะปลุกอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ดังนั้นการที่ฝ่ายอำนาจบริหารใช้ MOU 2543 เป็นกรอบในการเจรจากับกัมพูชาเรื่องเขตแดน ใช้ MOU 2543 เป็นตัวรองรับหรือให้อำนาจกลไกทำงานในชื่อว่า JBC เพื่อให้มีบันทึกการเจรจาทุกครั้งเป็นหลักฐานและยืนยันการเป็นข้อตกลงระหว่างกัน หรือเป็นความพยายามสร้างกระบวนการทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ นั้น ภาคประชาชนกลับเรียกการกระทำอย่างนี้ให้เข้าใจกันได้อย่างง่ายๆ ว่า“พิธีการทำลูกกรอก” ของยากอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น ทำให้ชาวบ้านทั่วไปอย่างตาสีตาสายายมายายมี เพิ่มจำนวนผู้เข้าใจความจริงมากยิ่งขึ้น
ยิ่งการสัญจรไปมาบนเส้นทางถนนศรีเพ็ญ อันเคยเป็นถนนยุทธศาสตร์ของไทย พุ่งขนานไปกับเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาบริเวณจังหวัดสระแก้ว ซึ่งพื้นที่ตรงนี้เห็นกันชัดๆ ว่าไม่ใช่พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรหรือพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารอันเป็นพื้นที่ที่กระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งนักวิชาการที่อยู่ในโครงการเชิงรุกขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร ซึ่งมีกระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าของงบประมาณ กล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกและบิดเบือนว่าเป็นจุดปัญหาของไทย-กัมพูชาเท่านั้น มีความยากลำบากที่ประชาชนไทยทั่วไปจะเข้าไปใช้ถนนศรีเพ็ญเป็นเส้นทางสัญจร มิหนำซ้ำยังเห็นกันได้ด้วยตาเปล่าว่ามีกองกำลังทหารกัมพูชาอยู่เป็นแนวหลังผืนนา พูดง่ายๆ เพื่อใหเห็นภาพชัดเจนก็คืออยู่หลังแนวป้ายรูปหัวกระโหลกสีแดง ระบุว่าเป็นเขตอันตรายเพราะเป็นแนวระเบิดนั่นเอง คนอย่างตาสีตาสายายมียายมา ที่เข้าใจความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย จึงผุดขึ้นตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา 7 จังหวัด โดยเฉพาะแนวชายแดนที่อยู่ในเขตภาคอิสานตอนล่าง อันได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และสระแก้ว
รัฐบาลเองก็ตระหนักต่อความจริงว่าไม่อาจปิดกั้นคนรักชาติอย่างตาสีตาสายายมียายมาได้อีกต่อไป ความพยายามจะแก้เกี้ยวด้วยการชักแม่น้ำทั้งห้ามาให้เหตุผลว่า MOU 2543 ดีอย่างนั้นอย่างนี้ นั้น ในที่สุดก็แพ้หัวใจคนรักชาติอย่างตาสีตาสายายมียายมา เห็นได้ว่าฝ่ายอำนาจบริหารแถกไม่ขึ้นอีกต่อไป พูดอย่างตาสีตาสายายมียายมาได้ว่า ยิ่งแถกยิ่งทำ(ประเทศ) พัง !
