บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

การเจรจาปัญหาการอ้างเขตไหล่ทวีปทับซ้อนในอ่าวไทย ของประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน

<  ผู้เขียน พลเรือเอก ถนอม เจริญลาภ 

โดยบทบัญญัติของอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1958 ว่าด้วยไหล่ทวีป
ให้สิทธิรัฐชายฝั่งประกาศเขตไหล่ทวีปออกไปขอบนอกของทะเลอาณาเขตได้จนถึงแนวน้ำลึก 200 เมตร อ่าว ไทยซึ่งมีบริเวณทะเลนอกทะเลอาเขตของรัฐต่างๆ ที่เคยมีสถานภาพแต่อดีตตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศเป็นทะเลหลวง จึงมีสถานภาพใหม่ตามอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ. 1958 ว่าด้วยไหล่ทวีป เป็นไหล่ทวีป เพราะอ่าวไทยมีความลึกสูงสุดเพียงประมาณ 82 เมตรเท่านั้น รัฐชายฝั่งที่อยู่รอบอ่าวไทยที่มีส่วนเป็นเจ้าของไหล่ทวีปในอ่าวไทย คือ ไทย เวียดนาม กัมพูชา และ มาเลเซีย
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ การอ้างสิทธิเขตไหล่ทวีปฝ่ายเดียวของประเทศต่างๆ อันมีผลให้เกิดพื้นที่ไหล่ทวีปทับซ้อน ระหว่างไทยกับเวียดนาม และกัมพูชา ประมาณ 32,000 ตาราง กิโลเมตร และไทยกับมาเลเซียประมาณ 7,250 ตารางกิโลเมตร
การดำเนินการของประเทศไทย เกี่ยวกับปัญหาการอ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปทับซ้อน
การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ครั้งที่
1 ณ กรุงเจนีวา ค.ศ. 1958 หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ กระทรวงการต่างประเทศโดยความร่วมมือของส่วนราชการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อยู่ภายใต้การกำกับดูแลและกำหนดนโยบายโดยคณะกรรรมการพิเศษเพื่อพิจารณา อนุสัญญาต่างๆ

ประเทศไทยได้คำนึงถึงปัญหาที่จะมีการอ้างสิทธิในเขตไหล่ทวีปทับซ้อนของประเทศเพื่อนบ้านตั้งแต่การเกิดขึ้นของอนุสัญญาเจนีวา ค
.ศ. 1958 ว่าด้วยไหล่ทวีป จึงได้มีการศึกษา ติดตาม และดำเนินการเกี่ยวข้องกับกฎหมายทะเลและเขตทางทะเลมาอย่างต่อเนื่องที่ปรากฏ เป็นรูปธรรมคือ การประกาศอ่าวประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2502 การประกาศทะเลอาณาเขต 12 ไมล์ทะเล พ.ศ. 2509 และการประเส้นฐานตรงของประเทศไทย ในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน เมื่อพ.ศ. 2510 คณะกรรมการพิเศษเพื่อพิจารณาอนุสัญญาต่างๆ ได้กำกับดูแลงานกฎหมายทะเลและเขตทางทะเลของประเทศไทยจนถึงปลายปี พ.ศ. 2512
ชื่อคณะกรรมการพิเศษเพื่อพิจารณาอนุสัญญาต่างๆ อาจจะไม่คุ้นกับส่วนราชการอื่นๆ และประชาชน ตามปกติ
คณะกรรมการนี้จะมีภารกิจเกี่ยวกับกระทรวงการต่างประเทศโดยเฉพาะ ภารกิจตามปกติคือการพิจารณากลั่นกรอง สนธิสัญญาและอนุสัญญาต่างๆ ก่อนที่คณะกรรมการจะมีนักกฎหมายและข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศอาวุโสเป็น หลัก เช่น เมื่อ พ.ศ. 2507 ประธานคณะกรรมการ คือ พระมนูเวทย์วิมลนาท กรรมการอื่นซึ่งนามของท่านเป็นที่รู้จักดีจนถึงปัจจุบันก็มี เช่น หลวงจำรูญเนติศาสตร์ นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายประกอบ หุตะสิงห์ และนายหยุด แสงอุทัย เป็นต้น

ในเดือนพฤษภาคม พ
.ศ. 2512 ได้มีการประชุมคณะกรรมการประสานงานเกี่ยวกับการสำรวจทรัพยากรธรณีนอกชายฝั่ง ของประเทศเอเชีย (CCOP) และการประชุมกลุ่มที่ปรึกษาทางวิชาการ (TAG) สมัยที่ 5 ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ สาระสำคัญประการหนึ่งที่ประชุมได้เสนอแนะประเทศสมาชิกว่า “…สมควรที่ปะเทศสมาชิกในเอเชียตะวันออกที่มีน่านน้ำ และไหล่ทวีปประชิดติดกัน จะได้มีการเจรจาตกลงแบ่งเขตไหล่ทวีประหว่างกันให้เป็นที่แน่นอน เพื่อขจัดข้อพิพาทอันพึงเกิดขึ้นได้เกี่ยวกับสิทธิของแต่ละประเทศที่จะ ดำเนินการสำรวจแสวงประโยชน์จากแหล่งปิโตรเลียมและแหล่งแร่ในไหล่ทวีป…”
กระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ซึ่งเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในที่ประชุม ได้นำข้อเสนอแนะนี้รายงานรัฐบาล และเสนอขอจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อการเจรจาขึ้น มีชื่อว่า “คณะกรรมการเจรจาสิทธิและขอบเขตไหล่ทวีป” โดยมีรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติเป็นประธาน ประกอบด้วยกรรมการจากผู้แทนหน่วยราชการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย เป็นกรรมการและ เลขานุการ คณะรัฐมนตรีเห็นชอบอนุมัติตามข้อเสนอนี้ ภารกิจเกี่ยวกับการเจรจาเขตไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อน บ้าน จึงเปลี่ยนเจ้าของเรื่องจากกระทรวงการ
ต่างประเทศเป็นกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2512
 คณะ กรรมการเจรจาสิทธิและขอบเขตไหล่ทวีปได้มีการปรับปรุงโครงสร้างหลายครั้ง โดยครั้งหลังสุด ได้เปลี่ยนชื่อเป็นคณะกรรมการฏกหมายทะเลและเขตแดนทางทะเลของประเทศไทย มีปลัดกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน ไม่ว่าโครงสร้างคณะกรรมการนี้จะเปลี่ยนแปลง แต่ความเป็นจริงหน่วยงานหลักที่ทำงานเรื่องนี้มาตั้งแต่ พ.ศ. 2512 คือกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฏษฎีกา กรมทรัพยากรธรณี (กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติปัจจุบัน) กรมประมง กรมแผนที่ทหาร และกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ หน่วยงานอื่นจะเข้ามาร่วมในบางครั้งที่มีปัญหาเกี่ยวข้อง เช่น กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร กรมอัยการ (กรมสำนักงานอัยการสูงสุดปัจจุบัน) และกระทรวงยุติธรรม เป็นต้น ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด และกล่าวได้ว่ามีการดำเนินการประสบความสำเร็จด้วยดีมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 มาจนถึงปัจจุบัน มีการเจรจาตกลงเรื่องเขตแดนทางทะเลกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งในอ่าวไทยและทะเล อันดามันจนเกือบหมด ประเทศที่เจรจาตกลงไปแล้วคือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย พม่า (บางส่วน) และเวียดนาม ที่กำลังดำเนินการคือ กัมพูชาในอ่าวไทย และพม่าในทะเลอันดามันด้านใน ตั้งแต่ปากแม่น้ำปากจั่นถึงเกาะสุรินทร์
การเจรจาปัญหาการอ้างเขตไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างไทยกับมาเลเซียในอ่าวไทย

ไทยกับมาเลเซียได้เริ่มเจรจาปัญหาเขตแดนทางทะเล ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 โดยเริ่มที่เขตแดนทางทะเลในทะเลอันดามัน และบรรลุความตกลงในปี พ.ศ. 2513 ปัญหาเขตแดนทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างไทยกับมาเลเซีย เริ่มการเจรจาเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2515 และสามารถทำความตกลงได้ประมาณ 31 ไมล์ทะเล คือ ในทะเลอาณาเขตจากปากแม่น้ำโกลกออกไป 12 ไมล์ทะเล ถึงขอบนอกของทะเลอาณาเขตของทั้งสองประเทศ และต่อออกไปอีกประมาณ 19 ไมล์ทะเล ในเขตไหล่ทวีปและหยุดไว้เพียงแค่นั้น โดยหวังว่าจะมีการเจรจาต่อไปในปี 2516 แต่โดยปัญหาการเมืองภายในทำให้การเจตจาต้องชงักไปถึง 6 ปี จึงสามารถเริ่มเจรจาครั้งที่ 2 ได้เมื่อปี พ.ศ. 2521 แต่ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายเสนอเส้นเขตแดนที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนในเขตไหล่ทวีปประมาณ 7,250 ตารางกิโลเมตร ปัญหานี้ทำให้บรรยากาศตึงเครียดตามสมควรจากปัญหาการประมงล้ำน่านน้ำ นายกรัฐมนตรีของไทยและมาเลเซีย คือ ฯพณฯ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ และ ฯพณฯ ดาโต๊ะ ฮุสเซน ออน แก้ปัญหานี้โดยเป็นหัวหน้าคณะเจรจาของทั้งสองฝ่ายเอง การ เจรจามีขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และในที่สุดมีความตกลงแก้ปัญหาชั่วคราวด้วยการจัดตั้งองค์กรแสวงประโชยน์ ร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อนจนกว่าจะตกลงเรื่องเส้นเขตแดนได้ ความตกลงดังกล่าวมีชื่อว่า MOU เชียงใหม่ 2522 ซึ่งเป็นที่มาขององค์กรพัฒนาร่วมไทยมาเลเซีย

การเจรจาปัญหาการอ้างเขตไหล่ทวีประหว่างไทยกับเวียดนานในอ่าวไทย
เวียดนามใต้ประกาศเขตไหล่ทวีป ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 ภายหลังการรวมประเทศเวียดนามในปี พ.ศ. 2518 รัฐบาลเวียดนามยังยึดถือขอบเขตไหล่ทวีปตามประกาศปี พ.ศ. 2541 เมื่อประกาศเขตไหล่ทวีปของประเทศไทย พ.ศ. 2516 ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนในไหล่ทวีปทางตอนใต้ของอ่าวไทยระหว่างไทยกับ เวียดนาม ประมาณ 6,000 ตารางกิโลเมตร
การเจรจาครั้งแรกเกี่ยวกับเขตไหล่ทวีปทับซ้อนของไทยกับเวียดนาม (ใต้) มีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2517 ซึ่งมีผลเพียงความตกลงว่าจะเร่งรัดเจรจาตกลงกันต่อไป แต่พอปีต่อมาคือ พ.ศ. 2518 เวียดนาม (ใต้) ก็ล่มสลาย การเจรจาเริ่มนับหนึ่งใหม่เมื่อ พ.ศ. 2535 กับรัฐบาลเวียดนามปัจจุบัน และประสบผลสำเร็จมีความตกลงกำหนดเขตแด ไทย-เวียดนาม ในพื้นที่ทับซ้อนได้เมื่อ พ.ศ. 2540 หลังการเจรจาเป็นทางการ 9 ครั้งในเวลา 5 ปี   จาก การเจรจากับเวียดนาม ปตท.สผ.ได้รับสัมปทานในการสำรวจและผลิตก๊าซธรรมชาติ ตั้งชื่อพื้นที่นี้ว่าแหล่งอาทิตย์ ผลการสำรวจเชื่อว่าแหล่งอาทิตย์มีปริมาณสำรองของก๊าซธรรมชาติประมาณ 1.8 ล้านล้านลูกบาศฟุตซึ่งเป็นมูลค่าปัจจุบันประมาณ 2 แสนล้านบาท
 
การเจรจาปัญหาการอ้างเขตไหล่ทวีปทับซ้อนระหว่างไทยกับกัมพูชา
การเจรจาปัญหาเขตไหล่ทวีประหว่างไทยกับกัมพูชา เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2513 ซึ่งขณะนั้นกัมพูชายังไม่ได้ประกาศเขตไหล่ทวีป ไทยมีประกาศพื้นที่สัมปทานของกรมทรัพยากรธรณีเมื่อปี พ.ศ. 2510 การเจรจาครั้งแรกเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับเส้นเขตไหล่ ทวีปไทย-กัมพูชา ซึ่งตกลงว่าจะได้มีการเจรจากันในโอกาส
ต่อไป
หลัง การเจรจาครั้งแรกแล้ว ต่อมาไม่นาน การเมืองภายในของกัมพูชาก็มีปัญหาอย่างรุนแรงถึงขั้นเปลี่ยนระบอบการปกครอง ไปเป็นสาธารณรัฐภายใต้การปกครองของประธานาธิบดีลอนนอล ในสมัยรัฐบาลลอนนอลนี้เอง เมื่อ
พ.ศ. 2515 กัมพูชาก็มีประกาศเขตไหล่ทวีป รัฐบาลไทยขณะนั้นได้พยายามประสานรัฐบาลลอนนอลเพื่อให้มีการเจรจาเกี่ยวกับ เขตไหล่ทวีป รัฐบาลไทยขณะนั้นได้พยายามประสานรัฐบาลลอนนอลเพื่อขอให้มีการเจรจาเกี่ยวกับ
เขตไหล่ทวีป เพราะหน่วยงานและประชาชนคนไทยเป็นอันมากข้องใจเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาที่ ลากจากหลักเขตแดนที่ 73 ผ่านเกือบกลางเกาะกูดออกไปในทะเล  เมื่อกัมพูชาประกาศเขตไหล่ทวีปเดือนกรกฏาคม 2515
ในเดือนมกราคม 2516 ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการเจรจาสิทธิและขอบเขตไหล่ทวีป โดยจอมพลประภาส จารุเสถียร รองนายกรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานคณะกรรมการ องค์ประกอบอื่นๆ มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ภายหลังที่รับหน้าที่ประธานได้ระยะหนึ่ง จอมพลประภาสฯ ได้เล่าให้ฟังว่า ท่านได้หารือโดยตรงกับลอนนอล ขอให้มีการเจรจาเรื่องเขตแดนทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะเส้นเขตไหล่ทวีปกัมพูชาที่ประกาศเมื่อ พ.ศ. 2515 ทำให้ไทยข้องใจในท่าทีของรัฐบาลลอนนอลเกี่ยวกับเกาะกูดท่านเล่าว่า ลอนนอลเรียกท่านว่า
เส้นเขตไหล่ทวีปที่กัมพูชาประกาศเป็นไปตามการเสนอของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยว ข้องและบริษัทเอกชนที่เสนอขอรับสัมปทานแสวงประโยชน์จากปิโตรเลียมในเขตไหล่ ทวีปกัมพูชา ลอนนอลไม่มีความมุ่งประสงค์ใดๆ เกี่ยวกับเกาะกูดของไทยทั้งสิ้น และพร้อมที่จะมีการปรับปรุงเส้นดังกล่าว แต่ขณะนั้นการเมืองภายในของกัมพูชาคับขันมาก ฝ่ายค้านและฝ่ายต่อต้านรัฐบาลพยายามหาประเด็นที่จะปลุกระดมประชาชน และต่อต้านรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา หากมีการเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนไม่ว่าผลการเจรจาจะออกมาเช่นไร ก็คงจะเป็นประเด็นที่จะนำไปโจมตีรัฐบาลได้ เพราะฉะนั้นเป็นตายอย่างไรก็คงจะให้มีการเจรจาขณะนี้ไม่ได้ ขอชะลอไปก่อนจนกว่าทุกอย่างจะดีขึ้นกว่านี้ แต่ปรากฏว่าไม่มีอะไรดีขึ้นสำหรับลอนนอล จนกัมพูชาถูกยึดครองโดยเขมรแดงไปในที่สุด ลอนนอลก็ลี้ภัยไปอยู่สหรัฐอเมริกา

ในสมัยเขมรแดง เมื่อ เอียง ซารี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐบาล เขมรแดงมาเยือนประเทศไทย ปัญหาเขตแดนทางทะเลก็ถูกยกขึ้นเป็นประเด็นการสนทนา แต่ไม่มีความตกลงชัดเจน เพราะเขมรแดงก็ยังไม่พร้อมที่จะมีการเจรจาปัญหาที่มีความซับซ้อนทางเทคนิค เป็นอันว่าเรื่องการเจรจาปัญหาเขตแดนทางทะเลไทยกัมพูชาชงักไปยาวนานถึง
24 ปี โดยมีการเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่เมื่อสมัยรัฐบาลรณฤทธิ์-ฮุนเซน เมื่อ พ.ศ. 2538 และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

การเจรจาเมื่อ พ
.ศ.  2538 ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญกับการเจรจามาก หัวหน้าคณะเป็นรัฐมนตรีถึง 3 ท่าน (ไทย 1 ท่าน กัมพูชา 2 ท่าน) ผลการเจรจาครั้งแรกได้มีการตกลงตั้งคณะกรรมการเทคนิคร่วม (Joint Technical Committee) เพื่อดำเนินการเจรจาประเด็นทางเทคนิคต่อไป

ปัญหาเขตแดนทางทะเลในอ่าวไทยกับกัมพูชามีความ ซับซ้อนและละเอียดอ่อนเป็นอันมาก มีประเด็นทางเทคนิคทั้งในทางกฏหมายและทางประวัติศาสตร์ที่จะต้องพิจารณาหา ความตกลง คณะกรรมการฯ ได้มีการตั้งอนุกรรมการฯ และคณะทำงานเข้าช่วยแก้ปัญหา แต่ไม่ประสบผลเท่าที่ควร ปัญหาที่สำคัญประการหนึ่งคือ อำนาจการตัดสินใจของ
ผู้เจรจาระดับต่างๆ ดูเหมือนจะมีน้อยมาก วิธีการที่จะนำปัญหามาเจรจาก็ไม่ตรงกันตั้งแต่เริ่มต้น

เมื่อเริ่มการเจรจา ฝ่ายไทยเห็นว่าการเจรจาทำความตกลงกำหนดเส้นเขตไหล่ทวีปของทั้งสองฝ่ายตลอด พั้นที่ทับซ้อน ตั้งแต่หลักเขตแดนทางบกที่ 73 บนฝั่งที่หาดสารพัดพิษจนไปบรรจบเส้นเขตแดนทางทะเลไทย-เวียดนามทางตอนใต้ของ อ่าวไทยน่าจะเหมาะสมที่สุด กัมพูชาไม่เห็นด้วย อ้างว่าจะใช้เวลาเจรจานานมาก กัมพูชาต้องการแสวงหาประโยชน์ (ปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติ) ร่วมกันตลอดพื้นที่ทับซ้อน ซึ่งเชื่อวาจะสามารถตกลงและหาผลประโยชน์ได้เร็วกว่าปัญหานี้เจรจากันหลายรอบ หลายปี ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยมีฝ่ายการเมืองระดับสูงของทั้งสองฝ่ายติดตามผลการเจรจาอย่างใกล้ชิด และให้ข้อเสนอแนะเป็นบางครั้งเนื่องจากการเจรจามีที่ท่าว่าจะถึงทางตัน ตั้งแต่เริ่มต้น

ในที่สุดในปี พ.ศ. 2545 ก็มีความตกลงพบกันครั้งทาง โดยให้มีการเจรจากำหนดเขตแดนทางทะเลประมาณหนึ่งในสามของพื้นที่ คือตั้งแต่ แลต 11 องศาเหนือขึ้นไปจนถึงหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาที่ 73 ส่วนที่เหลืออีกประมาณสองในสามของพื้นที่คือตั้งแต่ แลต11 องศาเหนือ ลงมาถึงพื้นที่ไทย-เวียดนาม จะเจรจาแสวงประโยชน์ร่วมกัน ที่จะจัดตั้งเป็นองค์กรร่วมไทย-กัมพูชา
 ความตกลงนี้ทำให้มีการตั้งอนุกรรมการทางเทคนิคเพื่อจะเจรจาปัญหา
แต่ละพื้นที่ซึ่งจะมีประเด็นทางเทคนิคที่แตกต่างกัน

การเจรจากำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลในพื้นที่ทางตอนเหนือ ทั้งสองฝ่ายมีการเสนอเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลจากหลักเขตแดนที่ 73 ลงมาถึงเส้นขนาน แลตที่ 11 องศาเหนือ แต่เส้นที่เสนอยังมีความแตกต่างกันมาก จากนั้นมาก็ไม่มีการขยับเส้นที่เสนอนั้นอีกเลย แม้จะมีการเจรจากันอีกหลายรอบ ผู้เขียนไม่บังอาจที่จะวิจารณ์ถึงเหตุผลของทั้งสองฝ่าย แต่ที่เห็นได้ชัดคือความระมัดระวังของท่าทีแต่ละฝ่ายสูงมาก ในที่สุดได้มีการเสนอที่จะให้มีการจัดกลุ่มเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคของแต่ละ ฝ่ายขึ้น เพื่อหารืออย่างไม่เป็นทางการ เพื่อนำผลการหารือเข้าหารือกับฝ่ายตนอีกครั้งหนึ่ง
ผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเป็นทางออกที่ดีและอาจนำไป สู่ความตกลงได้ในที่สุด แต่จนถึงขณะนี้ซึ่งเวลาล่วงเลยมาเกือบปี การดำเนินการดังกล่าวก็ยังไม่ได้เริ่มต้น

สำหรับการเจรจาเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนใต้แลต 11 องศาเหนือลงมา ที่ว่าจะแสวงประโยชน์ร่วมกันจนถึงวันนี้อาจกล่าวได้ว่ายังมีความก้าวหน้าใน ประเด็นที่สำคัญน้อยมาก ประเด็นสำคัญที่ว่าคือ การกำหนดสัดส่วนการแบ่งปันผลประโยชน์และการลงทุน ปัญหานี้มีความซับซ้อนเกี่ยวกับข้อมูลของศักยภาพทางธรณีวิทยาของพื้นที่ ซึ่งไม่ง่ายเหมือนพื้นที่แสวงประโยชน์ร่วมไทย-มาเลเซีย เพราะเมื่อ พ.ศ. 2522 ขณะที่เจรจานั้น ทั้งไทยและมาเลเซียไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพทางธรณีของพื้นที่ จึงตกลงกันง่ายๆ 50:50 แต่เมื่อปัญหาไทย-กัมพูชามีข้อมูลเพิ่มขึ้น ความยุ่งยากซับซ้อนก็ติดตามมาว่าจะจัดสรรกันอย่างไร ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจึงจะไม่มีความเสี่ยงเป็นผู้เสียเปรียบในเงื่อนไของความตกลง ผู้ เขียนคงจะกล่าวถึงเรื่องนี้เพียงเท่านี้ การมีการวิพากษ์วิจารณ์จากสาธารณะมากเท่าใด ก็ยิ่งเพิ่มความกดดันให้กับผู้รับผิดชอบในการเจรจาทั้งสองฝ่ายมากเท่านั้น

จากการที่กัมพูชาเชื่อว่าการเจรจาแสวงประโยชน์ร่วมกันในพื้นที่ทับซ้อน จะทำให้ช่วงเวลาการเจรจาสั้นกว่าการเจรจาลากเส้นเขตแดนทางทะเลระหว่างกันให้ จบสิ้นไปเลยนั้นไม่จริงตามที่เชื่อเมื่อแรกเริ่มการเจรจา พ
.ศ. 2538 มาจนถึงขณะนี้ย่างเข้าปีที่ 13 แล้วยังไปไม่ได้ไกลสักเท่าใดเลย ถ้าเจรจากำหนดเส้นเขตแดนป่านนี้อาจไปได้ไกลแล้วโดย ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน เห็นว่าน่าจะไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามให้มีการแสวงประโยชน์ร่วมกัน เพราะดูจากท่าทีของทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่ามีจุดยืนที่ห่างกันมาก ถ้าเป็นไปได้ หัวหน้าคณะเจรจาทั้งสองน่าจะหารือกันยกเลิกวิธีการเดิม แล้วเริ่มเจรจาแบ่งเส้นเขตแดนทางทะเลตลอดแนวไปเลย หากภายในระยะเวลาหนึ่ง เช่น 5 หรือ 10 ปี ยังไม่ประสบผลสำเร็จควรหารือกันอีกครั้งว่าน่าจะเหมาะสมหรือไม่ที่จะตกลง ร่วมกันใช้บริการ ศาลโลก การนำคดีขึ้นสู่ศาลโลกใช่ว่าจะต้องทะเลาะกัน จะเห็นว่าในปัญหาเขตแดนทางทะเลเมื่อฝ่ายที่เกี่ยวข้องเห็นว่าการตเจรจาถึง ทางตัน
ก็นำคดีขึ้นสู่ศาลโลกให้ช่วยดำเนินการให้ ดังเช่นคดีไหล่ทวีปทะเลเหนือ 1969 ระหว่างเยอรมัน เดนมาร์ก กับ
เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น คนไทยอาจจะมีความรู้สึกไม่ค่อยดีกับศาลโลก เนื่องจากคำตัดสินคดีปราสาทเขาพระวิหาร แต่โดยความเป็นจริง เท่าที่ติดตามผลงานของศาลโลกเกี่ยวกับการตัดสินคดีเขตแดนทางทะเลต่างๆ ผู้เขียนเห็นว่าศาลโลกมีความยุติธรรมและเชื่อถือได้ คำชี้แจงของศาลโลกในคดีต่างๆ ยังถูกนำมาอ้างอิงเป็นบรรทัดฐานในการเจรจาได้เสมอเมื่อมีประเด็นที่สามารถอ้างอิงได้และฝ่ายตรงข้ามจะยอมรับเป็นส่วนมาก
                






     โครงการจัดการความรู้เพื่อผลประโยชน์เเห่งชาติทางทะเล

       c/o  สถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

คำแปลอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล 1982

ผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลและแนวโน้มในอนาคตของประเทศไทยกับการใช้ทะเลอย่างยั่งยืน

ผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลสถานการณ์ และ ข้อเสนอ

โครงการสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตของประเทศไทยกับการใช้ทะเลอย่างยั่งยืน 


เขตทับซ้อนทางทะเลไทยและกัมพูชา



สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี
                พรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐบาลซึ่งปัจจุบันเป็นฝ่ายค้าน และพรรคเพื่อไทยที่อดีตเป็นฝ่ายค้านและปัจจุบันเป็นรัฐบาล  กำลังถกเถียงกันอย่างหนักเรื่องเขตทับซ้อนทางทะเลกับกัมพูชาในอ่าวไทย ต่างก็อวดอ้างว่า พวกตัวเองได้ทำเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติอย่างสุดซึ้งและกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่ง ว่ากระทำการเสียเปรียบในการเจรจากับกัมพูชา เพราะอาจจะมีผลประโยชน์ส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องทรัพยากรปิโตรเลียม วัตถุประสงค์ของการถกเถียงก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า ต้องการจะเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นเพื่อสร้างคะแนนนิยมทางการเมืองและ ทำลายความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงกันข้ามเท่านั้น แต่นักการเมืองไทยไม่ค่อยเฉลียวใจเท่าใดนักว่า การต่อสู้ของพวกเขานั้นสร้างความสับสนให้กับสาธารณชน และมีส่วนในการสร้างความเสื่อมเสียให้กับประเทศชาติไปพร้อมๆกัน
                เรื่องเขตทับซ้อนทางทะเลไม่ใช่เพิ่งเกิดเมื่อปี พ.ศ. 2544หลังการทำบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชาในสมัยรัฐบาลของทักษิณ ชินวัตรแต่อย่างใด หากแต่มีที่มายาวนานกว่านั้นมากมายนักและประการสำคัญโอกาสที่จะปัจเจกบุคคล จะมีผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นการเฉพาะเจาะจงนั้นมีอยู่ไม่มาก นัก

               
พื้นที่ทับซ้อนกันทางทะเลระหว่างไทยกับกัมพูชา
เขตทับซ้อนทางทะเลเกิดขึ้นบนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศและการประกาศ ไหล่ทวีปทางทะเลของแต่ละประเทศชายฝั่งเป็นสำคัญ ในทางกฎหมายนั้นเป็นไปตามอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.1958 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.1982ที่มาของกฎหมายทางทะเลนั้นซับซ้อนยืดยาว พลเรือเอกถนอม เจริญลาภ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ได้อธิบายหลักการง่ายๆคือ ให้สิทธิรัฐชายฝั่งได้ประกาศเขตไหล่ทวีปจากขอบนอกของทะเลอาณาเขตไปจนถึงแนว น้ำลึก 200เมตร ความจริงอ่าวไทยมีความลึกที่สุดแค่ 82เมตรและไม่ได้กว้างนัก จุดที่กว้างที่สุดแค่ 206ไมล์ทะเล ดังนั้นประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่อยู่ชายฝั่งไม่ว่าจะเป็นกัมพูชา เวียดนาม และ มาเลเซีย ประกาศเขตไหล่ทวีปของเขาออกมาก็ย่อมทำให้เขตที่ประกาศนั้นทับซ้อนกัน   


พื้นที่ทางทะเลที่ไทยอ้างสิทธิ์
ประเทศไทยได้ประกาศทะเลอาณาเขต 12ไมล์ทะเลเมื่อปี พ.ศ. 2509(ค.ศ. 1966) และประกาศเขตไหล่ทวีปเมื่อปี พ.ศ.2516โดยการประกาศเช่นว่านั้นยึดเอาหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยและกัมพูชา หลักสุดท้ายคือหลัก 73ที่ตั้งอยู่ที่แหลมสารพัดพิษ จังหวัดตราด แล้วลากเป็นเส้นตรงจากละติจูดที่ 11 องศา 39ลิปดาเหนือตัดกับลองติจูด102องศา 55ลิปดาตะวันออก ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปยังจุดที่เส้นละติจูดที่ 9องศา 48 ลิปดา 5ฟิลิปดาเหนือตัดกับเส้นลองติจูด101องศา46 ลิปดา 5ฟิลิปดา ตะวันออก พิจารณาตามภูมิประเทศจริงคือ ลากจากหลักเขตสุดท้ายเฉียงตรงลงไประหว่างเกาะกูดกับเกาะกงเรื่อยไปจนถึงกลาง อ่าวไทยวกลงใต้ ไปชนกับที่สิ้นสุดเขตแดนทางบกไทย-มาเลเซีย และนอกจากนี้ในปี 2524ประเทศไทยประกาศเขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200ไมล์ทะเลโดยวัดจากเส้นฐานของทะเลอาณาเขต


พื้นที่ทางทะเลที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์
                ส่วนกัมพูชา นั้นประกาศเขตไหล่ทวีปก่อนประเทศไทยคือประกาศในปี พ.ศ. 2515 ด้วยวิธีเดียวกันคือ ลากจากหลักเขตทางบกหลักที่ 73แต่เส้นของกัมพูชานั้นลากเป็นเส้นตรงไปทางตะวันตกผ่านกึ่งกลางแล้วหักเข้า ฝั่งบริเวณชายแดนเวียดนามกัมพูชา
ผลจากการที่สองประเทศประกาศเขตไหล่ทวีปก็คือเกิดพื้นที่ทับซ้อนกันและมี ข้อถกเถียงเรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะกูด ซึ่งจะได้พิจารณาที่ละประเด็นดังนี้
                1. ประเด็นปัญหาการอ้างอธิปไตยของกัมพูชาเหนือเกาะกูดนั้นเป็นที่ถกเถียงกันมา นาน สุรเกียรติ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอธิบายว่า แผนที่แนบท้ายการประกาศเขตไหล่ทวีปของกัมพูชานั้นไม่ได้ผ่ากลางเกาะกูดอย่าง ที่เข้าใจกัน แต่ขีดอ้อมด้านใต้เกาะกูดเป็นรูปตัวยู พลเรือเอกถนอม เจริญลาภ อธิบายว่า สนธิสัญญาสยามและฝรั่งเศสที่ทำกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907ข้อ 2เขียนเอาไว้ชัดเจนแล้วว่า “รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเมืองด่านซ้ายแลเมืองตราดกับเกาะทั้งหลายซึ่ง อยู่ภายใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดนั้นให้แก่กรุงสยาม...” และการประกาศไหล่ทวีปนั้นโดยหลักกฎหมายแล้วคือการประกาศเขตที่อาศัยเส้นที่ ทอดไปตามพื้นท้องทะเลไปตามบริเวณใต้ทะเล  ดังนั้นไม่เกี่ยวกับเกาะในทะเล และแผนที่ประกอบการประกาศของกัมพูชานั้น พลเรือเอกถนอม อธิบายตรงกับสุรเกียรติว่า เส้นไหล่ทวีปของกัมพูชาจะมาหยุดตรงขอบเกาะกูดด้านตะวันออก แล้วเว้นไปเริ่มใหม่ที่ขอบเกาะกูดทิศตะวันตก ส่วนที่ว่างระหว่างตะวันออกกับตะวันตกนั้นกัมพูชาลากอ้อมลงไปทางทิศใต้ของ เกาะกูด และในแผนที่นี้เขียนไว้ชัดเจนว่า "Koh Kut (Siam)”แปลว่ากัมพูชายอมรับมาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า เกาะกูดนั้นอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของไทย ถ้าเช่นนั้นทำไมตอนประกาศเขตไหล่ทวีปจึงได้ลากเส้นผ่าเกาะกูด กัมพูชาอธิบายว่า เส้นเริ่มต้นเขตแดนทางบกตามสนธิสัญญาสยามฝรั่งเศสลงวันที่ 23มีนาคม ค.ศ. 1907ข้อ1ระบุว่าเส้นเขตแดนทางบกให้เริ่มจากชายฝั่งทะเลที่ตรงกันข้ามกับยอด ที่สูงที่สุดของเกาะกูดเป็นหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปถึงสันเขาพนมกระวาน ดังนั้นตีความตามตัวอักษรเขตแดนทางทะเลก็อาศัยเกาะกูดเป็นเกณฑ์เช่นกัน แต่ฝ่ายไทยเถียงว่าไม่ถูกต้องเพราะยอดสูงสุดของเกาะกูดไปถึงเขาพนมกระวาน เป็นแค่เส้นสมมติสำหรับการเริ่มต้นเส้นเขตแดนทางบก ไม่ใช่หลักการแบ่งเส้นเขตแดนทางทะเล พลเรือเอกถนอม และ สุรเกียรติ อธิบายตรงกันว่า ความจริงเรื่องนี้มีเหตุผลทางการเมืองภายในของกัมพูชาอยู่ แม้ว่าผู้นำตั้งแต่สมัยนายพล ลอนนอล จนถึงสมัย ฮุน เซน จะยอมรับว่าเกาะกูดเป็นของไทย แต่เกรงว่ากระแสการเมืองภายในจะทำให้รัฐบาลมีปัญหา จึงแสร้งประกาศอ้างสิทธิเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้มีเจตนาจะยึดเอาจริงๆ สุรเกียรติ ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือเรื่องกฎหมายและผลประโยชน์ของไทยในอ่าวไทยของเขา และทั้งเคยสนทนากับผู้เขียนในเรื่องนี้ว่า เพื่อตัดประเด็นปัญหาเรื่องเกาะกูดไป เพราะไหนๆกัมพูชาก็ยอมรับว่าเป็นของไทยแล้ว เขาเคยเสนอให้กัมพูชาเปลี่ยนเส้นที่อ้างไหล่ทวีปใหม่โดยการกดเส้นของกัมพูชา ให้ต่ำลงไปทางตะวันตกเฉียงใต้เล็กน้อยเพื่อให้พ้นเกาะกูดไปเลย ไม่ต้องทำเส้นอ้อมเพราะดูแล้วไม่ชอบด้วยเหตุผลและกฎหมายระหว่างประเทศเลย ทางฝ่ายกัมพูชารับว่าจะนำเรื่องนี้ไปพิจารณาหารือกับผู้นำของเขาก่อน แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอะไร สุรเกียรติ พ้นหน้าที่ไปเสียก่อน ดังนั้นเส้นอ้างพื้นที่ไหล่ทวีปกัมพูชาในปัจจุบันก็ยังลากพุ่งตรงเข้าหาเกาะ กูดอ้อมลงใต้เกาะเล็กน้อยเป็นรูปตัวยูแล้ววกขึ้นไปเริ่มใหม่ทางตะวันตกพุ่ง ตรงไปยังกลางอ่าวไทยดังเดิม ในความเห็นของผู้เขียน การจะขอให้กัมพูชากดเส้นอ้างเขตไหล่ทวิปของเขาให้เอียงลงใต้เพื่อหลบเกาะกูด ไปเลยอาจจะไม่ง่ายนักเพราะจะทำให้เขาเสียพื้นที่อ้างสิทธิ์ไปไม่น้อยทีเดียว
                2. ปัญหาต่อมา ที่จะต้องพิจารณาสำหรับไทยและกัมพูชาคือ เมื่ออ้างเขตไหล่ทวีปทับซ้อนกันจะทำอย่างไร ความจริงสองประเทศรู้ปัญหาเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนการประกาศเขตไหล่ทวีปเสียอีก กล่าวคือปรากฏว่าเคยมีการหารือเรื่องนี้ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2513คิดแล้วเป็นเวลา 2-3ปี ก่อนที่สองประเทศจะประกาศเขตไหล่ทวีปของตัวเองเสียด้วยซ้ำไป แต่การเจรจาครั้งนั้นไม่เป็นผล หลังจากนั้นไทยและมาเลเซียได้ดำเนินการและประสบผลสำเร็จในการจัดการเขตทับ ซ้อนทางทะเลโดยการทำเป็นเขตพัฒนาร่วม (joint development area – JDA) ฝ่ายไทยตั้งแต่สมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน ก็พยายามผลักดันให้ทำแบบเดียวกันกัมพูชาบ้าง แต่เนื่องจากสถานการณ์การเมืองภายในของกัมพูชาไม่เอื้ออำนวย แม้หลังจากการสิ้นสุดปัญหากัมพูชาแล้ว มีการเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชาในปัญหานี้ช่วงปี 2537-2538ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ล่วงเลยมากระทั่งสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย ครั้งที่สองคือประมาณปี 2543รัฐบาลได้ส่งพลเอกมงคล อัมพรพิศิษฎ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดไปหารือนอกรอบกับกัมพูชาเรื่องเขตทับซ้อนทางทะเลและนำ ไปสู่การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ที่ชะอำ เพชรบุรี เมื่อวันที่ 5ตุลาคม พ.ศ. 2543แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอะไรรัฐบาลชวน2ก็หมดอายุไปเสียก่อน ดูเหมือนมีการเปิดเผยข้อมูล (ซึ่งก็ไม่ได้ลับอะไร) นี้กันในสภามาหลายครั้งแล้ว
                รัฐบาลภายใต้การนำของทักษิณ ชินวัตร เข้ามาในปี 2544ก็ดำเนินการสานต่อแนวทางที่รัฐบาลดำเนินการไว้มีการประชุมเจ้าหน้าที่ อาวุโสในเดือนเมษายน2544และสุดท้ายนำไปสู่การทำบันทึกความเข้าใจในวันที่ 18มิถุนายน 2544
ในบันทึกความเข้าใจนั้นกำหนดว่า รัฐบาลสองประเทศได้กำหนดพื้นที่อ้างสิทธิในเขตทับซ้อนทางทะเลที่จะต้องเจรจา เพื่อแบ่งเขตสำหรับทะเลอาณาเขตและเขตเศรษฐกิจจำเพาะในพื้นที่ซึ่งอยู่เหนือ เส้นละติจูด 11องศาเหนือขึ้นไปจนถึงเส้นที่กัมพูชาอ้างและส่วนที่อยู่ใต้เส้นนี้ลงไปก็ ให้ทำเป็นเขตพัฒนาร่วม
                คำถามสำคัญคือ ทำไมต้องเส้น11องศาเหนือ ทำไมไม่เอาต่ำกว่านั้น คำตอบคือเส้นนี้มาจากการประนีประนอมในการเจรจา กล่าวคือข้อเสนอเดิมของไทยนั้นให้กำหนดเขตไหล่ทวีปตั้งแต่หลักเขตที่ 73 ตรงแหลมสารพัดพิษไปจนบรรจบเส้นเขตแดนทางทะเลไทยเวียดนาม แล้วแบ่งกันเด็ดขาดไปเลยจะดีกว่า กัมพูชาเห็นว่าการเจรจาแบ่งเขตแบบเด็ดขาดนั้นคงใช้เวลานานมาก กัมพูชาอยากจะแสวงประโยชน์จากทรัพยากรทางทะเลก่อน จึงเสนอว่าทำเขตพัฒนาร่วมดีกว่า ก็เลยหาจุดประนีประนอมด้วยการเอาเส้นละติจูดดังกล่าวเป็นเกณฑ์ดังนั้นก็จะมี พื้นที่ 2ใน 3เป็นพื้นที่พัฒนาร่วมส่วนที่เหลืออีกหนึ่งส่วนให้แบ่งทะเลอาณาเขตและเขต เศรษฐกิจจำเพาะไปเลย ส่วนที่ว่าแบ่งแบบนี้แล้วเป็นธรรมหรือไม่ หรือใครจะได้ประโยชน์มากกว่าใคร คงจะเถียงกันได้เรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีความพยายามที่จะขยับหรือเปลี่ยนแปลงเส้นแนวการแบ่งนับตั้งแต่ ตกลงกันเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
                หลังจากการลงนามในปี 2544แล้วทำอะไรกันบ้าง กัมพูชานั้นไม่สนใจการแบ่งเขตไหล่ทวีปเท่าใดนักเมื่อเปรียบเทียบกับความสนใจ ที่จะพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนร่วมกัน (อาจจะรู้ว่าพื้นที่เหนือเส้น 11องศาเหนือไม่มีทรัพยากรมากก็เป็นได้) เพราะต้องการขุดทรัพยากรมาใช้และขาย ซึ่งการขายนั้นคงจะขายให้ไทยเป็นหลักเพราะมีความต้องการมากกว่าด้วย ส่วนไทยนั้นก็อยากได้ทรัพยากรพอๆกับอยากจะแบ่งเขตทางทะเล ปัญหาที่เกิดตามมาคือจะแบ่งปันผลประโยชน์จากการพัฒนาร่วมอย่างไร สูตร 50:50ที่ไทยและมาเลเซียเคยใช้นั้นไม่เป็นธรรมเพราะปัจจุบันสองฝ่ายรู้แล้ว ว่าพื้นที่ซึ่งมีทรัพยากรนั้นไม่ได้อยู่ตรงกลาง มีบางส่วนชิดไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากกว่า ดังนั้นจึงมีการเสนอหลักการว่า ถ้าอยู่ใกล้ฝั่งใดให้ฝั่งนั้นได้ประโยชน์มากกว่าที่ผ่านมามีการเสนอสูตรใน การแบ่งผลประโยชน์หลายสูตรตั้งแต่ 60:40, 80:20หรือแม้แต่ 90:10 ก็มี แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่สามารถตกลงอะไรกันได้ ระหว่างที่ยังตกลงอะไรกันไม่ได้นั้น มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในองค์ประกอบของคณะกรรมการร่วมคือ มีการเพิ่มคณะอนุกรรมการทางเทคนิค 3คณะ และในเดือนกุมภาพันธ์ 2548ฝ่ายไทยได้เปลี่ยนตัวประธานกรรมการ่วมจากรัฐมนตรีต่างประเทศเป็น รัฐมนตรีพลังงาน มีการส่งเอกสารไปมาระหว่างสองฝ่าย แต่ยังไม่มีการประชุมร่วมจนกระทั่งเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังการ รัฐประหารในเดือนกันยายน พ.ศ. 2549ความพยายามและการดำเนินการในเรื่องเขตทับซ้อนทางทะเลก็หยุดชะงักลง 
                  ฝ่ายไทยพยายามที่จะผลักดันให้มีการเจรจาเรื่องเขตทับซ้อนทางทะเลอีกครั้ง ในสมัยรัฐบาลของสมัคร สุนทรเวช โดยรัฐมนตรีต่างประเทศคือ นพดล ปัทมะ ในเวลานั้นพบกับ ซก อาน รองนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เมื่อเดือนมีนาคม 2551และเสนอให้มีการประชุมคณะทำงานและผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคเรื่องเขตทับ ซ้อนทางทะเล แต่ฝ่ายกัมพูชาตอบว่ายังไม่สะดวกที่จะประชุม เหตุแห่งความไม่สะดวกของกัมพูชาในสมัยนั้นพอเข้าใจได้ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางการเมืองของไทย อาจจะเล็งเห็นว่ารัฐบาลสมัครไม่สามารถดำเนินการตามที่ตกลงได้เช่นเดียวกับ กรณีการสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก  ที่สุดก็ต้องถูกบังคับให้ถอนการสนับสนุนนั้นไป
                ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ เวชชาชีวะ มีความพยามยามจะดำเนินการต่อในการพบปะระหว่างนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศในสมัยนั้นและนายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา เมื่อเดือนมกราคม 2552เห็นพ้องกันว่าควรมีการประชุมเรื่องเขตทับซ้อน ทางฝ่ายไทยจึงมาเสนอคณะรัฐมนตรีตั้งสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเป็นประธานฝ่ายไทยเพื่อดำเนินการ สุเทพ ไม่ประสบความสำเร็จในการดำเนินการให้เปิดการประชุมทั้งสองฝ่ายได้ สุเทพ พร้อมด้วย ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม พบ นายกรัฐมนตรี ฮุน เซน เมื่อเดือนมิถุนายน 2552ที่จังหวัดกันดาลแต่ตอนนั้น ซก อาน ไม่อยู่ ก็ไม่ได้คุยเรื่องนี้กัน สุเทพ ไปขอพบซก อาน ครั้งหนึ่งเมือเดือนสิงหาคม 2552ที่ฮ่องกง ทาบทามให้ซก อาน มาเยือนประเทศไทยเพื่อหารือเรื่องต่างๆรวมทั้งเรื่องเขตทับซ้อนทางทะเล แต่ซก อาน ยังไม่ตอบรับ ปรากฏว่าเกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ เพราะกัมพูชาตั้งให้ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวนายกรัฐมนตรี ฮุน เซนและที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา ซึ่งเป็นเหตุให้รัฐบาลอภิสิทธิ์โกรธจัดจนต้องประกาศลดระดับความสัมพันธ์ เรียกทูตกลับ และ เมื่อรัฐบาลกัมพูชาท้าทายด้วยการเชิญทักษิณไปเยือนและปฏิเสธการส่งตัวทักษิณ ตามคำขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน รัฐบาลอภิสิทธิ์จึงตอบโต้ด้วยการประกาศตัดความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและยก เลิกเอ็ม.โอ.ยู.เขตทับซ้อนทางทะเลที่ลงนามกันในปี 2544
         อย่างไรก็ตามฉายา “ดีแต่พูด” ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ นั้นไม่ได้มาด้วยความบังเอิญ อภิสิทธิ์เพียงประกาศออกไปเฉยๆ คณะรัฐมนตรีของเขาเห็นชอบที่จะยกเลิก เอ็ม.โอ.ยู.ดังกล่าวนั้นในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2552 แต่การดำเนินการในการยกเลิกหนังสือสัญญากับต่างประเทศนั้นมีขั้นตอนมากกว่า นี้ ประการสำคัญคือต้องมีการบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังคู่กรณีและคำบอกเลิกนั้นจะ มีผล 12เดือนหลังจากการบอกเลิก แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่ได้ดำเนินการ อีกทั้งปรากฏว่าสุเทพได้ไปพบกับซกอานอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม 2553ในเรื่องนี้อีก ซึ่งนั่นก็เป็นการส่งสัญญาณที่สับสนเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
              
         แต่ในเมื่อบันทึกความเข้าใจปี 2544ยังมีผลบังคับใช้อยู่ การดำเนินการใดๆที่ผ่านมาก็ยังถือว่ามีผลผูกพันอยู่ตามนั้น เป็นภาระหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่จะต้องดำเนินการต่อไป ความสงสัยในเรื่องผล ประโยชน์ทับซ้อนของผู้ที่เกี่ยวข้องหรือพยายามจะเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น ควรจะได้รับการพิสูจน์ด้วยว่ามีอยู่หรือไม่มีอยู่เพียงใด ทั้งผู้ที่กล่าวหาและผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่ควรจะทำเรื่องนี้ให้คลุมเครือ สำหรับฝ่ายที่ต้องดำเนินการนั้น การประชุมทุกครั้งควรแถลงผลการดำเนินงานให้สาธารณชนทราบอย่างกระจ่างแจ้งว่า เป็นอย่างไร ส่วนฝ่ายผู้กล่าวหาก็ชอบที่จะแสดงพยานหลักฐานให้เห็นเป็นประจักษ์ว่าใครได้ ผลประโยชน์อะไร อย่างไร ลำพังการยกเหตุแห่งความสงสัยของตนขึ้นมากล่าวนั้นไม่ช่วยให้การดำเนินการใดๆ มีความคืบหน้าได้ หากตรงกันข้ามจะกลายเป็นอุปสรรคถ่วงมิให้การดำเนินการในเรื่องนี้เดินต่อไป ได้เลย ประเทศเพื่อนบ้านที่จะต้องเจรจาตกลงกับไทยในกรณีนี้ ก็จะพลอยเกิดความอิดหนาระอาใจกับความไม่ลงตัวของการเมืองไทย แล้วพาลไม่อยากจะร่วมมือใดๆกับประเทศไทยอีก ก็จะเกิดความเสียหายมากกว่าจะได้ประโยชน์ 

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง