ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
วันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อคดีการวินิจฉัยตีความคำพิพากษาของศาลโลกกรณีพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารความตอนหนึ่งว่า:
“จะมีการเปลี่ยนแปลงองค์คณะผู้พิพากษาศาลโลกในเดือนกุมภาพันธ์
และเพื่อไม่ให้คดีดังกล่าวข้ามการเปลี่ยนแปลงองค์คณะ
ดังนั้นจึงมีการคาดการณ์กันว่า ภายในเดือนกุมภาพันธ์
ศาลโลกจะมีคำตัดสินเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมา
ซึ่งรัฐบาลไทยคงได้ยื่นคำให้การที่เป็นลายลักษณ์อักษรไปแล้ว
ส่วนการจะไปให้ถ้อยแถลงด้วยวาจา ก็มีความสำคัญ ต้องมีการเตรียมตัวให้ดี
มีการซักซ้อม ดำเนินการให้เป็นเอกภาพ”
หากเป็นไปตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คาดการณ์เอาไว้
ศาลโลกจะวินิจฉัยคำพิพากษาของศาลโลก เมื่อปี พ.ศ. 2505
ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ก็แปลว่าเรามีเวลาเหลืออยู่อีกเพียงไม่ถึง 60
วันเท่านั้น ก่อนที่ศาลโลกจะตัดสินไปในทางใดทางหนึ่ง:
ซึ่งปีนี้ถือเป็นปีที่ 50 แล้วที่ศาลโลกได้เคยตัดสินคดีนี้ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ลงความเห็นด้วยข้อความว่า:
“ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา”
สำหรับ ข้อเรียกร้องในข้อ 1
ของกัมพูชาว่าให้ศาลพิพากษาและชี้ขาดสถานภาพของแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000
ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว (แผนที่ภาคผนวก 1)
และข้อเรียกร้องในข้อ 2
ของกัมพูชาที่ขอให้พิพากษาและชี้ขาดเส้นเขตแนวระหว่างไทย-กัมพูชาตามแผนที่
มาตราส่วน 1: 200,000 (แผนที่ภาคผนวก 1) นั้น
ศาลไม่ตัดสินเป็นบทปฏิบัติการของคำพิพากษาโดยให้เหตุผลในคำพิพากษาในครั้ง
นั้นว่า:
“คำแถลงสรุปข้อที่หนึ่งและข้อที่สองของกัมพูชาที่ขอให้ศาลพิพากษาชี้ขาดใน
เรื่องสถานภาพทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1
และในเรื่องเส้นเขตแดนในอาณาบริเวณที่พิพาท
จะรับฟังได้ก็แต่เพียงในฐานที่เป็นการแสดงเหตุผล
และมิใช่เป็นข้อเรียกร้องที่จะต้องกล่าวถึงในบทปฏิบัติการของคำพิพากษา
ในทางตรงกันข้าม
ศาลเห็นว่าประเทศไทยนั้นหลังจากที่ได้แถลงข้อเรียกร้องของตนเกี่ยวกับ
อธิปไตยเหนือพระวิหารแล้ว
ได้จำกัดการต่อสู้คดีตามคำแถลงสรุปของตนในตอนจบกระบวนพิจารณาภาควาจาอยู่แต่
เพียงการโต้แย้งและปฏิเสธเพื่อลบล้างข้อต่อสู้ของคู่ความฝ่ายตรงข้ามเท่า
นั้น โดยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศาลที่จะเลือกหาเหตุผลที่ศาลเห็นเหมาะสมซึ่งคำพิพากษาอาศัยเป็นมูลฐาน”
แม้คำพิพากษาจะมีความชัดเจนว่าไม่ได้ตัดสินสถานภาพของแผนที่และเส้น
เขตแดนตามแผนที่ภาคผนวก 1 แต่เราก็จะวางใจไม่ได้โดยเด็ดขาด
เพราะสิ่งที่กัมพูชาได้ยื่นคำร้องปีที่แล้วต่อศาลโลกนั้นได้ให้ช่วยตีความใน
คำพิพากษาในการตัดสินเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ในประเด็นที่มีการลงคะแนนเสียง 9
ต่อ 3 ว่า:
“ประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ
ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทยส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือ
ในบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา”
และสิ่งที่กัมพูชาให้ตีความนั้นก็คือคำว่า การถอยทหาร ตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาหรือผู้ดูแลออกจาก “บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา” คือบริเวณไหน?
โดยกัมพูชามุ่งหมายจะให้ศาลโลกตีความเพื่อหวังว่า
บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชานั้นหมายถึงแผนที่ภาคผนวก 1 หรือ
แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 หรือไม่?
ทั้งนี้เพราะแม้กัมพูชาจะรู้ว่า แผนที่ภาคผนวก 1
และเส้นเขตแดนตามแผนที่ภาคผนวก 1 จะไม่ใช่บทปฏิบัติการของคำพิพากษาโดยตรง
แต่กัมพูชาอาศัยช่องเล็กๆที่แผนที่ภาคผนวก 1
ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ศาลโลกอ้างกฎหมายปิดปากที่ฝ่ายไทยไม่ปฏิเสธแผนที่
ฉบับนี้ในการใช้เป็น “มูลฐาน” ในการแสดงเหตุผลเพื่อตัดสิน “บทปฏิบัติการ” ให้ปราสาทพระวิหารอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ในการใช้เป็นประโยชน์ในการส่งศาลโลกตีความในครั้งนี้ด้วย
เพราะเมื่อ “มูลฐาน” จากกฎหมายปิดปากในเรื่องแผนที่ภาคผนวก
1 ใช้ถูกนำมาใช้เพื่อตัดสินบทปฏิบัติการในประเด็น
อำนาจอธิปไตยเหนือตัวปราสาทแล้ว
ก็ย่อมต้องส่งผลต่อบทปฏิบัติการในการให้ทหาร ตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาและผู้ดูแล
ออกจาก “บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา” ด้วยเช่นกัน
มูลฐาน “กฎหมายปิดปากที่ไทยไม่ปฏิเสธแผนที่ภาคผนวก 1
ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว” ส่งผลต่อบทปฏิบัติการว่า
อำนาจอธิปไตยเหนือตัวซากปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา” ฉันใด
มูลฐาน “กฎหมายปิดปากที่ไทยไม่ปฏิเสธแผนที่ภาคผนวก 1
ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว” ก็ย่อมส่งผลต่อบทปฏิบัติการว่า
ให้ทหาร ตำรวจ ผู้เฝ้ารักษาและผู้ดูแล ออกจาก
“บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา” ฉันนั้น
ไทยจึงย่อมตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบกว่า หากปล่อยให้มีการตีความบทปฏิบัติการของคำพิพากษานี้ !!
ทั้งนี้การใช้กฎหมายปิดปากที่ไทยไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งจัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว ได้กลายเป็น “มูลฐาน” ในการตัดสิน “บทปฏิบัติการของคำพิพากษา” ทั้งนี้ได้มีการบรรยายมูลฐานในการตัดสินครั้งนั้นด้วยข้อความว่า:
“อย่างไรก็ดี ศาลมีความเห็นว่าประเทศไทยใน ค.ศ. 1908 – 1909
ได้ยอมรับแผนที่ในภาคผนวก 1 ว่า เป็นผลงานของการปักปันเขตแดน
และด้วยเหตุนี้จึงได้รับรองเส้นบนแผนที่ว่าเป็นเส้นเขตแดน
อันเป็นผลให้พระวิหารตกอยู่ในดินแดนกัมพูชา
ศาลมีความเห็นต่อไปว่าเมื่อพิจารณาโดยทั่วไป
การกระทำต่อๆมาของไทยมีแต่ยืนยัน และชี้ให้เห็นชัดถึงการยอมรับแต่แรกนั้น
และว่าการกระทำขอบงไทยในเขตท้องที่ก็ไม่พอเพียงที่จะลบล้างข้อนี้ได้
คู่กรณีทั้งสองฝ่าย โดยการประพฤติปฏิบัติของตนเองได้รับรองเส้นแผนที่นี้
และดังนั้นจึงถือได้ว่าเป็นการตกลงให้ถือว่าเส้นนี้เป็นเส้นเขตแดน”
ด้วยเหตุผลนี้ประเทศไทยจึงได้ทำการประท้วง คัดค้าน
ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินที่อยุติธรรม
ที่แม้ว่ารัฐบาลไทยจะปฏิบัติตามคำพิพากษา
แต่ก็ยังได้ตั้งข้อสงวนที่จะทวงคืนในอนาคตหากกฎหมายมีการพัฒนาไปมากกว่านี้
โดยปราศจากการคัดค้าน
และทักท้วงจากทุกประเทศในหมู่มวลสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ
ข้อสำคัญแม้แต่กัมพูชา
ก็พอใจกับการปฏิบัติกั้นแนวรั้วรอบปราสาทพระวิหารของฝ่ายไทยและไม่เคยคัด
ค้านหรือเรียกร้องใดๆจากองค์การสหประชาชาติเป็นเวลากว่า 40 ปี
เพราะความจริงมีอยู่ว่าศาลโลกในขณะนั้นไม่ได้หักล้างเหตุผลของฝ่าย
ไทยที่หยิบยกขึ้นมาต่อสู้ในหลายประเด็น ทั้งในเรื่อง
หลักฐานผลงานของผู้เชี่ยวชาญการการสำรวจตรวจตราภูมิประเทศในบริเวณเขาพระ
วิหาร
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ฝ่ายฝรั่งเศสมีบันทึกระบุว่าสันปันน้ำบริเวณทิว
เขาดงรักอยู่ที่หน้าผามองเห็นได้จากตีนภูเขาดงรัก
และหลักฐานที่ว่าแผนที่นี้สร้างขึ้นผิดจากความเป็นจริงแห่งภูมิประเทศ ฯลฯ
แต่ศาลโลกกลับเลือกกฎหมายปิดปากมาเป็นมูลฐานหลักโดยปราศจากการหักล้าง
ไม่โต้แย้ง ไม่แม้กระทั่งกล่าวถึงเหตุผลของฝ่ายไทย
ดังนั้นจึงถือว่าประเทศไทยในขณะนั้นไม่ได้คัดค้าน ประท้วง
และตั้งข้อสงวน เฉพาะ “บทปฏิบัติการ”ของคำพิพากษาของศาลโลกเท่านั้น
แต่ยังคัดค้านรุกไปถึง
“มูลฐาน”ในการใช้เป็นเหตุผลตัดสินที่อยุติธรรมอีกด้วย
คำแถลงคัดค้าน ประท้วง และตั้งข้อสงวนของไทยในยุคนั้น
จึงมีความหมายอย่างยิ่ง
เมื่อรวมกับการที่ประเทศไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการประกาศยอมรับอำนาจศาลโลก
โดยบังคับมา 50 ปีแล้ว
ย่อมหมายความว่าเราไม่ควรกลับไปยอมรับอำนาจศาลโลกในการตีความที่มาจาก
“มูลฐาน” ที่อยุติธรรมของศาลโลกอีก
และถ้าไทยยังไปยอมรับการตีความ “บทปฏิบัติการของคำพิพากษา” บน “มูลฐาน”ที่อยุติธรรมแล้ว
เท่ากับว่าประเทศไทยได้สละการคัดค้าน ประท้วง
ตั้งข้อสงวนของฝ่ายไทยที่เคยมีมา
และได้กลับไปรับอำนาจของศาลโลกอีกครั้งในรอบ 50 ปี
และอาจถือเป็นการทรยศต่อภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยที่ได้ปกป้องแผ่นดินไทยเอา
ไว้มาจนถึงวันนี้ ใช่หรือไม่?
และอีกไม่เกิน 60 วัน ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่ความเสี่ยงที่จะเสียดินแดนในเวทีศาลโลกครั้งที่สองในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา!!!