ขณะที่กำลังปวดหัวอยู่กับเรื่องหญ้าแพรก เรือดันน้ำ เรื่องนิติเรด ไปจนถึงเรื่องทหารไทยแห่งกองทัพไทยแท้ๆ แต่กลับคิดจะหาทางแก้ไขกฎหมายสภากลาโหม ที่ช่วยปกป้องไม่ให้เกิดการแทรกแซงกองทัพ ฯลฯ จนแทบไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรต่อมิอะไรต่อไปดี เผอิญมีโอกาสไปเปิดดูเว็บไซต์ของพรรคพวก ชื่อว่า Muslim Today เห็นข่าวเล็กๆ อยู่ชิ้นหนึ่ง ที่ดูจะแปลกออกไป จากข่าวซึ่งปรากฏอยู่ในสื่อทั่วๆ ไป เลยต้องขออนุญาตนำมาขยายผลเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้…
——————————————-
ข่าวดังกล่าวพาดหัวเอาไว้ว่า ยุคแรงงานเขมรเป็นใหญ่ ล้อมกรอบทุบรถพังยับ ทำร้ายตำรวจไม่ถูกจับ โดยแจกแจงรายละเอียดไว้ว่า…วันที่ 2 ต.ค.54 บริเวณสนามฟุตบอลข้างบ้านพักพนักงานของโรงเชือดไก่ บจก.พนัส อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี เกิดเหตุแรงงานจากกัมพูชาเกือบ 2,000 คน ก่อการจลาจล ทุบตีรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหตุเกิดในช่วงเย็น ขณะที่มีการแข่งขันฟุตบอลเชื่อมสัมพันธ์แรงงานไทยกับแรงงานเขมร ของโรงเชือดไก่ โดยแรงงานไทยมีประมาณ 100 คน ขณะที่แรงงานเขมรและกองเชียร์ของโรงเชือดไก่ที่เดียวมีประมาณ 2,000 คน ซึ่งมีการดื่มสุราจนเมากันเป็นจำนวนมาก และระหว่างแข่งขัน นักเตะแรงงานเขมรเล่นแรงและเตะแรงงานไทย ทำให้เกิดชุลมุนต่างตะลุมบอนกันวุ่นวาย
เจ้าของโรงงานแจ้ง พ.ต.ท.ณัฐจักร นำตำรวจและหน่วยกู้ภัยมากว่า 100 คน มาถึงก็ให้แรงงานไทยกว่า 100 คน ออกจากที่เกิดเหตุไปก่อน เพราะกลัวจะทะเลาะบานปลายไปอีก สร้างความไม่เข้าใจต่อแรงงานเขมร เพราะเข้าใจว่า เข้าข้างแรงงานไทย จึงปิดล้อมตำรวจและรถยนต์สายตรวจ เอาไม้ก้อนอิฐ ก้อนหินขว้างปา และไล่ทำร้ายตำรวจ ทำลายรถยนต์สายตรวจและทรัพย์สินตำรวจเสียหาย และใช้ไม้ อิฐ ก้อนหิน ทำร้ายพันตำรวจโท ณัฐจักร เอี่ยมสุวรรณ รอง ผกก.สถานีตำรวจภูธรพนัสนิคม และปิดล้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยกู้ภัย ต่อมา พ.ต.อ.พิสิฐ โปรยรุ่งโรจน์ รอง ผกก.ตำรวจภูธร จังหวัดชลบุรี นำกำลังตำรวจ และกองร้อยควบคุมฝูงชนกว่า 500 นาย พร้อมอาวุธกระบองและโล่เข้าไปกดดัน….
จนกระทั่งเวลา 21.30 น. ทางแกนนำแรงงานเขมรยอมสลายตัว และเลิกปิดล้อมตำรวจภูธรพนัสนิคม และคืนรถยนต์สายตรวจ โดยตำรวจรับปากจะหาแรงงานไทยที่เป็นคนก่อเหตุชกต่อยแรงงานเขมรมาดำเนินคดี ส่วนเจ้าของโรงงานก็รับปากจะยอมชดใช้ค่าเสียหาย ซ่อมรถยนต์สายตรวจและทรัพย์สินของตำรวจที่เสียหาย จำนวน 100,000 บาท
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 ก.ค.54 ที่โรงงานจีเอฟพีที (ไทย) อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี เกิดปัญหาพิพาททะเลาะชกต่อย ระหว่างแรงงานกัมพูชากับแรงงานไทย รปภ.ของโรงงานควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองใหญ่ มาระงับเหตุ คนงานเขมรรวมตัวกันกว่า 200 คน เพราะไม่พอใจคนงานไทย 2 คน ขณะที่กำลังนำตัวคนงานไทย 2 คนขึ้นรถและกำลังขับออกจากโรงงาน กลุ่มคนงานเขมรยังไม่พอใจ รวมตัวกันมากขึ้นถึง 700 คน ตำรวจพยายามเจรจากับแกนนำคนงานเขมร แต่ก็ไม่เป็นผล คนงานเขมรต่างก็หยิบไม้และก้อนหินขว้างปาใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจและรถยนต์ของตำรวจที่จอดอยู่จนเสียหาย โดยไม่มีการดำเนินคดีกับกลุ่มแรงงานเขมร…
——————————————————
อันที่จริงข่าวที่ว่านี้ก็คงเป็นแค่ข่าวการทะเลาะเบาะแว้งธรรมดาๆ จะเป็นด้วยความเข้าใจผิด หรือไม่เข้าใจก็แล้วแต่ ซึ่งย่อมสามารถเกิดขึ้นได้เสมอๆสำหรับผู้คนทุกชาติ ทุกภาษา แต่จะเป็นเพราะเหตุที่บรรดานักการเมืองไทยระดับรัฐมนตรี ระดับประธานรัฐสภา เพิ่งยกขบวนไปแสดงมิตรไมตรี เตะฟุตบอลเชื่อมความสัมพันธ์กับรัฐบาลเขมร อย่างชนิดเป็นที่ชื่นมื่น ระดับบางรายที่เคยมีอุปนิสัยหยาบกร้าน ก้าวร้าว ต่อใครก็ตามที่มีฐานะเป็นฝ่ายตรงกันข้าม แม้ว่าจะเป็นคนไทยด้วยกันก็แล้วแต่ ถึงขั้นผวาเข้ากราบไข่ผู้นำกัมพูชา อย่างแทบไม่น่าเชื่อสายตา มันเลยทำให้อดไม่ได้ที่จะนำเอาข่าวคราวเหล่านี้มาขบคิด พิจารณา ภายใต้ภาวะที่ความเป็นชาติ ความเป็นประเทศในหมู่ชนชาวไทย มันชักจะเป็นอะไรที่ดูจะตกต่ำ เสื่อมโทรม ลงไปเรื่อยๆ…
——————————————————–
เพราะแม้ว่าสัมพันธภาพระหว่างไทยกับกัมพูชาภายใต้รัฐบาลชุดนี้…จะดูดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ยินดี อย่างไม่พึงต้องสงสัย แต่ภายใต้สัมพันธภาพที่ดีขึ้นนั้น ถ้าหากมันเกิดขึ้นภายใต้ความตกต่ำของความเป็นชาติในหมู่คนไทยด้วยกันเอง มันก็ออกจะเป็นอะไรที่น่าหนักใจ น่าวิตก ห่วงใย เป็นอย่างยิ่ง เพราะมันอาจไม่ใช่สัมพันธภาพที่ตั้งอยู่บนความรัก ความปรารถนาดี ระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกันตามปกติ แต่มันอาจกลายเป็นสัมพันธภาพ ที่ตั้งอยู่บนการรับใช้ การเป็นทาส อันมีที่มาจากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มคนที่ไม่ได้สนใจความเป็นชาติ นอกเสียจากผลประโยชน์ของตัวกู-พวกกูล้วนๆ…
————————————————————
ยิ่งถ้าใครได้รับทราบคำพูด คำจา ของคนไทยบางกลุ่ม บางราย ในงานเลี้ยงรื่นเริง แสดงความยินดีของกลุ่มคนไทยในแผ่นดินเขมรนั้น ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องหนักใจเข้าไปใหญ่ ไม่เพียงแต่คำพูดอันเป็นที่เสียดแทงความรู้สึกของผู้คนในชาติเดียวกันกับตัวเองเท่านั้น ความไม่สนใจในความเป็นชาติ ไร้เสียซึ่งความรู้สึกผูกพันกับผู้คนในแผ่นดินเดียวกันกับตัวเอง ชนิดแทนที่จะคิดยกพวกไปตีกับใครต่อใคร ที่ไม่ใช่ชาติเดียวกัน ดันคิดจะอาศัยแผ่นดินเขมรยกพวกไปตีกับคนชาติเดียวกันไปซะนี่…ทำให้คนเหล่านี้ดูจะเป็นอะไรที่ตกต่ำซะยิ่งกว่าแรงงานเขมร ซึ่งเข้ามาหากินในเมืองไทย ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า…
————————————————————–
ว่าไปแล้ว…การนำเอาความเป็นชาติมาใช้เป็นตัวแบ่งแยก กีดกัน มุ่งร้ายทำลายซึ่งกันและกัน มันย่อมเป็นสิ่งที่ควรปฏิเสธอยู่แล้วแน่ๆ แต่การไร้เสียซึ่งความเป็นชาติ ไร้เสียซึ่งความผูกพันต่อผู้คนในแผ่นดินเดียวกัน เหลือแต่เพียงผลประโยชน์ของ ตัวกู-พวกกู เป็นสรณะ แต่เพียงเท่านั้น อันนี้…ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน แบบไหน ฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ อันตราย ไปด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งประเภทที่มุ่งแต่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์ของ ตัวกู-พวกกู โดยไม่สนใจแม้กระทั่งปราการด่านสุดท้าย ในการปกป้องความเป็นชาติอย่าง กองทัพ ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นอะไรที่ฉิบหายหนักขึ้นไปใหญ่ ไม่ต้องรอให้กองทัพไทยเผชิญหน้ากับกองทัพเขมรหรอก แค่เจอเข้ากับแรงงานเขมรไล่ตีแรงงานไทยในแผ่นดินไทยแท้ๆ ก็เรียกว่า สิ้นชาติ กันเห็นๆ…
—————————————————————
ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก วิลเลียมที่ 3 กษัตริย์อังกฤษ…มีอยู่วิธีหนึ่งที่แน่นอน ในอันที่จะทำให้ข้าพเจ้าไม่ต้องได้เห็นความย่อยยับของประเทศตัวเอง นั่นคือ…ข้าพเจ้าจะขอตายในคูรบแห่งสุดท้าย…
ท่านขุนน้อย
วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554
บทบาทของเขมรกับการเมืองไทย
การ
ดำเนินนโยบายของประเทศต่างๆ ในโลกนี้ ล้วนมีจุดประสงค์เหมือนๆ กัน คือ
การรักษาผลประโยชน์ของชาติของตน เมื่อพูดถึงผลประโยชน์ของชาติ
ย่อมมีรายละเอียดมากมายเกี่ยวข้องกันหลายเรื่องราว
ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
ผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ก็มองเห็นกันง่ายๆ เช่น ป่าไม้
เหมืองแร่ น้ำมันใต้ทะเลและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ
ส่วนผลประโยชน์ที่เป็นนามธรรมเช่น ความสงบร่มเย็นของประเทศหรือของสังคม
ก็เป็นผลประโยชน์ที่มีความสำคัญมากทีเดียว เพราะหากบ้านเมืองสงบ
ผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ และสังคม การทำมาค้าขาย ย่อมดำเนินไปได้ด้วยดี
เมื่อเราเข้าใจเกี่ยวกับผลประโยชน์
แล้ว จะต้องเข้าใจต่อไปอีกว่า
ผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างตนและผลประโยชน์ของชาติ
ก็อีกประเด็นหนึ่งที่ควรจะทำความเข้าใจเสียก่อนแล้วค่อยมา “ถกเขมร” กัน
ผลประโยชน์ทับซ้อนก็คือ
การที่รัฐบาล
ซึ่งส่วนมากล้วนเป็นนายทุนระดับชาติที่พยายามเข้าถึงทรัพยากรและงบประมาณของ
ชาติให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
นักการเมืองที่ร่ำรวยจึงพยายามรวมตัวกันให้เป็นปึกแผ่น
เพื่อจะได้เข้าไปบริหารประเทศและบริหารงบประมาณด้วยการวางแผนใช้งบประมาณ
อย่างแนบเนียนผ่านนโยบายรัฐบาล ซึ่งดูเหมือนว่าจะดีหากมองอย่างผิวเผิน
แต่ถ้ามองอย่างลึกซึ้งแล้ว
นายทุนที่แอบแฝงมาในคราบของรัฐบาลนี่เองที่ส่วนใหญ่ก็คือ
เสือที่ห่อหุ้มตนเองด้วยหนังวัว แล้วแอบเข้าไปอยู่ในท่ามกลางฝูงวัว
เผลอเมื่อไรก็จับกินได้ง่ายๆ อย่างละม่อม จนวัวหมดคอก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในวันนี้
รัฐบาลเริ่มมีนโยบายแบบผลประโยชน์ทับซ้อนเต็มไปหมด
นโยบายแต่ละนโยบายล้วนสนับสนุนให้พรรคพวกเพื่อนฝูงพี่น้องและญาติได้รับ
ประโยชน์อย่างมหาศาล
แล้วพรางตาด้วยผักชีโรยหน้าแบบหลอกชาวบ้านให้ตายใจด้วยเศษเงินเล็กน้อยแล้ว
ไปกินของใหญ่ที่ชาวบ้านไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เช่น เรื่องรถยนต์คันแรก
และบ้านหลังแรก
เป็นเรื่องที่รัฐบาลสร้างนโยบายขึ้นมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องอย่าง
แนบเนียน ดูง่ายๆ เช่นการลดภาษีให้ผู้ประกอบการ 23 เปอร์เซ็นต์
งานนี้คนที่ได้รับผลประโยชน์ ดูเหมือนว่าจะเป็นประชาชนผู้ซื้อบ้านซื้อรถ
แต่เนื้อหาที่แท้จริงได้แก่นักธุรกิจที่จะขายบ้านและรถด้วยนโยบายแรงจูงใจ
ของรัฐบาลที่จะคืนภาษีให้หนึ่งแสนบาท
จับตามองให้ดี
ภาษีที่จะคืนให้คือ เงินของประเทศ
แต่เมื่อกระตุ้นตัณหาของผู้ซื้อสำเร็จแล้ว
บรรดานายทุนและผู้ประกอบการจะได้รับผลประโยชน์แบบเนื้อๆ สองเด้งรวด
นี่คือตัวอย่างของผลประโยชน์ทับซ้อน
ไม่ต้องกล่าวถึงบรรดาญาติมิตรผู้ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีที่มีธุรกิจเกี่ยวกับ
บ้านที่ดินและรถยนต์กันทั่วหน้าจะได้อานิสงส์สักปานใด
นี่คือ ต้นแบบโคลนนิ่ง ทักษิณละ
เขาจะไม่กินแบบตะกละตะกลามในที่แจ้งๆ
แต่เขาจะกินจากเรื่องที่สลับซับซ้อนที่ใครตามไม่ทัน เช่น เขาเคยออกนโยบาย
หมู่บ้านละล้าน ทั้งหมดแปดหมื่นหมู่บ้าน รัฐต้องจ่ายเงินแปดหมื่นล้าน
แต่คิดคร่าวๆ เงินเหล่านี้ หากประชาชนนำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ
ที่ขณะนั้นเขาผูกขาดอยู่เพียงคนเดียว
เพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์เขาจะโกยเงินเข้ากระเป๋าไปเท่าไร
นี่ไม่นับการขายอุปกรณ์โทรคมนาคมให้พม่าโดยบริษัทของเขาเป็นผู้รับเงินที่
กู้ไปจากรัฐแต่มาซื้อของในตระกูลของเขา หากถามว่า ทักษิณโกงไหม
ก็ตอบว่าไม่โกง เพราะเขาไม่ได้ขายอุปกรณ์เหล่านี้ แต่ญาติๆ
ของเขาเป็นผู้ขาย ฟังดูดีแต่ทับซ้อนไว้ทั้งพวง
ทีนี้เรามาดูผลประโยชน์ทับซ้อน
ที่ทักษิณ กำลังรวมหัวกับฮุนเซ็นเล่นการเมืองข้ามชาติ นั้นคือ
ฮุนเซ็นจะพยายามสร้างสถานการณ์ทุกอย่างที่พยายามทำลายความน่าเชื่อถือของ
รัฐบาลที่แล้ว เช่น
การส่งทหารเข้ามายิงตามแนวชายแดนจนมีคนบาดเจ็บล้มตายเพื่อแสดงให้เห็นว่า
ตราบใดนายกรัฐมนตรีเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตระกูลชินวัตร
ตราบนั้นประเทศไทยไม่ต้องสงบ
แต่พอรัฐบาลตระกูลชินวัตรเข้ามาพี่ชายมาบัญชาการอยู่กับฮุนเซ็น
ปัญหาข้อพิพาทที่ชักจะบานปลายสงบเงียบ ประชาชนตามแนวชายแดนอยู่เย็นเป็นสุข
พรรคเพื่อไทยก็จะบอกว่า
เห็นไหมพอพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแม้แต่ชายแดนยังสงบเลย นี่คือ
ตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าตระกูลชินวัตร ทำได้ทุกอย่าง
แม้แต่คิดกับต่างชาติมาเข่นฆ่าคนไทยเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ทางการเมือง
และนายฮุนเซ็น
คือเพื่อนบ้านที่ไร้มารยาทที่สุด ยุแหย่
ให้คนไทยที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมารบกันเอง
การปล่อยให้พวกเสื้อแดงและพลพรรคเพื่อไทยเข้าไปจัดกิจกรรมทางการเมือง
เป็นการตอกย้ำว่า ฮุนเซ็นก็คือ ประธานสาขาพรรคเพื่อไทยประจำเขมร
นักการเมืองคนไหนทำผิดกฎหมาย ก็หนีไปอยู่เขมรก็จะปลอดภัย
ไม่ว่าตัวน้อยตัวใหญ่ นับว่าเป็นประเทศฝนตกขี้หมูไหลจริงๆ
พอฮุนเซ็นยุแหย่
สร้างเงื่อนไขให้คนไทยรบกันเองได้สำเร็จแล้ว
นักท่องเที่ยวก็ไม่กล้ามาไทยเพราะเขารบกันอยู่เรื่อย ก็มุ่งตรงเข้าเวียดนาม
เขมร โดยตรง
นี่คือ ผลประโยชน์ที่ไทยต้องเสียไปจากการยุแหย่ของฮุนเซ็น
เราต้องสูญเสียผลประโยชน์จากการ
ท่องเที่ยวไปอย่างมหาศาล
เพราะความร่วมมือกวนเมืองของทักษิณและฮุนเซ็นนี่เอง ตอนนี้พอมีอำนาจ
ก็จะมาร่วมเสวยสุข
ด้วยการหยิบยกเรื่องน้ำมันใต้ทะเลในอาณาเขตทับซ้อนไทยเขมรมาคุยก่อนเรื่อง
อื่น
จุดทับซ้อนก็อยู่ตรงที่ว่า ปู
มีนโยบาย ที่จะเข้าไปจัดการทรัพยากรน้ำมันและแก๊สใต้ทะเล
แต่ทักษิณก็รอที่จะเข้าไปลงทุนในฐานะเอกชนนักลงทุนคนหนึ่ง
แม้พี่น้องคู่นี้จะโกหกเก่งทั้งคู่ว่า เรื่องนี้ไม่มีส่วนรู้ส่วนเห็น
แต่ติดตามดูให้ดีๆ ผลที่ออกมาล้วนตรงกันข้ามเสมอ
มีสิ่งใดบ้างที่ปูปฏิเสธแล้วไม่ทำบ้าง ปฏิเสธแล้วทำทุกเรื่อง...
เขาเรียกว่า โกหกหน้าด้านๆ
ฮุนเซ็นได้ชื่อว่า
เป็นเพื่อนยามยากที่ทักษิณ ซาบซึ้งน้ำใจเป็นหนักเป็นหนา
ความร่วมมือก่อความวุ่นวายให้ประเทศไทยที่ทำให้รัฐบาลคู่ต่อสู้ต้องพ่ายแพ้
ไปอย่างย่อยยับ บัดนี้ได้อำนาจเบ็ดเสร็จ
จึงถึงเวลาที่ทักษิณจะตอบแทนคุณฮุนเซ็นแล้ว การตอบแทนคุณที่ทักษิณจะทำ
จะไปกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติมากน้อยเพียงใดไม่สนใจ
ขอให้ตัวเองได้แบ่งประโยชน์ให้แก่กันและกันก็พอแล้ว
ตราบใดที่คนไทยไม่เข้าใจเขมรให้ทะลุทะลวง ตราบนั้น
เขมรก็กลายเป็นตัวช่วยนักการเมืองไทยที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
กอบโกยทรัพยากรธรรมชาติไปเป็นของตนเองและพวกพ้องจนชาติแทบจะไม่เหลืออะไร.
ข่าวสังคมคนไทยในอเมริกา |
ศาลปค.สูงสุดยืนตามศาลปค.ชั้นต้นสั่งยกคำร้องพธม.
ที่ศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ นายวุฒิชัย แสงสำราญ ตุลาการศาลปกครองกลาง ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่มีคำสั่งยืนตามศาลปกครอง ชั้นต้นให้ยกคำร้องของนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและพวกที่ยื่นฟ้องรมว.กระทรวงการต่าง ประเทศและคณะรัฐมนตรี ขอให้เพิกถอนบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยเห็น ว่า การดำเนินการของรมว.ต่างประเทศ และคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำหลักเขตทางบก ระหว่างราชอาณาจักรไทย-ราชอาณาจักรกัมพูชา ค.ศ.2000 หรือMOU 2543 ข้อกำหนดและแผนแม่บทสำหรับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างราช อาณาจักรไทย-ราชอาณาจักรกัมพูชา หรือ TOR 2546 มติรัฐสภาที่เห็นชอบกรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา ตลอดแนว ในกรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา และกลไกอื่น ๆ ภายใต้กรอบนี้
ตลอดจนการนำบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้วรวม 3 ฉบับ เสนอให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ และร่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราช อาณาจักรกัมพูชา ว่า ด้วยปัญหาชายแดนในพื้นไทย-ปราสาทพระวิหาร กัมพูชา-ปราสาทเปรียะวิเฮียร์ ที่จัดทำขึ้นในเดือนเม.ย.2552 และรอความเห็นชอบจากรัฐสภา เป็นการใช้อำนาจทางบริหารของรัฐ โดยฝ่ายบริหารตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ และเมื่อมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ ได้กำหนดกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารในเรื่องดังกล่าวต้องผ่าน การตรวจสอบและให้ความเห็นชอบของรัฐสภาในฐานของฝ่ายนิติบัญญัติก่อน อันเป็นการควบคุมทางการเมืองตามหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุขการดำเนินการดังกล่าวของรมว.ต่างประเทศและคณะรัฐมตรี จึงเป็นกรณีการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย หรือการดำเนินกิจการทางปกครอง คดีพิพาทนี้จึงไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครอง ที่ศาลปกครองชั้นต้นสั่งไม่รับคำฟ้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความนั้น จึงชอบแล้วศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย
ส่วนที่นายปานเทพ ขอให้ศาลปกครองสูงสุดส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีการดำเนินการ เกี่ยวกับ MOU 2543 ไม่ถูกต้องตามกระบวนการขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ และการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีที่ขอให้รัฐสภาเห็นชอบตามกรอบการเจรจาสำรวจ และจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชาตลอดแนวในกรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดน ร่วมไทย-กัมพูชาและกลไกอื่น ๆ ภายใต้กรอบนี้ โดยมีการกำหนดกรอบการเจรจาในความหมายเดียวกับข้อความของMOU2543 ดังกล่าวเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 หรือไม่ นั้น เห็นว่า เมื่อศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องคดีนี้แล้วก็ไม่มีเหตุให้ต้องส่ง ข้อโต้แย้งดังกล่าวไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามมาตรา 211 ของรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด
คำสั่งศาลปกครองสูงสุดคดีบันทึกการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)