แม้การได้รับสถานภาพแห่งการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร หรือ Preah Vihear ของ
กัมพูชานั้นจะทำให้รัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำสูงสุดของ ฮุน เซน
ต้องเผชิญกับความขัดแย้งที่มีอยู่กับรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ อภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ ในตลอดช่วงเกือบ 3 ปี
มานี้ก็ตามแต่ก็หาได้เป็นอุปสรรคต่อความพยายามของ ฮุน เซน
ในอันที่จะทำให้วิมานสวรรค์ของพระศิวะแห่งนี้กลายเป็นสวรรค์บนพื้นผิวโลกของ
มนุษย์ให้ได้อย่างแท้จริงแต่อย่างใด
ทั้งนี้โดยถ้าหากจะนับจากการที่คณะผู้แทนของ UNESCO ได้เดินทางเข้าไปสำรวจในพื้นที่ปราสาทฯดังกล่าวครั้งแรกในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน 2009 ซึ่งคณะผู้แทนของ UNESCO ก็
ได้ให้การแนะนำเพื่อให้รัฐบาลกัมพูชาของ ฮุน เซน
ดำเนินการต่างๆเพื่อรองรับแผนการบริหารและจัดการมรดกโลกที่ได้มีการจัดแบ่ง
เขตต่างๆ ออกเป็น 5 เขตนั้นก็ปรากฏว่ารัฐบาลของ ฮุน เซน ได้เร่งดำเนินการต่างๆตามการแนะนำของคณะผู้แทน UNESCO ได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วยความรวดเร็วยิ่ง
โดย
เฉพาะอย่างยิ่ง
การก่อตั้งหมู่บ้านขึ้นมาใหม่เพื่อให้มีบทบาทในการอนุรักษ์มรดกโลกที่ ฮุน
เซน ได้ให้ชื่อว่าหมู่บ้านสมเด็จเดโช ฮุน เซน แห่งพระวิหารหรือ Eco-Village of Samdech Techo Hun Sen of Preah Vihear นั้นถือเป็นเขตที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วที่สุดในเวลานี้
กล่าวสำหรับตามแผนการของ ฮุน เซน แล้วหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากตัวปราสาทพระวิหารเข้าไปในเขตกัมพูชาประมาณ 20 กิโลเมตร โดยมีอาณาเขตที่กว้างถึง 43,997 เฮกตาร์หรือเกือบ 275,000 ไร่นั้น ฮุน เซน ได้จัดแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 เขตด้วยกัน
โดยเขตแรกนั้น ก็คือ เขตที่อยู่อาศัยของชาวเขมรอย่างน้อย 800 ครอบ
ครัว พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆอย่างครบครัน เช่นโรงเรียน โรงพยาบาล
น้ำประปา ไฟฟ้า
โทรศัพท์และถนนในหมู่บ้านที่สามารถเชื่อมต่อกับภายนอกได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
เป็นต้น ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ปรากฏว่าทางการ
กัมพูชาได้ทำการสร้างบ้านให้กับชาวเขมรที่สมัครใจเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน
แห่งนี้เสร็จแล้วจำนวน มากกว่า 320 หลัง ส่วนที่เหลือนั้นก็คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2011 นี้อย่างแน่นอน เพราะ จนถึงเวลานี้มีชาวเขมรมากกว่า 790 ครอบครัวแล้วที่ได้สมัครใจเข้าไปตั้งรกรากอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้
ส่วนที่ถือว่าได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วนั้น ก็คือโรงเรียน โรงพยาบาลและถนนที่กว้างถึง 9เมตร
ที่เชื่อมต่อจากหมู่บ้านไปยังหมู่บ้านแสมที่อยู่รอบนอกสุดของเขตมรดกโลก
นอกจากนี้ รัฐบาลของ ฮุน เซน ยังได้เร่งมือดำเนินการขุดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่
3 แห่ง
เพื่อตอบสนองความต้องการให้ได้ อย่างเพียงพอตลอดปีทั้งในครัวเรือน
สถานที่ราชการ แหล่งธุรกิจ และการเกษตร
ซึ่งถ้าหากการดำเนินงานเป็นไปตามแผนการที่ ฮุน เซน ได้วางไว้จริง
ก็หมายความว่าสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเหล่านี้จะดำเนินการแล้วเสร็จอย่างครบ
ถ้วนภายในปี 2011 นี้เช่นเดียวกัน
สำหรับเขตที่สอง ก็คือเขตพิพิธภัณฑ์อนุรักษ์มรดกโลกหรือ Eco-Global Museum นั้น
ถือเป็นส่วนที่ ฮุน เซน
หมายมั่นที่จะพัฒนาให้เป็นแหล่งค้นคว้าอันทันสมัยที่ให้ข้อมูลที่เกี่ยวกับ
ความยิ่งใหญ่ในอดีตของกัมพูชา
ด้วยหวังว่าจะเป็นเขตหนึ่งที่จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายแสนจน
ถึงล้านคนให้เดินทางไปเยือนวิมานสวรรค์ของพระศิวะแห่งนี้ในแต่ละปีเช่นเดียว
กับนครวัดที่เสียมเรียบ (เสียมราฐ) ซึ่ง
ทำให้กัมพูชามีรายได้จากการท่องเที่ยวปีละหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้โดย ฮุน เซน ได้วาง
แผนการที่จะเชื่อมต่อมรดกโลกทั้งสองแห่งนี้เข้าด้วยกันอีกต่างหาก
ส่วน
ชาวต่างชาติที่มีทุนทรัพย์จนเหลือล้นนั้น
ก็สามารถที่จะลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านอนุรักษ์ฯสมเด็จเดโช ฮุน เซน
แห่งนี้ได้เช่นกัน ทั้งนี้ด้วยการเข้าไปลงทุนในเขตที่สามที่ ฮุน เซน
จัดสรรไว้เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศเป็นการเฉพาะทั้งในธุรกิจบริการ
และการท่องเที่ยวอย่างครบครัน เช่นสนามกอล์ฟ โรงแรม รีสอร์ท และศูนย์การค้า
เป็นต้นซึ่งเฉพาะในเขตพื้นที่นี้ ฮุน เซน
ยังได้มองถึงเงินลงทุนหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว
อย่าง
ไรก็ตาม
เนื่องจากว่าการได้มาซึ่งมรดกโลกของปราสาทพระวิหารแห่งนี้ยังคงคุกรุ่นไป
ด้วยความขัดแย้งที่มีอยู่กับไทย จึงทำให้ ฮุน เซน
ต้องเพิ่มเขตที่สี่เข้าไปในหมู่บ้านอนุรักษ์ฯ สมเด็จเดโช ฮุน เซน
แห่งนี้เป็นการเฉพาะอีกเขตหนึ่ง ซึ่งในที่นี้ก็คือเขตที่พักของครอบครัวทหาร
ตำรวจ และเจ้าหน้าที่เก็บกู้ระเบิดนั่นเอง
โดย
ที่ผ่านมานั้น ก็ปรากฏว่า ฮุน เซน
ได้โยกย้ายอดีตทหารเขมรแดงและครอบครัวให้เข้าไปตั้งรกรากอยู่ในเขตนี้แล้ว
หลายร้อยครอบครัว
ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะมีการโยกย้ายเข้าไปเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่อง
จากว่าผลประโยชน์ที่ครอบครัวของอดีตทหารเขมรแดงเหล่านี้จะได้รับเป็นการตอบ
แทนจาก ฮุน เซน นั้นไม่ใช่เพียงการเลื่อนยศและเพิ่มอัตราเงินเดือนเท่านั้น
หากยังได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินและสร้างบ้านพักให้อยู่อาศัยได้อย่างถาวร
อีกด้วย
ความจริงแล้ว ฮุน เซน ได้เริ่มดำเนินการโยกย้ายครอบครัวอดีตทหารเขมรแดงเข้ามาอยู่ในเขตปราสาท พระวิหารนับเป็นเวลากว่า 2 ปีมาแล้วหรือนับจากที่ได้มีการปะทะด้วยกำลังอาวุธกับทหารไทยในครั้งแรกในช่วงปลายปี 2008 เพียงแต่ว่าในช่วงเวลานั้นคณะผู้แทนของ UNESCO ยัง
ไม่ได้เดินทางเข้าไปสำรวจพื้นที่ในเขตปราสาทพระวิหาร
จึงทำให้ยังไม่มีแนวความคิดเกี่ยวกับการก่อตั้งหมู่บ้านอนุรักษ์ฯ
สมเด็จเดโช ฮุน เซน แต่อย่างใด
แต่
ถึงกระนั้น ฮุน เซน ก็ได้ใช้แนวนโยบายทหารนิยมด้วยการทั้งให้ ทั้งแจก
และทั้งแถมผลประโยชน์ต่างๆนานาให้กับครอบครัวอดีตทหารเขมรแดงที่สมัครใจเข้า
ไปตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่ที่ต่อเนื่องจากกับ เขตปราสาทพระวิหารดังกล่าว
และครั้นเมื่อคณะผู้แทนของ UNESCO ได้เข้าไปสำรวจพื้นที่พร้อมกับการเสนอแนะให้รัฐบาลกัมพูชาของ ฮุน เซน ดำเนินการต่างๆตามการเสนอแนะดังกล่าวที่มีอยู่ทั้งหมด 13 ข้อ
เสนอแนะ
ซึ่งรวมถึงข้อเสนอแนะให้ดำเนินการก่อตั้งหมู่บ้านอนุรักษ์มรดกโลกดังกล่าว
ด้วยนั้น จึงทำให้ ฮุน เซน
ใช้เป็นโอกาสในการโยกย้ายครอบครัวอดีตทหารเขมรแดงเข้าไปได้อย่างเหมาะเจาะ
และยังได้ถือโอกาสใช้ชื่อของตนเป็นชื่อหมู่บ้านอีกด้วย
สำหรับการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของคณะผู้แทนของ UNESCO อีก 12 ข้อ
ที่เหลือนั้น ฮุน เซน
ก็ได้สั่งการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการและปฏิบัติตามอย่างเคร่ง
ครัด ซึ่งก็เป็นผลทำให้การดำเนินงานได้คืบหน้าไปแล้วในหลายด้าน เช่น
การก่อสร้างบันไดไม้ที่มีความยาวเกือบ 1,500 เมตรสำหรับใช้เป็นทางขึ้นสู่ตัวปราสาทพระวิหารจากด้านตะวันออกหรือจากฝั่งกัมพูชานั้นก็สร้างเสร็จแล้ว ส่วนถนนราดยางขนาดกว้าง 9 เมตรจากหมู่บ้านแสมเข้ามายังปราสาทพระวิหารนั้นก็เสร็จแล้วเช่นกัน
โดยหมู่บ้านแสมดังกล่าวนี้ถือเป็นประตูสู่มรดกโลกแห่งปราสาทพระวิหาร ซึ่งตามการเสนอแนะของ คณะผู้แทนของ UNESCO นั้น
จะพัฒนาให้หมู่บ้านแสมแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของธุรกิจภาคบริการต่างๆอย่างครบ
วงจร เช่น ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ศูนย์อาหาร ไนท์คลับ
ศูนย์จำหน่ายของที่ระลึก สถานีรถ โดยสาร และธนาคารเป็นต้น
ต่างก็ล้วนแล้วแต่จะถูกจัดให้อยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ทั้งสิ้น (และที่แน่ๆ ที่ดินส่วนใหญ่ในเขตดังกล่าวนี้ได้ตกไปอยู่ในมือพรรคพวกของ ฮุน เซน เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน)
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าการกระทบกระทั่งกับไทยในตลอดช่วงเกือบ 3 ปี
มานี้หาได้มีผลกระทบต่อการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆเพื่อรองรับแผนการ
บริหารและจัดการมรดกโลกแห่งนี้ของกัมพูชา แต่อย่างใด
ทั้งยังเชื่อด้วยว่าการประกาศถอนตัวของไทยจาก UNESCO ใน
ครั้งนี้ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อ ฮุน เซน อีกต่างหาก
โดยถึงแม้ว่าความขัดแย้งที่เป็นอยู่นี้จะทำให้รัฐบาลของ ฮุน เซน
ไม่สามารถที่จะเดินหน้าในการปฏิบัติแผนการบริหารและจัดการมรดกโลกแห่งนี้ได้
จนถึงทุกวันนี้ก็ตาม แต่สำหรับฮุน เซน
แล้วก็สามารถที่จะเอาตัวรอดได้ด้วยการให้เหตุผลต่อชาวเขมรทั้งในและต่าง
ประเทศว่าสาเหตุและอุปสรรคที่สำคัญที่สุดนั้นมาจากการขัดขวางของรัฐบาลไทย
นั่นเอง
ซึ่ง
ด้วยเหตุผลที่ว่านี้ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการทำให้ ฮุน เซน
และพรรคประชาชนกัมพูชาของเขานั้นสามารถที่จะยึดกุมชัยชนะทั้งในการเลือกตั้ง
ระดับท้องถิ่นในต้นปี 2012 และการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไปในกลางปี 2013 ได้อย่างแน่นอน (โดยไม่ต้องสนใจเลยว่าจะสามารถปฏิบัติแผนการบริหารและจัด การมรดกโลกได้จริงๆเมื่อใด) นี่จึงนับได้ว่าปราสาทพระวิหารแห่งนี้คือมรดกของ ฮุน เซน โดยแท้!!!
ทรงฤทธิ์ โพนเงิน
|
วันอังคารที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
หมู่บ้านอนุรักษ์ฯสมเด็จเดโช ฮุน เซน แห่งพระวิหาร
by
Supalak
,
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค
บทความย้อนหลัง
-
▼
2011
(568)
-
▼
กรกฎาคม
(56)
-
▼
19 ก.ค.
(9)
- "Political gain the name of the game"
- ข้อสังเกตทางกฎหมาย เกี่ยวกับคดีปราสาทพระวิหาร อนุส...
- ผ่า!แผนที่'เขตปลอดทหาร'ไทยกระเทือน
- ใบแถลงข่าวอย่างไม่เป็นทางการของศาลยุติธรรมระหว่างป...
- “สมปอง”แนะส่งตำรวจดูแลความเรียบร้อยแทนทหารได้
- หมู่บ้านอนุรักษ์ฯสมเด็จเดโช ฮุน เซน แห่งพระวิหาร
- คำตัดสินศาลโลก..สันติภาพไทย-เขมร
- "จับตา รัฐบาล กต. ทหารหาญและสื่อมวลชนกรณีศาลโลก ภา...
- “มาร์ค กษิต พอใจกับคำสั่งของศาลโลก
-
▼
19 ก.ค.
(9)
-
▼
กรกฎาคม
(56)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น