บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เขมรแถลงหนุนมาตรการชั่วคราวศาลโลก-โวได้สมใจอยาก


นายฮอ นำฮง หัวหน้าคณะผู้แทนกัมพูชาคดีศาลโลกฟิฟทีนมูฟ – เขมรออกแถลงการณ์สนับสนุนมาตรการชั่วคราวศาลโลก ระบุศาลฯ ตอบสนองความต้องการของเขมร เรียกร้องให้ไทยยอมรับและเคารพด้วย แถมกวักมือเรียกให้ผู้สังเกตการณ์รีบลงพื้นที่ ส่วนฮอ นำฮง โวเขมรได้ในสิ่งที่ต้องการสองอย่าง คือ การถอนทหารและรับผู้สังเกตการณ์ เย้ยศาลฯ ลากเส้นกินแดนไทยเยอะ ทำให้หมดหนทางหาเรื่องรุกรานเขมรอีก
ตามรายงานของสำนักข่าวซีอีเอ็นของกัมพูชา (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔) รัฐบาลกัมพูชาแถลงการณ์สนับสนุนและเคารพต่อมาตรการชั่วคราวของศาลยุติธรรม ระหว่างประเทศ กรุงเฮก ที่ได้กำหนดพื้นที่สันติภาพปลอดทหาร ให้ทั้งไทยและกัมพูชาถอนทหารออกจากพื้นที่ชายแดนปราสาทพระวิหาร เพื่อให้เกิดการหยุดยิงถาวร และให้ทั้งสองฝ่ายรับผู้สังเกตการณ์อาเซียนเข้าไปในพื้นที่
ในเอกสารแถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชา ซึ่งทำขึ้นหลังศาลโลกแถลงมาตรการชั่วคราวไม่กี่ชั่วโมง ระบุว่ารัฐบาลกัมพูชาประกาศสนับสนุนมาตรการชั่วคราวของศาลโลก ที่ได้ตอบสนองอย่างหนักแน่นต่อความต้องการของกัมพูชา ที่ต้องการให้พื้นที่ปราสาทพระวิหารมีสันติภาพ มีผู้สังเกตการณ์อาเซียนเข้ามาอยู่ในพื้นที่ปลอดทหาร และในส่วนของราษฎรมีความเป็นอยู่เป็นปกติสุข

แถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชากล่าวอีกว่า รัฐบาลกัมพูชาหวังว่ารัฐบาลไทยจะยอมรับและเคารพมาตรการชั่วคราวของศาลกรุง เฮก นอกจากนี้ รัฐบาลกัมพูชาขอเรียกร้องให้ผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้าในพื้นที่ ซึ่งเป็นไปตามมติของประเทศอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศ และเพื่อให้เป็นไปตามมาตรการชั่วคราวของศาลฯ เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในพื้นปลอดทหารตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชาสนับสนุนมาตรการชั่วคราวศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔ แถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชาสนับสนุนมาตรการชั่วคราวศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔
แถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชาสนับสนุนมาตรการชั่วคราวศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ลงวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๔
นอกจากแถลงการณ์ฉบับดังกล่าว นายฮอ นำฮง หัวหน้าคณะผู้แทนกัมพูชา ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านโทรทัศน์ซีทีเอ็นของกัมพูชา โดยระบุว่ามาตรการชั่วคราวของศาลกรุงเฮกเป็นผลดีอย่างสูงต่อกัมพูชา กัมพูชาขอแสดงความยกย่องและเคารพต่อมติของศาลฯ นายฮอ นำฮง กล่าวว่าการแถลงของศาลฯ มีเป้าหมายสำคัญสองอย่างที่กัมพูชาต้องการได้รับ คือ ๑. การถอนทหาร ซึ่งหมายความว่าทำให้มีการหยุดยิงถาวรในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร โดยให้ไทยถอนทหารออกจากชายแดนใกล้ปราสาทพระวิหาร ซึ่งศาลฯ ได้วาดแผนที่กำหนดโดยล้ำเข้าไปในดินแดนไทยเป็นส่วนใหญ่ ไปจนถึงสุดปราสาทพระวิหาร และ ๒. กัมพูชาเรียกร้องให้มีผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซีย มายังพื้นที่ชายแดนปราสาทพระวิหาร ที่ไทยขัดขวางมาตลอด แต่ตอนนี้ ศาลกรุงเฮกได้มีมติให้ผู้สังเกตการณ์เข้ามาในพื้นที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย
นายฮอ นำฮง กล่าวอีกว่า มาตรการชั่วคราวของศาลโลกที่ให้ทั้งสองฝ่ายเคารพต่อพื้นที่ปลอดทหาร ซึ่งศาลฯ ได้ลากเส้นแผนที่กำหนดพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในฝั่งไทยนั้น หมายความว่า ไทยหมดสิ้นมูลเหตุและเล่ห์กลที่จะใช้รุกรานดินแดนกัมพูชาได้อีก นอกจากนั้น ศาลโลกยังให้ส่งผู้สังเกตการณ์อาเซียนเข้ามายังพื้นที่ ซึ่งเป็นอะไรที่กัมพูชาต้องการได้ นายฮอ นำฮง กล่าวในตอนท้ายว่า ทิศทางของกัมพูชาที่ได้ขอมาตรการชั่วคราวไปยังศาลโลก ข้อที่ ๑ คือ ขอห้ามไม่ให้มีการรุกรานของไทยมายังกัมพูชา แล้วแผนที่ของศาลโลกที่กำหนดพื้นที่ปลอดทหารนั้น ทำให้มีการหยุดยิงถาวรที่ปราสาทพระวิหาร

