โดย Annie Handicraft เมื่อ 23 พฤษภาคม 2011 เวลา 22:18 น.
ประเทศ (ศาลโลก) ในคดีปราสาทพระวิหาร (อีกครั้ง)" ระบุว่า ด้วยเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารพ.ศ.2505 ตามบทบัญญัติของข้อ 60 ของธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ และกัมพูชาได้ยื่นคำขอมาตรการคุ้มครองชั่วคราวตามข้อ 41 ของธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศด้วย เพื่อเป็นการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง แก่สาธารณชนไทย กระทรวงการต่างประเทศจึงขอเรียนชี้แจงเกี่ยวกับการมีคำขอให้ศาลฯตีความคำ พิพากษาและขอมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของกัมพูชาดังกล่าว ดังต่อไปนี้
- การยื่นคำขอของฝ่ายกัมพูชาให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษาฯ เป็นการใช้สิทธิตามข้อ 60 ของธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งบัญญัติว่า"คำพิพากษาของศาลฯถือเป็นที่สุดและไม่สามารถอุทธรณ์ได้ ใน กรณีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตของคำพิพากษาศาลฯจะต้องตีความ ตามคำขอของคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง" *( 1 ) การมีคำขอให้ศาลฯตีความในครั้งนี้ เป็นกรณีที่กัมพูชาอ้างว่า ไทย และกัมพูชามีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาคดีปราสาทพระ วิหารที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้พิพากษาไว้เมื่อปี 2505 กัมพูชาในฐานะคู่กรณีฝ่ายหนึ่งในคดีดังกล่าว จึงใช้สิทธิตามข้อบทนี้ ขอให้ศาลฯตีความในส่วนที่เกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาที่ศาลฯได้ เคยพิพากษาไว้แล้วว่า "ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา "
*( 2 ) ประเด็นที่กัมพูชาขอให้ศาลฯตีความ คือ กัมพูชาขอให้ศาลฯตัดสินว่า พันธกรณีของไทยที่จะต้อง "ถอนกำลังทหารหรือตำรวจ หรือผู้รักษาการณ์ หรือผู้ดูแลอื่นๆ ที่ประเทศไทยได้วางไว้ที่ปราสาท หรือในพื้นที่ใกล้เคียงในดินแดนของกัมพูชา" เป็นผลมาจากพันธกรณีทั่วไปของไทย ที่จะต้องเคารพบูรณภาพแห่งดินแดนกัมพูชา ซึ่งดินแดนนั้นถูกกำหนดขอบเขตในบริเวณปราสาทพระวิหารและพื้นที่ใกล้เคียง โดยเส้นของแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งศาลฯใช้เป็นพื้นฐานของคำตัดสินกระทรวงการต่างประเทศขอเรียนว่า การมีคำขอให้ศาลฯตีความตามข้อบทนี้ มิใช่เป็นการฟ้องคดีข้อพิพาทคดีใหม่ ทั้งนี้ การขอให้ศาลฯตีความจะกระทำภายในระยะเวลาเท่าใดก็ได้ เพราะธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมิได้ระบุว่า คำขอตีความจะต้องกระทำภายในระยะเวลาเท่าใด
- อีกคำถามหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับคำขอของฝ่ายกัมพูชาในเรื่องนี้ คือ โดยที่ปัจจุบันประเทศไทยมิได้ยอมรับเขตอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว ประเทศไทยจะต้องไปต่อสู้คดีในเรื่องนี้อีกหรือไม่
กระทรวงการต่างประเทศขอเรียนชี้แจงว่า โดยที่คำขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษาเดิมตามข้อ 60 ของธรรมนูญศาลฯ *( 3 ) มิใช่เป็นการฟ้องคดีใหม่ แต่ เป็นคำขอที่อยู่ในกรอบของคดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นคดีที่ไทยและกัมพูชาได้ยอมรับเขตอำนาจศาลฯในคดีดังกล่าวไว้แล้ว ดังนั้น เมื่อกัมพูชายื่นคำขอต่อศาลฯขอตีความคำพิพากษาดังกล่าว ประเทศไทยจะปฏิเสธ ไม่ไปโต้แย้งคำขอของกัมพูชาที่ศาลฯก็สามารถทำได้ แต่จะเป็นผลให้ศาลฯสามารถพิจารณาบนพื้นฐานของคำขอ คำให้การ และเอกสารประกอบของฝ่ายกัมพูชาฝ่ายเดียวได้ ทั้งนี้ ตามข้อ 53 ของธรรมนูญศาลฯ โดยศาลฯไม่มีโอกาสรับรู้ รับทราบและพิจารณาข้อโต้แย้งหลักฐานและเหตุผลต่างๆ ของฝ่ายไทย อันอาจเป็นผลให้คำวินิจฉัยตีความของศาลฯเป็นคุณแก่ฝ่ายกัมพูชาและส่งผลเสีย กับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงว่า คำวินิจฉัยของศาลฯในเรื่องนี้จะมีผลผูกพันคู่กรณีทั้งสองฝ่ายตามข้อ 59 ของธรรมนูญศาลฯ
กระทรวงการต่างประเทศขอย้ำว่า ในการที่ไทยจะไปต่อสู้คดีในศาลฯครั้งนี้ มิใช่การยอมรับเขตอำนาจศาลฯใหม่ แต่เป็นเรื่องของการตีความคำพิพากษาเก่าที่ผูกพันทั้งไทยและกัมพูชา การมีคำ ขอให้ศาลฯตีความในครั้งนี้ เป็นกรณีที่กัมพูชาอ้างว่า ไทยและกัมพูชามีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาคดีปราสาท พระวิหารที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้พิพากษาไว้เมื่อปี 2505 กัมพูชาในฐานะคู่กรณีฝ่ายหนึ่งในคดีดังกล่าว จึงใช้สิทธิตามข้อบทนี้ ขอให้ศาลฯตีความในส่วนที่เกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาที่ศาลฯได้ เคยพิพากษาไว้แล้วว่า "ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา"
(นายเจษฎา กตเวทิน รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ:
เมื่อ พิจารณาคำร้องของกัมพูชา ที่ยื่นต่อศาลโลกครั้งนี้ ในส่วนของคำร้อง กัมพูชาขอให้ศาลโลกตีความว่า พื้นที่ข้างเคียงปราสาทพระวิหารนั้นเป็นของใคร ทหารไทยต้องถอนหรือไม่ ถ้าศาลตัดสินออกมาอย่างไร *( 4 )ไทยก็ต้องเคารพหากมีการชี้พื้นที่ ในที่สุดศาลอาจจะไม่ได้ชี้ก็ได้ กัมพูชาต้องการให้มีความชัดเจนว่านอกจากตัวปราสาทพระวิหารแล้ว พื้นที่ข้างเคียว เนื่องจากไทยและเขมรมีการใช้แผนที่คนละฉบับ พื้นที่ที่ไทยถืออยู่ พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น เป็นของไทย ทางกัมพูชาก็ถือว่าเป็นของกัมพูชาจากhttp://www.komchadluek.net/detail/20110521/98112/%E0%B8%81%E0%B8%95.%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%A3.html )
++++++++++++++++++++++++++++++++++
วิพากษ์ประเด็น:
*( 1 ) การ มีคำขอให้ศาลฯตีความในครั้งนี้ เป็นกรณีที่กัมพูชาอ้างว่า ไทยและกัมพูชามีข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาคดีปราสาท พระวิหารที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้พิพากษาไว้เมื่อปี 2505 กัมพูชาในฐานะคู่กรณีฝ่ายหนึ่งในคดีดังกล่าว จึงใช้สิทธิตามข้อบทนี้ ขอให้ศาลฯตีความในส่วนที่เกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาที่ศาลฯได้ เคยพิพากษาไว้แล้วว่า "ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา "
1 จากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ วินิจฉัยคดีนี้แค่เรื่องเดียว คือ กัมพูชาหรือไทยเป็นเจ้าของบริเวณปราสาทพระวิหาร. ข้ออ้างเรื่องแผนที่เป็นแค่เหตุผลประกอบการวินิจฉัยว่าปราสาทฯตั้งอยู่ในกัมพูชาหรือไทย.
ศาลจึงวินิจฉัยว่า ปราสาทฯตั้งอยู่ในเขตกัมพูชา ดังนั้นไทยจึงต้องถอนกำลังออกจากปราสาทฯ หรือบริเวณใกล้เคียงตัวปราสาทฯบนอาณาเขตของกัมพูชา. ศาลย้ำว่า เรื่องแผนที่ฯและเส้นพรมแดนนั้นเป็นเพียงเหตุผลที่นำมาสู่ผลวินิจฉัย แต่ไม่ใช่เรื่องที่ศาลพิพากษาผูกพันไทย.
2 จากวิถีพีเดีย
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%
หลังจากศาลโลกได้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชาในเดือน มิ.ย.2505 ในเดือนถัดมาไทยก็ได้ยื่นบันทึกต่อศาลโลกพร้อมแผนที่แสดงที่ตั้งของปราสาทพระวิหารกับบริเวณโดยรอบและเส้นเขตแดนตามแนวสันปันน้ำที่ไทยสงวนที่จะกล่าวอ้าง ไทยยอมรับให้พื้นที่แก่ปราสาทที่กว้างที่สุดเพียง 100 เมตรเท่านั้น.
ศาลโลกจะพิจารณาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน
4 คุณวีรพัฒน์ ปริยวงศ์
คำ ว่า “บริเวณใกล้เคียง” (Vicinity) สามารถตีความเทียบเคียงได้ กับ “precincts” หรือ “Temple area” ซึ่งย่อมส่งผลให้คำพิพากษาจำกัดพื้นที่ของกัมพูชาว่าได้แก่บริเวณที่ ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวปราสาทฯเท่านั้น
Annie: จากความเห็นของ ศจ.ดร.สมปอง สุจริตกุล, คุณวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ พร้อมหลักฐานประกอบคือ คำตัดสินของศาลโลก และหลักฐานบันทึกต่อศาลโลกพร้อมแผนที่แสดงที่ตั้งของปราสาทพระวิหารกับ บริเวณโดยรอบและเส้นเขตแดนตามแนวสันปันน้ำที่ไทยสงวนที่จะกล่าวอ้างนั้น หลังจากไทยส่งบันทึกต่อศาลโลกแล้ว เป็นที่น่าสังเกตุว่า ไม่เคยปรากฏว่ากัมพูชามีการคัดค้านบันทึกนี้แต่อย่างใด
จากสิ่งที่นำมากล่าวอ้างนี้ทั้งหมด ย่อมเป็นที่ปรากฎชัดว่า ความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารที่ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้พิพากษาไว้เมื่อปี 2505 นั้นสมบูรณ์แล้ว และนับ ตั้งแต่เวลานั้นจนมาถึงปัจจุบัน ไทยยึดเอาตามความหมายอย่างแคบคือตัวประสาทจริงๆและได้มีการสร้างรั้ว ล้อม แต่สิ่งที่เขมรต้องการคือตัวประสาทในความหมายอย่างกว้างคือรวมทางขึ้น และพท. 4.6ตร.กม.
ซึ่งถ้ารัฐบาลยอมรับอำนาจ ICJ ผลอย่างแรก คือ เรายอมสละสิทธิ์ที่ไทยเคยสงวนไว้เมื่อปีพศ. 2505 และยอมให้ICJ เข้ามาพิจารณาตีความซึ่งสุ่มเสี่ยงมาก
*( 2 ) ประเด็น ที่กัมพูชาขอให้ศาลฯตีความ คือ กัมพูชาขอให้ศาลฯตัดสินว่า พันธกรณีของไทยที่จะต้อง "ถอนกำลังทหารหรือตำรวจ หรือผู้รักษาการณ์ หรือผู้ดูแลอื่นๆ ที่ประเทศไทยได้วางไว้ที่ปราสาท หรือในพื้นที่ใกล้เคียงในดินแดนของกัมพูชา"
ศจ. ดร.สมปอง สุจริตกุล: ศาลโลกไม่มีอำนาจ ศาลโลกอาจจะสั่งได้แต่ว่าไม่มีใครเขาทำตาม
*( 3 ) มิ ใช่เป็นการฟ้องคดีใหม่ แต่เป็นคำขอที่อยู่ในกรอบของคดีปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นคดีที่ไทยและกัมพูชาได้ยอมรับเขตอำนาจศาลฯในคดีดังกล่าวไว้แล้ว
จากเหตุผลข้อ( 1 )จึงเห็นได้ว่าเป็นการฟ้องคดีใหม่
*( 4 ) ไทยก็ต้องเคารพ หากมีการชี้พื้นที่
ศจ. ดร.สมปอง สุจริตกุล: ถึง ที่สุดแล้ว ถ้าเห็นว่าคำตัดสินของศาลโลกไม่เป็นธรรม ไทยไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลกก็ได้ ศาลโลกไม่มีอำนาจอะไรนี่ ประเทศไทยมีเอกสิทธิ์เหนือดินแดนของเรา ตอนที่ศาลโลกตัดสินกรณีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ไทยก็ชี้แจงไปแล้วว่าเราไม่รับคำตัดสิน เพราะศาลตัดสินผิด กลับไปดูจดหมายของท่านถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในสมัยนั้นได้เลย ท่านคัดค้านคำตัดสินของศาลโลก และขอสงวนสิทธิ์ในการทวงคืนประสาทพระวิหารจากกัมพูชา ที่ ผ่านมาบางประเทศก็ไม่ได้ยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลก อย่างกรณีที่ศาล โลกเคยสั่งว่าอเมริกาห้ามประหารชีวิตนักโทษคนหนึ่ง แต่อเมริกาก็ประหารชีวิตนักโทษคนนั้นทันทีเลย
ด้วย หลักฐานและเหตุผลที่แย้งมาทั้งหมดในการที่ไทยจะดึงดันไปขึ้นศาลโลก ดิฉันรู้สึกเต็มใจอย่างยิ่งที่จะเรียกชื่อกระทรวงการต่างประเทศว่า "กระทรวงบัวแก้วเรยา"
1) ท่าทีของไทยและการเตรียมการต่อสู้คดี โดยศจ. ดร.สมปอง สุจริตกุล
วันที่ ๕ พค.๒๕๕๔
สิ่ง แรกที่ไทยควรปฏิบัติคือศึกษาคำร้องของกัมพูชาอย่างละเอียด และเตรียมต่อสู้ในชั้นแรกโดยยืนยันว่าศาลฯ ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือตีความคำพิพากษาของศาลฯ ในคดีปราสาทพระวิหาร ตามธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ไทยต้องไม่ละเลยการคัดค้านอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่ง ไทยมิได้มีปฎิญญาประกาศรับอำนาจพิจารณามาเป็นเวลากว่าห้าศตวรรษ ไทยต้องยืนยันสถานภาพของตน ครั้งนี้ กัมพูชาต้องการรื้อฟื้นและขยายขอบเขตคำพิพากษาเดิมที่ไทยไม่เคยยอมรับ ไทยได้คัดค้านอำนาจศาลฯ มาโดยตลอด และได้ตั้งข้อสงวนไว้ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๕ ฉะนั้น หากมีการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่ ไทยก็อาจใช้เป็นเวทีขอให้ศาลฯ ยกเลิกคำพิพากษาเดิมเป็น Annulment Proceedings ในเมื่อกัมพูชาเป็นฝ่ายร้องขอเปิดคดีใหม่ ไทยควรใช้โอกาสนั้นขอให้ศาลฯ ยกเลิกหรือแก้ไขคำพิพากษาโดยยืนยันใหม่ว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในเขตแดน ราชอาณาจักรไทยภายใต้อธิปไตยของไทยแต่ผู้เดียว
แต่วิธีการที่ แนบเนียนกว่าการต่อสู้ในสาระสำคัญคือการคัดค้านอำนาจศาลฯ ทั้งนี้ เพราะไทยมิได้เคยรับอำนาจมาช้านานแล้ว นอกจากนั้น กัมพูชายังยอมรับว่าคำร้องเป็นการริเริ่มคดีใหม่ ศาลฯ ยิ่งหมดอำนาจพิจารณาพิพากษา ฉะนั้น ในมุมมองนี้ ไทยจึงไม่ควรไปสู้คดีขั้นเนื้อหาอย่างรีบด่วน เพราะจะเป็นการยอมรับอำนาจศาลฯ โดยมิได้รับความยินยอมเห็นชอบจากรัฐสภา และโดยปราศจากประชามติ
อนึ่ง ไทยชอบที่จะยื่นคำคัดค้านอำนาจศาลฯ (Preliminary Objection to the Jurisdiction) อย่างชัดเจนและรีบด่วน
2) ข้อสังเกตคำร้องกัมพูชาให้ศาลฯ คุ้มครองชั่วคราว โดยศจ. ดร. สมปอง สุจริตกุล
๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔
ก่อนดำเนินการใดๆ ศาลฯ จะต้องวินิจฉัยว่ามีอำนาจพิจารณาหรือออกคำสั่งตามคำขอของกัมพูชาหรือไม่
1. ใน Press release ของศาลฯ เลขที่ ๒๐๑๑/๑๔ ลงวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ศาลฯ ได้ยืนยันว่าเป็นการเปิดคดีใหม่ โดยที่ไทยมิได้ต่ออายุปฏิญญารับอำนาจศาลฯ โดยบังคับ (Compulsory jurisdiction) ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๒ ซึ่งเป็นเวลากว่า ๕๐ ปีมาแล้ว ศาลฯ จึงไม่มีอำนาจพิจารณาและไม่มีอำนาจออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามคำขอของกัมพูชา
2. ในการแถลงด้วยวาจาในช่วงบ่ายวันที่ ๓๐ และ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ไทย ชอบที่จะขอให้ศาลฯ วินิจฉัยในเบื้องต้นเกี่ยวกับเขตอำนาจของศาลฯ หรือเสนอข้อสงวนสิทธิ์ในประเด็นนี้ ทั้งนี้ เนื่องจากการออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจย่อมไม่มีผล
3. ไทยควรยืนยันการไม่รับอำนาจศาลฯ และไม่ไปร่วมในการพิจารณาใดๆ นอกจากไปแถลงย้ำว่าศาลฯ ขาดอำนาจพิจารณา
หาก ศาลพิจารณาเห็นว่าไม่ใช่คดีใหม่ แต่เป็นการตีความดคีเก่าเมื่อ ๕๐ ปีมาแล้ว ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่ากระทำได้ เนื่องจากคู่กรณีได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฯ อย่างครบถ้วนโดยไม่มีการโต้แย้ง หากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมีความเห็นว่าไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ฝ่ายนั้นต้องยื่นคำร้องต่อศาลฯ ภายใน ๖ เดือนหลังจากมีการละเมิด หรือไม่เกิน ๑๐ ปีหลังจากคำพิพากษาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งบัดนี้ล่วงเลยกำหนดเวลาดังกล่าวมานานถึง ๔๐ ปี
อนึ่ง คำสั่งเกี่ยวกับมาตรการคุ้มครองชั่วคราวนั้น ศาลฯ ไม่อาจใช้กับคู่กรณีเฉพาะฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดตามที่กัมพูชาร้องขอ กัมพูชาเองก็ต้องอยู่ในข่ายบังคับของมาตรการดังกล่าวเช่นกัน
สิ่ง ที่ไทยต้องแถลงให้ศาลฯ รับทราบมิใช่เพียงคัดค้านอำนาจศาลฯ เท่านั้น แต่ต้องชี้ให้ศาลฯ ตระหนักในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรุกรานของกัมพูชา การเคลื่อนกองกำลังเข้าประชิดและบุกรุกเขตพระราชอาณาจักรของประเทศไทย รวมทั้งการยกกำลังโจมตีจนราษฎรไทยจำนวนเกือบห้าหมื่นคนต้องอพยพจากถิ่นฐาน บ้านช่อง ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศทั้งในยามสันติและแม้แต่ยาม ที่มีการขัดแย้งทางอาวุธ การข่มเหงรังแกประชาชนคนไทยผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะผู้ชราและผู้เยาว์โดยกอง กำลังกัมพูชา เป็นการขัดต่อมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ไทยพึงเสนอต่อศาลฯ ไทยต่างหากที่น่าจะเป็นฝ่ายร้องขอให้ศาลฯ ใช้มาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อปกป้องประชาชนพลเรือนไทยในพื้นแผ่นดินไทย
จากhttp://www.15thmove.net/article/remarks-khmer-appeal-icj-sompong/
3 ) การมีข้อพิพาทเกี่ยวกับขอบเขตหรือความหมายของคำพิพากษา โดยคุณประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
นิติราษฏร์ ฉบับ ๒๐
เป็น ที่ยอมรับกันในแนวบรรทัดฐานคำตัดสินของศาลโลกตั้งแต่ศาลโลกเก่า (คือคดี Chorzow Factory) จนถึงศาลโลกใหม่ว่า ขณะที่มีการร้องขอให้ตีความคำพิพากษา จะต้องมีข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจริง (the existence of a actual dispute) ระหว่างรัฐคู่ความเกี่ยวกับขอบเขตหรือความหมายของคำพิพากษา มิใช่เพียงแค่โอกาสความเป็นไปได้ที่จะเกิดหรือมีข้อพิพาท (potential dispute) โดยคำว่า “ข้อพิพาท” (dispute) นี้เป็นถ้อยคำทางกฎหมายที่มีความหมายเฉพาะคือหมายถึงกรณีที่รัฐคู่พิพาทมี ความเห็นที่ไม่ตรงกันหรือต่างกัน (divergence of view) ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เฉพาะเจาะจงอาจเป็นประเด็นข้อกฎหมายหรือข้อเท็จ จริงก็ได้ ฉะนั้น ข้อพิพาทจึงมิได้มีความหมายเพียงแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเข้าใจว่าหรือเห็นว่า คำตัดสินของศาลนั้นไม่ชัดเจนหรือคลุมเครือ ในคำร้องขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาคดี Asylum นั้น ศาลโลกกล่าวว่า ข้อพิพาทนั้นจะต้องเป็นกรณีที่มีความเห็นที่ไม่เหมือนกันระหว่างรัฐคู่พิพาท ในประเด็นที่มีการกำหนดไว้ชัดเจนแน่นอน (A dispute requires a divergence of view between the parties on definite points.)
อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการให้ศาลโลกตีความคำพิพากษา หรือพูดง่ายๆก็คือ ต้องการตัดเขตอำนาจศาลโลกตั้งแต่แรก ก็จะต้องมีการคัดค้านในเบื้องต้นเสียทันทีว่า ไม่มีข้อพิพาทหรือความเห็นที่ไม่ตรงกันเกี่ยวกับขอบเขตหรือความหมายของคำ พิพากษาระหว่างรัฐคู่ความ ซึ่งหากขาดเงื่อนไขข้อนี้แล้ว ศาลโลกก็ไม่สามารถที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ เพราะว่าศาลโลกจะตีความได้ก็ต่อเมื่อมีประเด็น “ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจริง” (actual dispute) แล้วเท่านั้น เช่นกรณีคดี Chorzow Factory ที่โปแลนด์ต่อสู้ว่า ไม่มีข้อพิพาทหรือความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำ พิพากษาแต่อย่างใด
จาก http://www.enlightened-jurists.com/blog/33
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น