เพียงแค่รัฐบาลไปบอกกัมพูชาว่า MOU 2543 โมฆะไปแล้ว บอกความจริงแก่ชาวโลกที่รัฐบาลเคยมีหนังสือไปยืนยันการใช้ MOU 2543 และอำนาจของ JBC กับเขา แล้วใช้ช่องทางทางการฑูตที่ตนเองถนัดนั่นแหละเพื่อเริ่มต้นกันใหม่ ทุกคนเขาเข้าใจได้เพราะกฎหมายระหว่างประเทศเองก็ยืนยันว่า สนธิสัญญาที่เกิดจากกระบวนการที่ฉ้อฉลไม่อาจเรียกเป็นสนธิสัญญาได้ ขืนดำเนินการกันต่อไป พังแน่ทั้งไทยและกัมพูชา
ย้อนเมื่อวานให้เห็นว่า “พังแน่” และ “แถกไม่ขึ้น” แล้วมาเริ่มวันใหม่ทันทีที่นายกรัฐมนตรีไทยและกัมพูชาได้เจรจากันที่สหรัฐอเมริกา นายกรัฐมนตรีไทยมาประกาศแผนการปรองดองกับกัมพูชา ทำลายแนวคิดสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขาที่ภาคประชาชนคาดหวังว่า หนึ่ง...พลังประชาชน สอง...องค์ความรู้ ภาคประชาชนพยายามจัดการความรู้ออกมา เพื่อจะนำไปชักชวน (ร่วมกับ)เหลี่ยมด้านที่สาม...อำนาจรัฐ เพื่อมาแก้ไขเยียวยาความเสียหายจากเรื่องปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา โดยสิ้นเชิง
แผนปรองดองกับกัมพูชาทำให้ฝ่ายอำนาจบริหารหันมา “จีโนไซด์” (ภาษาอังกฤษอีกคำที่ประชาชนไทยควรรู้ genocide แปลความหมายว่า วิธีการที่ไม่สวยนักในการขจัดคนที่มีความคิดเห็นต่างให้ราบคาบไป) ภาคประชาชนผู้มีความคิดเห็นในเรื่องปัญหาไทย-กัมพูชาไม่ตรงกับตน เช่น กล่าวหาเพื่อทำลายว่าเป๋นกลุ่มผู้รับเงินมาเพื่อล้มรัฐบาล
แผนปรองดองกับกัมพูชาทำให้ฝ่ายอำนาจบริหารประกาศความร่วมมือทางวัฒนธรรม เจตนาแรกก็คือประกาศที่จะดำเนินการขอขึ้นทะเบียนปราสาทตาเมือนเป็นมรดกโลก
ถ้าจะคิดว่าตาสีตาสายายมียายมา จะหลงคารมคำบิดเบือน เอาเรื่องวัฒนธรรมมาปิดบังปัญหาเรื่องเขตแดน เหมือนช้างตายทั้งตัวจะเอาใบบัวมาปิดนั้น คงจะสำเร็จได้ยากนอกจากประชาชนจะไม่เชื่อแล้ว ปัญหาเรื่องเขตแดนก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง พูดตรงไปตรงมาก็คือ ยังไม่ปัดทิ้งที่จะเอาแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 มาเป็นตัวกำหนดอาณาเขตของประเทศ ปัญหาพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหารที่ใช้แผนที่ดังกล่าว แล้วปิดประชาชนไม่มิด ยังแก้ไม่หาย ยังจะใช้โมเดลนี้กับพื้นที่ส่วนอื่นๆ ของประเทศอีก นี่ไม่ใช่การแก้ไขให้ตรงกับปัญหา แต่กลับจะทำให้ประเทศไทยพัง เพราะฝ่ายอำนาจบริหารไปยึดติดกับแผนที่มาตราส่วน 1 : 200,000 ที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศโดยละทิ้งเรื่องสันปันน้ำ ละทิ้งความจริงเรื่องการปักปันเขตแดนซึ่งเราทำเสร็จมาแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ละทิ้งเรื่องตำแหน่งเดิมของหลักเขต 73 หลักที่ทำเสร็จแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 อีกเช่นกัน ละทิ้งแผนที่ประเทศไทยที่เป็นรูปด้ามขวานหัวโต ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปหัวขวานจะต้องเล็กกว่านั้น ละทิ้งเรื่องอธิปไตยและสิทธิต่างๆ เช่นสิทธิการปกครอง สิทธิพลเมืองของคนในรัฐไทย อธิปไตยทางอำนาจศาล และอื่นๆ อีกมากมาย
รับรองว่าฝ่ายอำนาจบริหารทั้งของไทยและของกัมพูชาจะต้องมีอันเป็นไปแน่ๆ (ตามหลักกฎหมายไม่ใช่หลักไสยศาสตร์) โดยเฉพาะฝ่ายอำนาจบริหารของไทย ถ้าคุณทำประเทศไทยพัง เพราะคุณยังอยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบโลก จึงใช่ว่ามีอำนาจบริหารล้นฟ้าแล้วอยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามอำเภอใจ
รัฐบาลของคุณ ทุกคนในรัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบ ดังนั้น จงเปลี่ยนใจเสียเถิด แล้วมารวมกับภาคประชาชนที่เสนอองค์ความรู้ใหม่ให้คุณคิดได้ ช่วยกันเขยื้อนภูเขา เจ้าตัวปัญหาเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชาที่แท้จริง ออกไปเสียให้สิ้นซาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น