"2 เทพ" โต้ "มาร์ค" ศาลโลกทำไทยเสียเปรียบจริง ชี้ชัด MOU 43 ตัวการแพ้ทุกเวที

ปานเทพ" โต้ "มาร์ค" เขตปลอดทหารกินพื้นที่กัมพูชาบริเวณหน้าผาสูงชัน ซึ่งไม่มีคนอยู่อาศัยถือว่ากระทบน้อยมากถ้าเทียบกับไทย ชี้ชัดศาลโลกปล่อยเขมรใช้พื้นที่ลำเลียง แสดงให้เห็นว่าเอ็มโอยู 43 ทำไทยเสียเปรียบทุกเวที เพราะแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ถูกนำมาใช้  ด้าน "เทพมนตรี" สงสัยรัฐบาลสมรู้ร่วมคิด "ฮุนเซน" ถึงไปถลำลึกสู่วังวนศาลโลกอย่างไม่ฉลาด แถมไม่นำกรณีสันปันน้ำเป็นเขตแดนไทยไปสู้ในคราวนี้ด้วย
      

       เวลา 20.30 น. วันที่ 19 ก.ค. นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ และนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมพูดคุยในรายการ "คนเคาะข่าว" ถึงกรณีการตัดสินของศาลโลกในการออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวพื้นที่รอบปราสาท พระวิหาร
      
       นายปานเทพ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์พยายามบอกว่าที่ศาลโลกขีดเส้นกินพื้นที่กัมพูชาและไทยพอๆกัน แต่อยากบอกว่าทางฝั่งของกัมพูชาสิ้นสุดที่ตีนเขาเท่านั้น หมายความว่าพื้นที่ที่กินทางฝั่งกัมพูชาเป็นหน้าผาสูงชันซึ่งไม่มีคนหรือ ทหารอาศัยอยู่อยู่แล้ว กัมพูชาไม่ได้เสียอะไรมากเลย เพราะไม่ได้กระทบต่อพื้นที่จริง ตรงกันข้ามประเทศไทยกลับเสียพื้นที่ตั้งแต่จากขอบหน้าผา เลยไปตามปราสาทพระวิหาร เลยสระตราวผ่านไปยังผามออีแดงสถูปคู่ อีกด้านสะเทือนไปยังภูมะเขือ ซึ่งเป็นของไทย 100 เปอร์เซ็นต์ เราเสียพื้นที่ที่มีทหารตั้งอยู่ในพื้นที่ราบทั้งหมด และกินพื้นที่ไทยมากกว่าแผนที่มาตรา 1 ต่อ 2 แสน อันนี้นายอภิสิทธิ์พูดความจริงไม่หมด
      
       นายเทพมนตรี กล่าวว่า ปราสาทตั้งอยู่บนหน้าผา นายกฯเคยบอกว่าพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารเป็นของเรา เส้นสันปันน้ำคือเขตแดนของไทย ถ้าดูจากผังของศาลโลกอาจมองเหมือนที่นายอภิสิทธิ์พูด คือพื้นที่ปลอดทหารของไทย-กัมพูชา จะเท่าๆกัน แต่ท่านพูดเป็นศรีธนญชัย เพราะไปเอาพื้นที่หน้าผาสูงชันมารวมด้วย และที่จริงแล้วกัมพูชาไม่ได้ต้องการพื้นที่ของฝั่งกัมพูชา 8.8 ตร.กม. แต่เขาสนใจ 8.5 ตร.กม. ของเรามากกว่า นายกฯพยายามให้คนไทยที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้ มองภาพเป็นแค่ตัวเลข แต่ไม่กล้าแสดงความจริงที่เป็นภาพกราฟฟิก
      
       นายปานเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความสูงที่เริ่มเป็นจุดตัดจากแผนที่ของศาลโลก วัดจากพื้นที่ราบที่มีคนอาศัยอยู่ อาจสูงต่างกันประมาณตึก 72 ชั้น คิดดูว่าจุดที่พูดถึงใครจะอาศัยอยู่ได้ และนายอภิสิทธิ์ไม่พูดต่อว่า ทันทีที่ปลอดทหาร พื้นที่ทั้งหมดไม่มีชุมชนไทยอาศัยอยู่เลย มีแต่ชุมชนกัมพูชา ถ้าปล่อยอย่างนี้ไปเรื่อยๆเขาก็จะขยายชุมชนต่อเนื่องไปได้อีก ขยายไปถึงผามออีแดง สถูปคู่ สระตราว กลายเป็นว่าทหารไทยเข้าไม่ได้ แต่ชุมชนกัมพูชาขยายได้
      
       นายเทพมนตรี กล่าวอีกว่า ศาลโลกตัดสินออกมาอย่างนี้ตนคิดว่าเราเสียดินแดนแล้ว แม้ใครบอกว่ายังก็ตาม ขอถามว่าเราไปที่อุทยานแห่งชาติปราสาทพระวิหารได้หรือไม่ ก่อนที่จะถอนกำลังทหาร ให้ถอนพระราชกฤษฏีกาอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารไปเลย ถอนเรื่องเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าภูมะเขือไป เพราะว่าถึงอย่างไรเขมรไม่ยอมอยู่แล้ว และดูทีท่าศาลโลกกระทำการเลยขอบเขตอำนาจศาลโลกปี 2505 คราวนี้นายกฯไม่พูดให้ชัดเจนว่าเส้นทางลำเลียงจะให้ขึ้นทางไหน เชื่อว่าที่สุดไทยต้องปล่อยให้ขึ้นจากทางบ้านโกมุย ไม่ได้ให้ขึ้นจากบันไดหัก ซึ่งที่ถูกต้องขึ้นทางบันได้หักเท่านั้น ตามคำพิพากษาศาลโลกปี 2505
      
       นายปานเทพ กล่าวว่า ศาลโลกห้ามไทยขัดขวางเส้นทางลำเลียงการส่งกำลังบำรุงสำหรับพลเรือนที่ไม่ใช่ ทหาร ปัญหาคือจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพลเรือนไม่ใช่ทหาร ในเมื่อทหารไทยถูกกันออกไปอยู่ไกลแสนไกล แล้วเขมรขึ้นมาจากทางในพื้นที่ที่ทหารไทยห้ามอยู่ การห้ามขัดขวางเส้นทางลำเลียงอย่างนี้หมายความว่า 1.ไม่ปฏิเสธการใช้ถนนที่ลุกล้ำเข้ามาในเขตของไทย 2.ศาลโลกเห็นด้วยกับการละเมิดเอ็มโอยู 2543 จนกลายเป็นทรัพย์สินคือถนนที่เข้ามาอยู่ในเขตประเทศไทย และสามารถใช้การได้เป็นปกติ เท่ากับว่าละเมิดเอ็มโอยู 43 ผ่านมาตรการคุ้มครองชั่วคราวไปโดยปริยาย
      
       นายเทพมนตรี กล่าวว่า นายกฯพยายามให้เห็นว่าศาลโลกขีดเส้นขึ้นเอง รู้ได้อย่างไรว่าศาลเป็นคนทำ แล้วใครให้ศาลทำก็ต้องเป็นผู้ฟ้องนั่นเอง ตนเชื่อว่าเขมรเป็นคนขีดเส้นนี้ ไม่อย่างนั้นศาลโลกจะรู้หรือทำไมขีดเส้นพอดีกับถนน ให้คุ้มครองถนนจากปลายตีนเขาหน้าผาตรงพนมดงรัก ขึ้นมาถึงวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ถ้าศาลโลกมาเมืองไทยเราก็ต้องรู้ แต่ปรากฎว่าไม่มี เพราะฉะนั้นปีหน้าศาลโลกก็คงตัดสินตามแผนที่มาตรา 1 ต่อ 2 แสน คือจะคืนพื้นที่ที่นายกฯบอก 8.5 ตร.กม.คืนมาให้เราหน่อยนึง แล้วให้คนไทยเห็นว่าเราได้ดินแดนกลับคืนด้วยนะ ส่วนที่นายกฯบอกว่าศาลโลกไม่ได้ออกคำสั่งคุ้มครองตามที่กัมพูชาขอ แต่นี่สั่งให้ถอนทหารทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งตรงนี้ถ้าไม่ถอนทหารก็เป็นมรดกโลกไม่ได้ ถึงอย่างไรกัมพูชาต้องการถอนอยู่แล้ว
      
       นายเทพมนตรี กล่าวต่อว่า ถึงบอกว่ากระทรวงต่างประเทศ ถลำลึกเข้าไปในวังวนของศาลโลกอีก ตอนนั้นเราก็เตือนกันแล้ว คิดอย่างอื่นไปไม่ได้เลย ถ้าฉลาดต้องไม่ทำอย่างนั้น แสดงว่าถ้าไม่ฉลาดก็อาจรู้เรื่องนี้ดีจนกระทั่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ นายฮุนเซนคงนั่งหัวเราะว่ากลุ่มภาคประชาชนทะเลาะกับรัฐบาลตัวเอง โดยหารู้ไม่ว่ารัฐบาลได้ไปตกลงกับนายฮุนเซนไว้เรียบร้อยแล้ว มันคิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ตอนปี 2505 ไทยยังเอาสันปันน้ำไปสู้ ยืนยันว่าเป็นเขตแดนไทย แต่สมัยนี้กลับบอกว่าต้องปักปันเขตแดนใหม่
      
       เห็นได้ชัดเจนว่ากัมพูชานำเอ็มโอยู 43 ไปใช้ประโยชน์ อยากจะบอกว่าการเลิกเอ็มโอยู 43 คือการเลิกข้อตกลงที่ทำให้นายฮุนเซนตายอย่างเดียว
      
       นายปานเทพ กล่าวว่า ฝ่ายไทยใช้เอ็มโอยู 43 เพื่อบอกว่าเขตแดนยังไม่ได้ข้อยุติ ไม่มีใครอ้างเขตแดนตัวเองได้ คิดว่าจะใช้มุกนี้ต่อสู้ในศาลโลก หลายๆคนก็ได้เตือนว่าอันตรายอย่างยิ่ง เพราะเอ็มโอยู 43 มีข้อ 1 ค. ระบุให้ทำหลักเขตแดนตามเอกสารดังต่อไปนี้ รวมถึงแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ระวังกัมพูชาเอาไปอ้างว่าแผนที่นี้เป็นผลลัพธ์จากสนธิสัญญาและมีผลผูกพันธ์ ทางกฎหมายระหว่างประเทศ แล้วเขาจะเอาเอ็มโอยู 43 มาผนวกกับมูลฐานที่ศาลโลกใช้ในการตัดสินพระวิหารว่าไทยโดนกฎหมายปิดปากที่ ไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ถ้าใช้หลักการนี้ข้ออ้างของเราจะฟังไม่ขึ้น เขาจะบอกว่าทำหลักเขตแดนจริง แต่ทำตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งไทยลงนามในเอ็มโอยู 2543 จึงมีสภาพบังคับให้ต้องพิจารณาแผนที่นี้อย่างไม่มีเงื่อนไข และต้องเอาศาลโลกมาพิจารณาประกอบด้วย แล้วเขาก็ใช้วิธีนี้จริงๆ แล้วก็ต้องเทียบกันระหว่างไทย - กัมพูชา ว่าใครมีน้ำหนักมากกว่า
      
       ปรากฎว่าศาลโลกเชื่อกัมพูชา แสดงว่าเอ็มโอยู 43  ข้อ 1 ค. ศาลโลกมองว่าเป็นพื้นที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน เป็นของกัมพูชา จึงให้มีการละเมิดเอ็มโอยู 43 ด้วยการยอมรับในเส้นถนนให้มีการลำเลียงต่อไป เพราะเขาเข้าใจว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา เลยจับได้ว่าเอ็มโอยู 43 ใช้ไม่ได้จริงในเวทีคณะกรรมการมรดกโลก จนนายสุวิทย์ต้องถอนตัว ศาลโลกก็เช่นกัน เอ็มโอยู 43 ทำให้กัมพูชามีข้ออ้างว่าไทยไม่เคยปฏิเสธแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน
      
       นายเทพมนตรี กล่าวว่า แล้วที่นายกฯบอกว่ายกเว้นระวางดงรัก อันนี้ก็ไม่ยกเว้นแล้ว เป็นผลให้เห็นชัดแล้วว่า ทางสากลต้องยอมรับทุกระวาง ศาลโลกคงงง ตอนไป 2505 ไม่ยอมรับ 1 ต่อ 2 แสน แต่ดันมามีเอ็มโอยู 2543 ซึ่งเป็นการยอมรับ คงตัดสินเลยตามเลย
      
      
      
      

คำสั่งศาลโลก 18 กรกฎาคม: ประเด็นที่คนไทยควรรู้

ภาพบรรยากาศขณะศาลอ่านคำสั่ง เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2554 (ภาพจากศาลโลก)

1. ศาลโลกทำอะไรเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม?
ตอบ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก มี “คำสั่งมาตรการชั่วคราว” เท่านั้น และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น (อ่านคำสั่งฉบับเต็มได้ที่ http://www3.icj-cij.org/docket/files/151/16564.pdf)
ข้อสังเกต ศาลโลกไม่ได้มี “คำพิพากษา” และศาลโลกยังไม่ได้ “พิพากษา” หรือ “วินิจฉัย” คดีหรือข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาแต่อย่างใด ทั้งนี้ “คำสั่งมาตรการชั่วคราว” (provisional measures order) เป็นเรื่องความจำเป็นเร่งด่วนเฉพาะหน้าและมีผลในเวลาจำกัด ศาลมีอำนาจยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้ตลอดเวลา ต่างกับ “คำพิพากษา” (judgment) ซึ่งมีผลผูกพันและสิ้นสุดในการวินิจฉัยข้อกฎหมาย (adjudge) ซึ่งศาลไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ยกเว้นภายใต้เงื่อนไขที่จำกัดเท่านั้น

2. ศาลโลกจะมีคำพิพากษาหรือไม่ และเรื่องอะไร?
ตอบ คำสั่งวันที่ 18 กรกฎาคมนี้เป็นเพียงกระบวนพิจารณาส่วนหนึ่ง (incidental proceedings) ของ คดีหลักซึ่งกัมพูชาขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 ซึ่งยังต้องรอศาลพิจารณาต่อไปและอาจใช้เวลาถึงปีหน้า ทั้งนี้ คำขอตีความของกัมพูชามีนัยทางเขตแดน เช่น ประเด็นบริเวณปราสาทพระวิหารที่เป็นของกัมพูชากว้างขวางเพียงใด เป็นต้น
ข้อสังเกต การที่ศาลมีคำสั่งชั่วคราวเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา ไม่ได้หมายความว่าปีหน้าศาลจะต้องรับตีความคำพิพากษา กล่าวคือ ศาลยังคงมีอำนาจปฏิเสธคำขอของกัมพูชาในคดีหลัก (คือไม่รับตี ความคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505) นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างคดีศาลโลกในอดีตที่แม้ในตอนแรกศาลมีคำสั่งมาตรการ ชั่วคราว แต่ในท้ายที่สุดศาลก็ปฏิเสธไม่รับตีความในคดีหลัก
ดังนั้น ศาลโลกจะรับตีความคำพิพากษาหรือไม่ และจะกระทบเขตแดนอย่างไร ต้องรอดูไปถึงช่วงปีหน้า

3. ศาลโลกมีคำสั่งเรื่องใดบ้าง?
ตอบ ศาลระบุคำสั่งในบทปฏิบัติการมีทั้งสิ้น 7 ข้อ โดยเป็นคำสั่งมาตรการชั่วคราว 4 ข้อ และคำสั่งทั่วไป 3 ข้อ
ข้อสังเกต สื่อมวลชนไทยหลายแขนงรายงานว่าศาลมีคำสั่งมาตรการชั่วคราว 3 หรือ 4 ข้อ ซึ่งเป็นรายงานที่ไม่ครบถ้วน
4. คำสั่งมาตรการชั่วคราว 4 ข้อ มีอะไรบ้าง?
คำสั่งมาตรการชั่วคราวข้อ (1) สั่งให้ไทยและกัมพูชา ถอนกำลังทหารออกจาก “เขตปลอดทหารชั่วคราว” ทันที ตามขอบเขตของพื้นที่ที่ศาลโลกได้กำหนด รวมทั้งห้ามวางกำลังทหารในเขตหรือดำเนินกิจกรรมทางอาวุธใดๆที่มุ่งไปยังเขตดังกล่าว
ข้อสังเกต
- ศาลได้ระบุพิกัดเส้นรุ้งเส้นแวงเพื่อให้ “เขตปลอดทหารชั่วคราว” มีขอบเขตชัดเจน และศาลได้วาด “ร่างแผนที่” (sketch-map) ดังนี้
(ภาพจากศาลโลก http://www3.icj-cij.org/docket/files/151/16564.pdf)
รูปเปรียบเทียบจากกรุงเทพธุรกิจ:
*** ขอย้ำว่าศาลวาด “ร่างแผนที่” (sketch-map) ดังกล่าวเพื่อให้ไทยและกัมพูชาพอเห็นเป็นตัวอย่างเท่านั้น (ดังที่ศาลระบุไว้ชัดเจนในคำสั่งหน้า 17 ว่า “this sketch map has been prepared for illustrative purposes only”) ดังนั้นไทยและกัมพูชาจึงมีหน้าที่ต้องนำพิกัดเส้นรุ้งเส้นแวง ซึ่งศาลระบุไว้ในคำสั่งไปร่วมหารือเพื่อทำแผนที่หรือเส้นปฏิบัติการตามคำ สั่งของศาลต่อไป ศาลมิได้สั่งให้นำ “ร่างแผนที่” ของศาลไปใช้เสมือนแผนที่สำเร็จรูปแต่อย่างใด และดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ไทยและกัมพูชายังไม่อาจถอนกำลังทหารได้ทันที แต่ต้องหารือกันก่อนว่าจะนำพิกัดที่ศาลกำหนดไปปฏิบัติอย่างไร ***
- “เขตปลอดทหารชั่วคราว” (provisional demilitarized zone) ย่อม ไม่ได้ห้ามประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ทั่วไปจากเขต ทั้งนี้ศาลอธิบายในคำสั่งย่อหน้าที่ 61 ว่าเขตดังกล่าวย่อมไม่กระทบต่อการดำเนินการทางปกครองตามปกติ เช่น การส่งเจ้าหน้าที่ที่มิใช่ทหารเข้าไปประจำในพื้นที่เพื่อรักษาความสงบเรียบ ร้อยของประชาชนและทรัพย์สิน ย่อมทำได้
- อย่างไรก็ดี มองได้ว่าศาลใช้อำนาจกำหนด “เขตปลอดทหารชั่วคราว” ในลักษณะค่อนข้างกว้าง และมีผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยในศาลไม่เห็นด้วยถึง 5 ท่าน ซึ่งผู้พิพากษาเสียงข้างน้อยเหล่านี้แสดงความกังวลว่าศาลได้ก้าวล่วงเข้าไป กำหนดคำสั่งที่ครอบคลุมเขตที่มิได้เป็นพื้นที่พิพาท จึงเป็นการใช้อำนาจศาลที่เกินความจำเป็น

คำสั่งมาตรการชั่วคราวข้อ (2) สั่งให้ไทยไม่ขัดขวางกัมพูชาในการเข้าถึงปราสาทพระวิหารอย่างอิสระ (free access) รวมทั้งการส่ง “เสบียง” (fresh supplies) ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่ทหารของฝ่ายกัมพูชาในปราสาทพระวิหาร
ข้อสังเกต
- ศาลใช้คำว่า fresh supplies (ต้องแปลตามคำฝรั่งเศสที่ศาลใช้ว่า ravitailler) ซึ่งกินความถึงเสบียง ทั่วไปที่ต้องเปลี่ยนเป็นระยะ เช่น อาหาร เชื้อเพลิง หรือวัสดุสิ้นเปลืองในการก่อสร้างหรือซ่อมแซมปราสาท และไม่ได้จำกัดแต่เพียงอาหารดังที่สื่อมวลชนหรือหน่วยงานได้รายงานไปเท่า นั้น แต่ทั้งนี้ย่อมต้องตีความไปตามคำสั่งเรื่อง “เขตปลอดทหารชั่วคราว” หมายความว่า หากกัมพูชานำเสบียงดังกล่าวเข้าไปในบริเวณเพื่อดำเนินกิจกรรมทางทหาร ไทยย่อมขัดขวางได้
- ที่ศาลสั่งว่าไทยต้อง “ไม่ขัดขวางกัมพูชาในการเข้าถึงปราสาทพระวิหารอย่างอิสระ” (free access) มิได้หมายความว่า กัมพูชาสามารถล่วงเข้ามาใช้ดินแดนของไทยโดยอิสระเพื่อผ่านเข้าไปยังปราสาท แต่หมายความว่า หากกัมพูชามีความจำเป็นต้องขอผ่านดินแดนของไทยเพื่อเข้าไปยังปราสาทตามความ มุ่งหมายของคำสั่งศาล ไทยย่อมไม่สามารถปฏิเสธหรือขัดขวางอย่างไร้เหตุผล แต่ไทยย่อมมีดุลพินิจที่จะสอบถามหรือตรวจสอบให้ชัดก่อนการอนุญาต (เช่น เป็นไปตามพื้นฐานของความจำเป็นเร่งด่วนในการรักษาสิทธิของกัมพูชาตามคำสั่ง ศาล อาทิ การซ่อมแซมรักษาตัวปราสาท มิใช่เข้าไปเพื่อการทหาร) ส่วนที่ว่าอย่างอิสระ (free access) หมายความเพียงว่าไทยไม่สามารถตั้งเงื่อนไขการเดินทางเข้าไปที่ตัวปราสาท เช่น จะบังคับให้ต้องมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยตามเข้าไปที่ปราสาทด้วยไม่ได้

คำสั่งมาตรการชั่วคราวข้อ (3) สั่งให้ไทยและกัมพูชาร่วมมือกันตามกรอบของอาเซียน และต้องอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียนสามารถเข้าไปยังเขตปลอดทหาร ชั่วคราวดังกล่าวได้
ข้อสังเกต ศาลไม่ได้สั่งว่าคณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียนต้องเข้า ไปได้อย่างอิสระ (free access) ดังนั้นไทยและกัมพูชาย่อมสามารถประกบติดตามหรือดูแลการดำเนินการโดยคณะผู้ สังเกตการณ์จากอาเซียนได้

คำสั่งมาตรการชั่วคราวข้อ (4) สั่งให้ไทยและกัมพูชาละเว้นจากกิจกรรมใด ๆ ที่จะทำให้สถานการณ์ข้อพิพาทเลวร้ายหรือรุนแรงมากขึ้น หรือทำให้ปัญหาข้อพิพาทมีความยากลำบากยิ่งขึ้นที่จะแก้ไข
ข้อสังเกต ศาลไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนว่ากิจกรรมต้องห้ามดังกล่าว ได้แก่สิ่งใด ซึ่งหากไทยและกัมพูชามีปัญหาในประเด็นดังกล่าว ศาลย่อมมีคำสั่งเพิ่มเติมได้

5. นอกจากคำสั่งมาตรการชั่วคราว4 ข้อข้างต้นแล้ว คำสั่งทั่วไปอีก 3 ข้อมีอะไรบ้าง?
คำสั่งทั่วไป ข้อ (1) สั่งไม่จำหน่ายคดี คือ ไม่ถอนคดีออกจากศาล
ข้อสังเกต ศาลหมายความว่า คดีหลักซึ่งกัมพูชาขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 ยังต้องรอศาลพิจารณาต่อไปถึงปีหน้า ซึ่งสุดท้ายศาลอาจไม่รับตีความก็เป็นได้

คำสั่งทั่วไป ข้อ (2) สั่งให้ไทยและกัมพูชาต้องรายงานให้ศาลทราบถึงการปฏิบัติตามมาตรการชั่วคราวที่ศาลสั่งทั้ง 4 ข้อ
ข้อสังเกต ในทางปฏิบัติ ผู้ที่จะมีบทบาทสำคัญในการให้ข้อมูลต่อศาลก็คือคณะผู้สังเกตการณ์จากอาเซียน แม้ผู้ที่มีหน้าที่รายงานคือไทยและกัมพูชา แต่ข้อมูลที่หน้าเชื่อถือย่อมต้องอาศัยข้อมูลจากคณะผู้สังเกตการณ์จากอา เซียนประกอบด้วย

คำสั่งทั่วไป ข้อ (3) สั่งว่าศาลยังคงสามารถพิจารณาประเด็นใดๆที่มีสาระเกี่ยวข้องกับมาตรการชั่วคราวต่อไปได้ (remain seised of the matters) จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษากรณีที่กัมพูชาขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505
ข้อสังเกต หลังศาลมีคำสั่งวันที่ 18 กรกฎาคม หากมีเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงใหม่ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นมาตรการชั่วคราว ที่ศาลสั่งไว้ ไทยหรือกัมพูชาย่อมสามารถนำเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงใหม่เหล่านั้นมาขอให้ ศาลพิจารณา และศาลย่อมอาจเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขคำสั่งได้ (Rules of Court Article 76) เช่น หากไทยเห็นว่ามีความจำเป็นต้องขัดขวางกัมพูชาในการเข้าถึงปราสาทพระวิหารอย่างอิสระ ไทยย่อมสามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาเปลี่ยนแปลงคำสั่งเรื่องดังกล่าวได้

6. ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้าง เช่น วัด ตลาด หรือชุมชน ที่ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่พิพาท (ที่มีผู้เรียกว่า 4.6 ตารางกิโลมตร) หรือไม่?
ตอบ ศาลมิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้าง เช่น วัด ตลาด หรือชุมชน โดยเจาะจง อีกทั้ง “เขตปลอดทหารชั่วคราว” นั้นศาลก็อธิบายว่าสามารถมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่ไม่ใช่ทหาร รวมถึงผู้คนหรือทรัพย์สินอยู่ในบริเวณดังกล่าวได้ (คำสั่งย่อหน้าที่ 61)
ข้อสังเกต อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่าคำสั่งอีกข้อหนึ่งที่ศาลสั่งก็คือ สั่งให้ไทยและกัมพูชาร่วมมือกันตามกรอบของอาเซียน ไทยจึงย่อมสามารถเรียกร้องว่ากัมพูชาไม่ควรดื้อดึงเดินหน้าดำเนินกิจกรรมที่ สร้างปัญหาต่อกระบวนการเจรจาดังกล่าว ยิ่งไปกว่านั้น ศาลสั่งว่าศาลยังคงสามารถพิจารณาประเด็นใดๆที่มีสาระเกี่ยวข้องกับมาตรการ ชั่วคราวต่อไปได้ (remain seised of the matters) ดังนั้นหากไทยเห็นว่ามีเหตุสมควรให้ศาลสั่งให้กัมพูชาหยุดการก่อสร้างชุมชน หรือสิ่งปลูกสร้าง ไทยย่อมสามารถยื่นคำร้องขอให้ศาลพิจารณาเปลี่ยนแปลงคำสั่งเรื่องดังกล่าวได้ เช่นกัน (Rules of Court Article 76)

7. ศาลโลกนำอำนาจมาจากไหนและไทยต้องปฏิบัติตามคำสั่งหรือไม่?
ตอบ ทุกประเทศในโลกนี้อยู่ร่วมกันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศไทย จึงย่อมมีทั้งสิทธิและหน้าที่ตามสนธิสัญญาที่ไทยเคยตกลงผูกพันไว้ ซึ่งกรณีนี้ได้แก่สนธิสัญญาที่เรียกว่า “กฎบัตรสหประชาชาติ” และ “ธรรมนูญศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ” ซึ่งกำหนดให้ไทยมีสิทธิต่างๆ เช่น สิทธิที่จะเรียกร้องให้ประเทศอื่นเคารพอธิปไตยและไม่แทรกแซงกิจการภายในของ ไทย แต่ในขณะเดียวกันสนธิสัญญาก็กำหนดให้ไทยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล โลกเช่นกัน นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของไทย ก็ได้กำหนดเจตจำนงให้ไทยต้องปฏิบัติตามพันธกรณีที่ได้ทำไว้กับนานาประเทศและ องค์การระหว่างประเทศ (รัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ประกอบกับจารีตประเพณีการปกครองที่ไทยปฏิบัติมายาวนาน) ดังนั้น ไทยจึงย่อมมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลก
ข้อสังเกต หากผู้ใดยังคิดว่าไทยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติ ไม่ต้องฟังคำสั่งศาลโลก ขอให้ลองถามตัวเองว่า หากวันหนึ่งประเทศอื่นใดละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติและละเมิดสิทธิหรือรุกราน ไทย และศาลโลกสั่งมาตรการชั่วคราวให้ประเทศที่กระทำต่อไทยต้องหยุดการกระทำดัง กล่าว (แม้ประเทศนั้นจะยืนยันความบริสุทธิของตนก็ตาม) เราจะบอกว่าประเทศที่กระทำต่อไทยนั้นไม่ต้องทำตามกฎบัตรสหประชาชาติ ไม่ต้องฟังคำสั่งศาลกระนั้นหรือ?

8. ศาลขีดเส้นล้ำเข้าในดินแดนไทยหรือไม่ และศาลพูดถึงเรื่อง เขตแดน” ที่แฝงมาในคำขอของกัมพูชาอย่างไร?
ตอบ หากพิจารณา “ร่างแผนที่” เขตปลอดทหารชั่วคราวที่ศาลสั่งด้วยสายตา มองได้ว่าเขตดังกล่าวครอบคลุมบริเวณดินแดนของไทยและกัมพูชามากยิ่งไปกว่า บริเวณพื้นที่พิพาท (ที่มีผู้เรียกว่า 4.6 ตารางกิโลมตร) ดังตัวอย่างที่เทียบเคียงอย่างไม่เป็นทางการดังนี้
ภาพจาก facebook ของ Noppanan Arunvongse Na Ayudhaya
ข้อสังเกต อย่างไรก็ดี เขตปลอดทหารชั่วคราวดังกล่าว เป็นเพียงเรื่องมาตรการชั่วคราวที่มุ่งป้องกันการปะทะกันด้วยอาวุธ แต่ไทยและกัมพูชามีสิทธิขอให้ศาลแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้หากมีเหตุผลจำเป็น ที่สำคัญ พิกัดและ “ร่างแผนที่” มิได้มีผลทางกฎหมายต่อเขตแดนแต่อย่างใด ดังที่ศาลได้ย้ำอย่างชัดเจนในคำสั่งหลายครั้ง (เช่น ย่อหน้าที่ 21, 38 และ 61) ว่าการพิจารณาออกคำสั่งครั้งนี้ ศาลย่อมไม่ก้าวเข้าไปวินิจฉัยประเด็นที่กัมพูชาอ้างว่าดินแดนส่วนใดเป็นของ ใครหรือเขตแดนจะต้องเป็นไปตามเส้นหรือแผนที่ใด (ซึ่งอาจต้องรอการพิจารณาของศาลในปีหน้า)
ดังนั้น คำสั่งของศาลโลกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2554 จึงมิได้เปลี่ยนแปลงเขตแดนไทย-กัมพูชาแต่อย่างใด

9. กัมพูชาถอนฟ้องได้หรือไม่?
ตอบ กฎหมายเปิดช่องให้ไทยและกัมพูชาสามารถตกลงถอนคดีออกจากศาลได้ (Rules of Court Article 88)
ข้อสังเกต ที่ผ่านมาก็มีหลายคดีที่รัฐคู่พิพาทได้ดำเนินการเจรจาระหว่างคดีกำลังอยู่ใน ระหว่างการพิจารณา และเมื่อแต่ละฝ่ายถอยไปคนละก้าวจนการเจรจามีความคืบหน้า ก็ถอนคดีออกจากศาล และเป็นโอกาสอันดีให้ผู้นำทั้งสองประเทศได้แถลงข่าวเพื่อประกาศชัยชนะร่วม กัน
---
บทวิเคราะห์เพิ่มเติมเกี่ยวกับความคืบหน้าคดีปราสาทพระวิหาร ติดตามได้ที่
http://www.facebook.com/verapat.pariyawong

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง