บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ไก่ตัวเท่าควายของนายกษิตและกระทรวงต่างประเทศ

ขอบคุณ ฟิฟทีนมูฟ – 

 

ย้อนไปเมื่อราว ๖๐ ปีที่แล้ว เกือบสิบปีก่อนเขมรนำกรณีปราสาทพระวิหารฟ้องเป็นคดีความในศาลยุติธรรม ระหว่างประเทศ หรือที่เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “ศาลโลก” นั้น นายกนต์ธีร์ ศุภมงคล อธิบดีกรมสหประชาชาติ ในขณะนั้น เสนอไปยังนายวรการบัญชา รัฐมนตรีต่างประเทศในเวลานั้น เป็นผลให้ไทยรับอำนาจศาลโลก ทั้งที่ไม่อยู่ในข่ายต้องรับ ในห้วงของการเปลี่ยนแปลงจากศาลเก่าสู่การตั้งศาลใหม่ และช่วงเวลาไม่กี่เดือนก่อนอายุคำรับอำนาจศาล ๑๐ ปี จะหมด ใน พ.ศ. ๒๕๐๒ กัมพูชาชิงนำคดีขึ้นฟ้อง ไทยจึงอยู่ในสภาพบังคับให้ต้องไปสู้คดี เมื่อประกอบกับความอวดดีของ ไทยเสียท่าถูกศาลโลกโดยเหตุผลของการเมืองระหว่างประเทศ หาเหตุอ้างยกปราสาทพระวิหารให้เขมร ดังคำตัดสิน วันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ เหตุการณ์ใน พ.ศ. ๒๕๕๔ นี้ ดูว่าวันนี้รัฐบาลไทยกำลังเดินย่ำรอยอดีต

นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
แฟ้มภาพ: นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
การนำข้อพิพาทปราสาทพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชาไปสู่ศาลโลกอีกครั้ง ตามจดหมายข่าว (Press Release) อย่างไม่เป็นทางการ (Unofficial) ของเจ้าหน้าที่ศาลโลก เลขที่ ๒๐๑๑/๑๔ วันที่ ๒ พฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๑๑ ที่ระบุว่าราชอาณาจักรกัมพูชายื่นคำร้อง เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๔ ขอให้ตีความคำตัดสินเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ ของศาลโลก กรณีปราสาทพระวิหาร (กัมพูชา กับ ประเทศไทย) พร้อมขอให้มีมาตรการคุ้มครองชั่วคราว

[ ประเด็นความพยายามของกัมพูชานำเรื่องสู่ศาลโลก ฟิฟทีนมูฟได้รายงานมาโดยลำดับ: (๑๘ ก.พ.)  (๒๑ ก.พ.) (๒๓ ก.พ.) (๒๖ มี.ค.) ]
กรณียื่นคำร้องของกัมพูชาคราวนี้ เป็นการ “เปิดคดีใหม่” และขอให้ศาลดำเนินการภายใน “คดีใหม่”  คำว่าเปิดคดีใหม่ (open new case) นี้หมายถึงการ “ฟ้องเป็นคดีใหม่” ไม่ใช่การฟ้องให้ปรับปรุงแก้ไขคำพิพากษาเดิมที่ต้องกระทำภายใน ๑๐ ปี และการเปิดคดีใหม่นี้ เขมรอ้างถึงข้อ ๖๐ และ ๙๘ ของธรรมนูญศาลฯ ที่พูดถึงการตีความคำตัดสินเดิม (construe)  เป็นการเล่นในสองทาง คือ ฟ้องเป็นคดีใหม่และให้ตีความคำตัดสินคดีเดิม
ประการหนึ่ง คดีดังกล่าวอยู่นอกเหนือเงื่อนไขที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นใหม่ที่กำหนดให้กระทำ ได้ภายใน ๑๐ ปี ประการหนึ่ง การเปิดคดีใหม่ดังกล่าวเป็นการขยายขอบเขตจากคำฟ้องและคำตัดสินเดิม และอีกประการหนึ่ง ประเทศไทยไม่อยู่ในฐานะที่ต้องขึ้นศาลฯ และไม่อยู่ใต้บังคับศาลฯ เนื่องจากไม่ได้มีปฏิญญาประกาศรับอำนาจพิจารณามาร่วม ๕๐ ปี นับแต่การสิ้นอายุคำรับอำนาจฯ ของนายวรการบัญชา
ตามความเห็นของนักกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นผู้ร่างกฎหมายของสหประชาชาติหลายฉบับ ในชั้นต้นของกระบวนการ คือในภาคคำคู่ความเป็นลายลักษณ์อักษร (written proceedings) ต้องยืนยันสถานะตนอย่างเข็มแข็งและปฏิเสธอำนาจการพิจารณาของศาลฯ พร้อมทั้งไม่ควรไปต่อสู้ในชั้นเนื้อหา หากว่าศาลฯ ดึงดันจะดำเนินการต่อ ไทยก็ชอบที่จะถอนตัว ไม่ร่วมกระบวนการและไม่รับผลการพิจารณา
แต่ทว่า รัฐบาลไทยกำลัง “ถลำไปลึก” เตรียมการสู้คดีใน “ชั้นเนื้อหา” ฟังจากคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ระบุจะเตรียมเอกสารหลักฐาน ฟังจากเด็กน้อยชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ฟังจากนายกษิต ภิรมย์ ที่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวเนื่องกับการเตรียมการ หรือฟังจากปากผู้เยาว์อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ดี  ประเทศไทยโดยรัฐบาลประชาธิปัตย์และผู้นำใน พ.ศ. ๒๕๕๔ กำลังทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ และไม่มีอำนาจทำ
ประการหนึ่ง การที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย และกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งทนายชาวฝรั่งเศสว่าความในคดีนี้ เป็นเรื่องที่ถูกตำหนิอย่างกว้างขวาง ว่ากระทำในสิ่งที่ไม่ควร เพราะฝรั่งเศสถือเป็นคู่กรณีโดยตรงของไทยในเรื่องปราสาทพระวิหาร และท่าทีของราชการฝรั่งเศสหลายต่อหลายครั้งระหว่างเหตุพิพาทไทย-กัมพูชา ล่าสุดนั้น ฝรั่งเศสได้แสดงท่าทียื่นมือให้ความช่วยเหลือ อาทิเช่น เพื่อแก้ปัญหาพิพาท และมีท่วงท่าที่เอนเอียงอยู่ข้างกัมพูชา
ยิ่งกว่านั้น ยังมีเรื่องที่น่าอายและเป็นการ “ปล่อยไก่” ตัวเท่าควายของกระทรวงการต่างประเทศ โดยการนำของนายกษิต ภิรมย์ อีกประการ คือ การแต่งตั้งผู้พิพากษาสมทบ (Judge ad hoc) ที่เป็นชาวฝรั่งเศส ทั้งที่ศาลโลกมีผู้พิพากษาประจำสัญชาติฝรั่งเศสอยู่แล้ว โดยระเบียบข้อบังคับของศาล (Rule of Court) และธรรมนูญศาล ห้ามไม่ให้มีผู้พิพากษาสัญชาติเดียวกันเกินกว่า ๑ คน ในคดีหนึ่ง ๆ นี่จะกลายเป็นความ “ไม่รู้เรื่อง” ที่วงการกฎหมายระหว่างประเทศจะมองด้วยสายตาขบขัน และที่ศาลโลกประเด็นนี้จะกลายเป็นตลกเรื่องเอกที่จะขำกันไม่ออก
กรณีคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. ๒๕๕๔ นี้ จะเป็นบทเรียนสอนคนไทยซ้ำอีกครั้งว่า ความไม่รู้นำไปสู่ความเสียหายได้ทางหนึ่ง ความไม่รู้แล้ว “อวดดีอวดรู้” นำไปสู่ความเสียหายที่ยิ่งกว่า และจะกลายเป็นเรื่อง “เสียรู้” ให้เขาหยันซ้ำได้อีกครั้ง ว่าเรื่องเดียวกันนี้ ห้าสิบปียัง “โง่ซ้ำโง่ซ้อน” มีประสบการณ์แต่ไม่รู้เรียนรู้จำ

mou43 จะทำไทยเสียดินแดน

อาจารย์สมปองอธิบาย mou43

ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล “ถ้าศาลโลกตัดสินไม่เป็นธรรม ไทยก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม”




  ประเด็นร้อนที่สุดในขณะนี้คงหนีไม่พ้นกรณีที่รัฐบาลกัมพูชายื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก ใน 2 ประเด็น คือ (1) ขอให้ตีความคำพิพากษาเดิมในปี 2505 โดยอาศัยธรรมนูญศาลโลก ในมาตรา 60 และ (2) ขอให้ศาลโลกออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว และให้ไทย ถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาทปราสาทพระวิหารทันที โดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งหลายฝ่ายเกรงว่าการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของศาลโลกในครั้งนี้จะนำไปสู่การเสียดินแดนไทยจำนวนมหาศาล ทั้งในส่วนของพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร และพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอีกกว่า 2 ล้านไร่ เนื่องจากกัมพูชาอ้างอิงถึงการใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งจะทำให้แผนที่กัมพูชาล้ำเข้ามาในเขตไทยมีผลบังคับใช้
      
       'ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์' จึงได้สัมภาษณ์พูดคุยกับ 'ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล” อดีตเอกอัครราชทูต ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ และทนายผู้ประสานงานคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2502-2505 ซึ่งกัมพูชานำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลกเมื่อ 49 ปีก่อน โดย ดร.สมปอง ได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ รวมทั้งชี้แนะแนวทางในการต่อสู้คดีที่จะทำให้ไทยไม่เสียดินแดน
      
       **อยากให้อาจารย์วิเคราะห์กรณีที่รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชายื่นคำร้องต่อศาลโลกในครั้งนี้
      
       ตอนนี้กัมพูชาแค่ยื่นคำร้องเท่านั้น ซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่ 1 ขั้นต่อไปกัมพูชาจะต้องยื่นคำแถลงคำฟ้องเป็นลายลักษณ์อักษรว่าเขาต้องการให้ศาลพิจารณาหรือตีความเรื่องอะไร จากนั้นศาลก็จะแจ้งให้ฝ่ายไทยทราบว่ากัมพูชาเสนอคำฟ้องว่าอย่างไร รวมทั้งให้เวลาฝ่ายไทยในการตอบคำให้การแก้ฟ้อง ซึ่งศาลต้องแจ้งด้วยว่าจะให้ตอบภายในกำหนดเวลาเท่าไร แล้วจึงถามต่อไปว่ากัมพูชาจะตอบคำแก้ของไทยหรือเปล่า ถ้าตอบจะตอบว่าว่าอย่างไร และไทยจะตอบคำแก้ของกัมพูชาอีกหรือเปล่า ถ้าตอบ ตอบว่าอย่างไร จากนั้นจึงจะนัดพิจารณาด้วยวาจา นอกจากนั้นศาลโลกก็ต้องดูด้วยว่าคดีนี้เป็นคดีเก่าหรือคดีใหม่
      
       **เห็นคุณกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ว่า ศาลโลกให้ไทยและกัมพูชา เข้าชี้แจงด้วย
      
       วาจาต่อองค์ประกอบคณะผู้พิพากษาศาลโลก ในวันที่ 30-31 พ.ค.นี้ และคาดว่าการตัดสินของศาลโลกจะเกิดขึ้นต้นปีหน้า ท่านก็คงได้รับแจ้งมาอย่างนั้น ก็ต้องรอดูต่อไป
      
       **ในคำร้องที่ยื่นต่อศาลโลก กัมพูชาระบุว่า เส้นเขตแดนที่กำหนดไว้ในแผนที่ที่ศาลอ้างถึงในการตัดสินเมื่อปี 2505 เป็นแผนที่ที่ทำให้กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่ประสาทพระวิหารตั้งอยู่ ซึ่งกัมพูชาอาจจะขยายเขตแนวไปถึงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรที่อยู่รอบตัวปราสาทด้วย
      
       ทำไม่ได้ ศาลโลกจะพิจารณาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน
      
       **การที่กัมพูชาได้ยื่นร้องต่อศาลโลกให้มีการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ขอให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่พิพาทปราสาทพระวิหารทันที สามารถทำได้ไหม
      
       ศาลโลกไม่มีอำนาจ ศาลโลกอาจจะสั่งได้แต่ว่าไม่มีใครเขาทำตาม
      
       **ท่านนายกฯอภิสิทธิ์ ระบุว่าจะใช้ทีมทนายจากฝรั่งเศสในการสู้คดีในศาลโลก
      
       นายกฯ เรียนกฎหมายมาหรือเปล่า จะใช้ทนายฝรั่งเศสได้ยังไงในเมื่อเขาเป็นคู่กรณีกับเรา เขาไม่รู้เลยหรือว่าไทยมีคดีกับใคร ไม่รู้เชียวหรือว่าใครฟ้อง ไม่รู้เลยหรือว่าใครเป็นโจทก์ใครเป็นจำเลย ไม่รู้เลยหรือฝรั่งเศสก็คอยแนะนำประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นเขาอยู่ ฝรั่งเศสเขาเป็นฝ่ายโน่นนะ
      
       **ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายเดียวกับกัมพูชา ?
      
       ฝรั่งเศสกับกัมพูชาประเทศเดียวกัน เราจ้างทนายฝรั่งเศสก็เหมือนกับเราจ้างทนายเขมร ถ้าจ้างทนายฝรั่งเศสก็เท่ากับขายชาติ จะให้เขารู้ความลับเรายังไม่ได้เลย จะไปจ้างเขาเป็นทนาย
      
       **ทางพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมองว่าหากเรื่องขึ้นสู่ศาลโลก น่าจะให้อาจารย์เป็นทนายฝ่ายไทยในการสู้คดีครั้งนี้
      
       ก็เป็นมุมมองของพันธมิตรฯ แล้วก็เป็นเรื่องของรัฐบาลว่าจะเลือกให้ใครเป็นทนายสู้คดี
      
       **ถ้าสมมุติว่ารัฐบาลเห็นว่าอาจารย์เหมาะสม อาจารย์พร้อมรับหน้าที่นี้ไหม
      
       อย่าเพิ่งถามผมเลย ให้เรื่องมันมาถึงก่อน
      
       **การที่ไทยสู้คดีพระวิหารในศาลโลกครั้งนี้ โอกาสที่จะชนะหรือแพ้มีมากกว่ากัน
      
       ไม่มีทางที่จะคาดเดาได้
      
       **อาจารย์มองว่าข้อต่อสู้ที่เป็นจุดแข็งของไทยอยู่ตรงไหน
      
       เป็นเรื่องที่เราพูดไม่ได้เป็นอันขาด เพราะจะเป็นการเผยไต๋ให้เขารู้ แต่เรื่องอะไรเราจะไปยอมเสียดินแดนไทยให้กัมพูชา เขาไม่ใช่มหาอำนาจ เขาไม่ใช่ฝรั่งเศสนี่ ทำไมเราไปประเคนให้เขาล่ะ
      
       **เรื่องนี้มีทางออกไหม
      
       ทุกเรื่องมีทางออก แต่รัฐบาลจะเห็นหรือไม่เท่านั้นเอง
      
       **ทางออกที่เราจะไม่เสียดินแดน เป็นไปได้ไหม
      
       เราจะไปเสียได้อย่างไร ยังไงคนไทยก็ไม่ยอม รัฐบาลเองก็ไม่มีสิทธิไม่มีอำนาจเหนือประชาชน รัฐบาลต้องเข้าใจว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเอกราช มีอธิปไตย เราจะไปยอมให้ประเทศอื่นมารังแกหรือยกดินแดนให้ประเทศนั้นประเทศนี้ได้อย่างไร รัฐบาลไม่มีอำนาจ แล้วรัฐบาลก็มีอายุในการบริหารงานซึ่งไม่ยาวนานนัก และพลังของมวลชนก็เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ถ้ารัฐบาลทำให้ไทยเสียดินแดน ตัวเขาตลอดจนพี่น้องลูกหลานก็ต้องเสียชื่อไปตลอดชีวิต เพราะฉะนั้นรัฐบาลจะทำอะไรต้องศึกษาให้ดี ต้องดูข้อเท็จจริงให้ดีๆ ข้อกฎหมายก็ศึกษาเสียบ้าง
      
       อะไรที่เราไม่อยากให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ก็เก็บไว้เป็นความลับ ไม่ใช่ไปจ้างฝ่ายตรงข้ามมาเป็นทนาย อย่างนี้มีเท่าไรก็หมด ถ้าไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครเป็นฝ่ายตรงข้ามเราก็หมดไปนานแล้ว คุณจำไม่ได้เลยหรือเมื่อ 50 กว่าปีก่อนเกิดอะไรขึ้น คุณจำไม่ได้เหรอ..มีคนติดตารางนะ ทั้งเจ้าหน้าที่สถานทูตและเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศติดตารางนะเพราะเขาขโมยข้อมูลจากโทรเลขซึ่งเป็นความลับในการสืบคดีไปให้ฝ่ายตรงข้ามแล้วถูกตำรวจสันติบาลจับได้ คนที่ติดตารางก็มีทั้งคนไทยและคนที่มีชื่อเป็นฝรั่งเศสด้วย อย่างกรณี MOU 43 (บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543) ผมก็เคยเตือนแล้วว่าจะนำไปสู่การเสียดินแดน แต่เขาดื้อ คือคนที่เกี่ยวข้อง 2-3 คนดื้อ เมื่อไรเขาจะเลิกทิฐิเสียที เขาน่าจะรักชาติมากกว่าพรรค มากกว่าพวกพ้อง ไม่อยากให้พรรคพวกเสียชื่อ แล้วไม่กลัวเสียชาติหรือ เราต้องสำนึกถึงชาติเกิดนะ นึกถึงบุญคุณของประเทศชาติ แต่บางคนเขาก็อาจจะไม่ได้เกิดในเมืองไทยก็ได้ ผมว่าอธิปไตยของชาติน่าจะสำคัญกว่าอะไรทั้งหมดนะ
      
       **ที่ผ่านมากัมพูชาพยายามเปิดเกมโจมตีประเทศไทยมาตลอด
      
       ใช่ เขาทำมานานแล้ว ทำมาตลอดเวลา เขาทำทุกรูปแบบ ทั้งการสู้รบทางทหารและการโจมตีแบบกองโจร ในส่วนของสงครามข่าวสารเขาก็ทำมาตลอด บางคนก็เป็นพวกลอบกัด มันไม่กล้าสู้ซึ่งซึ่งหน้าหรอก ตอนไปรังแกเวียดนามเขาก็กระทืบกลับมาทีหนึ่งแล้ว มันก็วิ่งหนี เอาจริงมันก็ไม่กล้าสู้ ปะทะกับไทยคราวนี้กัมพูชาก็เอาเขมรแดง เอาญวน ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลกัมพูชามาสู้รบเพราะต้องการให้ไทยฆ่าพวกนี้ตายให้หมด เขาจะได้สิ้นเสี้ยนหนาม เขามายืมมือเรา ทุเรศ รัฐบาลกัมพูชาทำเป็นเปิดเจรจาแต่ก็ยังให้ทหารโจมตีไทยอยู่ อย่างนี้เราจะไปเจรจากับเขาทำไม ผลักดันกัมพูชาออกไปนอกประเทศเราก่อนสิแล้วค่อยเจรจา ให้เขาลงไปอยู่ที่ตีนเขา ปล่อยให้เขาขึ้นมาได้ยังไง ทำไมละเลยกันขนาดนี้ ทหารก็ต้องสู้ ให้เขามายึดพื้นที่เราได้ยังไง แล้วการป้องกันตัวตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศเนี่ยถ้ากัมพูชารุกล้ำเข้ามาหรือแม้แต่ใช้กำลังแสดงท่าทีข่มขู่ ทหารไทยไม่จำเป็นต้องให้เขายิงก่อนนะ เรายิงสกัดได้ทันที ถ้าคุณรอให้เขายิงก่อนคุณก็แพ้สิ เวลารบกันเนี่ยใครเขารอให้ฝ่ายตรงข้ามยิงก่อนล่ะ ถ้าจะเปิดเจรจาเราก็ต้องไล่เขาไปก่อนแล้วค่อยเจรจา ไม่ใช่ให้เขามาขี่คอเราแล้วมาขอเจรจา
      
       **ดูเหมือนไทยปล่อยให้กัมพูชาโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว แต่เรานิ่งเฉย ไม่ผลักดันกัมพูชาที่รุกล้ำดินแดนไทยออกไป รวมถึง ไม่ได้ชี้แจงให้นานาชาติเข้าใจว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรด้วย
      
       แล้วรัฐบาลไม่กลัวมีความผิดฐานนิ่งเฉยหรือ ไม่กลัวถูกขึ้นศาลหรือ
      
       **ครั้งนี้คนไทยก็หวังว่าจะได้เห็นความยุติธรรมของศาลโลก
      
       ใช่ ศาลโลกต้องแก้ไขสิ่งที่เคยทำผิดไว้สิ ศาลโลกไม่คิดจะกลับตัวหรือ เป็นคนดีเสียมั่งสิ ไม่อย่างนั้นใครจะไปนับถือล่ะ ทำตัวให้มันดี เป็นถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คุณเข้าข้างประเทศนั้นประเทศนี้มันก็แย่น่ะสิ ขายหน้าเขาตาย ทำอย่างนี้ทำได้ยังไง
      
       **ถ้าการตัดสินไม่ยุติธรรมก็เท่ากับศาลโลกกำลังประจานตัวเองต่อประชาคมโลก
      
       ใช่แล้ว อย่างคุณอภิสิทธิ์ทำผิดเขาก็ต้องรู้ตัวว่าเขาผิด เขาแก้ตัวได้ ไม่เป็นไร เราต้องให้อภัยเขา เขาไม่รู้เรื่องเลย สมมุตินะ ก็ต้องเห็นใจเขา สงสารเขา แต่เขาคงไม่ตั้งใจจงใจจะยกดินแดนไทยให้เขมร เพียงแต่เขาเป็นสุภาพบุรุษไปหน่อย
      
       **จริงๆ แล้วที่ผ่านมาบางประเทศก็ไม่ได้ยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลก
      
       ใช่ อย่างกรณีที่ศาลโลกเคยสั่งว่าอเมริกาห้ามประหารชีวิตนักโทษคนหนึ่ง แต่อเมริกาก็ประหารชีวิตนักโทษคนนั้นทันทีเลย
      
       **แปลว่าถึงที่สุดแล้ว ถ้าเห็นว่าคำตัดสินของศาลโลกไม่เป็นธรรม ไทยไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลกก็ได้ใช่ไหม
      
       ใช่ ศาลโลกไม่มีอำนาจอะไรนี่ ประเทศไทยมีเอกสิทธิ์เหนือดินแดนของเรา ตอนที่ศาลโลกตัดสินกรณีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 ไทยก็ชี้แจงไปแล้วว่าเราไม่รับคำตัดสิน เพราะศาลตัดสินผิด กลับไปดูจดหมายของท่านถนัด คอมันตร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในสมัยนั้นได้เลย ท่านคัดค้านคำตัดสินของศาลโลก และขอสงวนสิทธิ์ในการทวงคืนประสาทพระวิหารจากกัมพูชา
      
       **กรณีปราสาทพระวิหารที่ผ่านมา ไทยบ้าจี้ทำตามศาลโลกเอง
      
       ไทยเป็นคนดีเอง ไม่มีใครเขาดีขนาดที่ไทยทำหรอก
      
       **เพราะฉะนั้นทางออกทางเดียวของรัฐบาลตอนนี้ก็คือถ้าเห็นว่าคำตัดสินของศาลโลกไม่เป็นธรรม ไทยก็ไม่ต้องยอมรับคำตัดสิน
      
       ใช่ แต่ทางออกไม่ได้มีทางเดียวนะ มีหลายทาง ในเมื่อที่ผ่านมารัฐบาลไทยเคยสงวนสิทธิ์เอาไว้แล้วว่าจะทวงคืนประสาทพระวิหาร นี่ก็เป็นโอกาสที่ไทยจะเรียกทวงคืนได้เลย จบ! เขาเปิดโอกาสให้เราแล้วนี่ ศาลรู้สึกว่าพิจารณาผิดไปใช่ไหมถึงได้พิจารณาใหม่ คือถ้าศาลจะพิจารณาใหม่เราก็ขอให้ยกเลิกคำพิพากษาเดิม ซึ่งหมายความว่าประสาทพระวิหารก็จะกลับมาเป็นของไทย ตอนนี้ก็ต้องรอดูไปก่อน
      
       **อาจารย์คิดว่าสิ่งที่รัฐบาลไทยควรทำที่สุดในตอนนี้คืออะไร
      
       สิ่งที่ควรทำที่สุดก็คือการรักษาอำนาจอธิปไตยของไทยไว้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก แต่ไม่ทำกัน คงต้องร้องเพลงต้นตระกูลไทยให้ฟัง

ปราสาทพระวิหาร ภูมิประเทศที่ไทยตั้งชื่อเป็นหลักฐาน (ภูมิบ้าน ภูมิเมือง)

ปราสาทพระวิหาร ภูมิประเทศที่ไทยตั้งชื่อเป็นหลักฐาน (ภูมิบ้าน ภูมิเมือง)
เป้ยตาดีจุดสูงสุด


จุดปันน้ำที่สับสนของศาลโลก


ประตูทางขึ้น


ปราสาทพระวิหารส่วนใน


ทางขึ้นเขาเดิมๆ


ภาพตัดเขาพระวิหาร


ทีมทนายฝ่ายไทย

เหตุการณ์ชายแดนที่ยืดเยื้อจากกรณีศาลโลกได้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของ ผู่อื่นแม้ว่าสถานที่ดังกล่าวจะตั้งอยู่บนเขาที่แบ่งเขตแดนระหว่างประเทศ ซึ่ง เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจต่อข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นที่รู้กันมาช้านานว่า การค้นพบปราสาทเขาพระวิหารบนเทือกเขาพนมดงรัก ที่บ้านภูมิซรอล ตำบลบึงมะลู อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ นั้น มีทางขึ้นอยู่เชิงเขาด้านล่างทางทิศเหนือไปจนสุดยอดเขาซึ่งอยู่สูงจากระดับ น้ำทะเล ๖๕๗ เมตร ที่มีชะง่อนหน้าผาลงไปสู่พื้นที่ที่เรียกกันว่าเขมรต่ำ อันเป็นเขตอำเภอจอมกระสานจังหวัดกำปงธมประเทศกัมพูชา

ปราสาทพระวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๕ - ๑๖ เพื่อเป็น ศาสนสถานของลัทธิไศวนิกายที่นับถือพระศิวะ (อิศวร) เป็นพระผู้เป็นเจ้าศักดิ์สิทธิ์ 'ซึ่งถูกทิ้งร้างประมาณ พ.ศ.๑๙๗๔ หลังจากที่พระเจ้าสามพระยาได้ยกทัพมาตีกรุงศรียโสธรปุระ (นครวัด นครธม) ของกัมพูชาได้ และในปี พ.ศ.๒๔๔๒ นั้นพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพประสิทธิ์ประสงค์ ผู้สำเร็จราชการหัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกได้ไปพบปราสาทนี้ ในครั้งนั้นพระองค์ทรงตั้งชื่อว่า ปราสาทพรหมวิหาร แทนชื่อ ปราสาทศิขเรศวร และสลักข้อความไว้ที่ชะง่อนผาเป้ยตาดีว่า "๑๑๘ สรรพสิทธิ์" (๑๑๘ คือร.ศ.๑๑๘) อันเป็นหลักฐานที่เกิดก่อนการทำสัญญาปักปันเขตแดนไทยกับฝรั่งเศสในปี พ.ศ.๒๔๔๗(ค.ศ.๑๙๐๔)

ในยุคการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศสนั้นได้ทำให้ภูมิภาคส่วนนี้ถูกรุกรานไปด้วย กล่าวคือ ปี พ.ศ.๒๔๑๐ นั้นไทย (สยาม) จำต้องทำสนธิสัญญายอมยกกัมพูชาให้ฝรั่งเศสเป็นผู้อารักขายกเว้นเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ ที่ยังเป็นของไทยจนเมื่อเกิดกรณีพิพาทสยาม - ฝรั่งเศส ในปี พ.ศ.๒๔๓๖ ฝรั่งเศสได้ส่งเรือปืนเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา และบังคับให้ไทย (สยาม) ยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการเสียลาวและกัมพูชาให้ฝรั่งเศสตั้งแต่ครั้งนั้น

จากกรณีฝรั่งเศสยึดจันทบุรีและยึดตราดจนเป็นเหตุให้ไทยต้องทำสนธิสัญญาในปี พ.ศ.๒๔๔๗ (ค.ศ.๑๙๐๔) ยกหลวงพระบางกับดินแดนภาคใต้ของเทือกเขาพนมดงรักให้ฝรั่งเศสเพื่อแลกกับ จันทบุรี ซึ่งสนธิสัญญาฉบับนี้ได้กำหนดให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดนสยาม - ฝรั่งเศสตามแนวเทือกเขาพนมดงรัก

พ.ศ.๒๔๕๐ (ค.ศ.๑๙๐๗) ไทย (สยาม) ทำสนธิสัญญายกเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณให้ฝรั่งเศส เพื่อแลกกับเมืองด่านซ้าย ตราด และเกาะทั้งหลาย ซึ่งอยู่ใต้แหลมสิงห์ไปจนถึงเกาะกูด คืนมาเป็นของไทย และกรณีพิพาทอินโดจีนฝรั่งเศสปี พ.ศ.๒๔๘๓ ก่อนสงครามมหาเอเซียบบูรพานั้น ทำให้พ.ศ.๒๔๘๔ รัฐบาลไทยได้เข้ายึดดินแดนที่เคยเสียไปในรัชกาลที่ ๕คืนมาตามสนธิสัญญาโตเกียว แต่เมื่อสงครามมหาเอเชียบูรพายุติลงและญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ก็ทำใหไทยต้องคืนดินแดนดังกล่าวให้ฝรั่งเศสอีก แต่ไทยก็ยังคงครอบครองปราสาทพระวิหารอยู่ ซึ่งฝรั่งเศสได้ประท้วงในเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง ใน พ.ศ.๒๔๙๒(ค.ศ.๑๙๔๙)

ครั้นเมื่อกัมพูชาได้เอกราชโดยสมบูรณ์ในปี พ.ศ.๒๔๙๖ (ค.ศ.๑๙๕๓) ต่อมาใน พ.ศ.๒๕๐๐ ประเทศไทยตกลงจะเจรจาปัญหาเขตแดนกับกัมพูชา ซึ่งกัมพูชาได้ตอบรับว่าพร้อมที่จะเจรจา แต่ก็ไม่มีการเจรจากันแต่อย่างใด ตั้งแต่นั้นมาได้เกิดการประท้วงเรียกร้อง-การเจรจา- หลายครั้งหลายหน ในที่สุดวันที่ ๓ กรกฏาคม พ.ศ.๒๕๐๕ รัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่สามจำยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาเนื่องจาก ตระหนักถึงกรณีในกฎบัตรสหประชาชาติของประเทศไทยและได้ส่งหนังสือแจ้งนายอู ถั่น รักษาการเลขาธิการสหประชาชาติ โดยตั้งข้อสงวนของไทยในคดีดังกล่าวให้ทราบต่อมาคณะรัฐมนตรีได้กำหนดขอบ เขตบริเวณปราสาทพระวิหารโดยกำหนดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ารอบปราสาทล้อมรั้ว ลวดหนามและทำป้ายบอกเขตบริเวณไทย-กัมพูชา

สาส์นด่วนถึงคนไทยทุกคน

33 ประเด็นถามตอบ ไทยกำลังเสียดินแดน

มิตรอย่างฮุนเซน..ขอมีหมาหลังอานเป็นเพื่อนดีกว่า


     
       คนไทยเคยคิดบ้างไหมว่า..เขมรฮุนเซนย่ำยีชาติไทยจนไร้เกียรติ์และศักดิ์ศรี แต่ทำไมนายกฯ อภิสิทธิ์-เทพเทือก-กษิต-พล.อ.ประวิตร กลับนอบน้อม-เอาอกเอาใจ-เข้าข้างฮุนเซนตลอด?
     
       คนไทยต้องอย่าไปสงสัยนะว่า ทำไมคนไทยทั้ง 4 คนในรัฐบาลนี้ จึงรักและยึดถือฮุนเซนเป็นมหามิตรที่แสนดี เป็นมหามิตรที่ต้องรักกันแบบไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนใจว่าฮุนเซนจะทำชั่วเช่นไรต่อประเทศไทย?
     
       ถึงขั้นยึดมิตรภาพกับมหามิตรฮุนเซนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำคัญกว่าการเสียดินแดนของไทย สำคัญกว่าคนไทยที่ถูกจับไม่เว้นแต่ละวัน สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดว่างั้นเหอะ ส่วนเรื่องทหารเขมรฮุนเซนบุกเข้ามาตั้งค่าย-หมู่บ้าน-ตลาด-วัดในดินแดนไทยนั้น ก็ปล่อยให้เขมรเขาอยู่กันไปเถอะ ค่อยๆ เจรจากันไปเรื่อยๆ เพราะไทยไม่ได้เสียดินแดนให้เขมรอย่างเป็นทางการนี่นา..จริงไหม?
     
       ลองมาดูกันหน่อย..ว่าฮุนเซนทำอะไรกับคนไทยและประเทศไทยของเราบ้าง?
     
       ปี 2513 ฮุนเซนร่วมกับกองกำลังเขมรแดงนายพลพต โค่นล้มรัฐบาลนายพลลอนนอล ที่อเมริกาหนุนหลัง สถานการณ์สงครามในกัมพูชา..ทำให้ชาวเขมรจำนวนมาก ต้องอพยพหลบภัยเข้าตามแนวชายแดนไทย
     
       ยูเอ็นจึงขอให้ไทยตั้งค่ายผู้ลี้ภัย ขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาหลายแห่ง รวมทั้งค่ายลี้ภัยชายแดนจังหวัดสระแก้ว ต.โนนหมากมุ่นด้วย
     
       ปี 2518 เขมรแดงได้ปกครองประเทศเขมร แต่ฮุนเซนได้เกิดแตกคอกับผู้นำเขมรแดง จึงหนีไปอยู่กับกองกำลังเฮงซำริน ต่อมาฮุนเซนที่มีเชื้อสายเขมรผสมญวน ก็นำทหารเวียดนามบุกเข้าประเทศเขมร ล้มล้างรัฐบาลเขมรแดงลงได้เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2522
     
       ปี 2528 ฮุนเซนที่มีเวียดนามหนุนหลัง ได้ก้าวขึ้นเป็นนายกฯของเขมรด้วยวัยเพียง 33 ปี แต่สถานการณ์สู้รบในเขมรกลับบานปลาย ฮุนเซนต้องรบพุ่งกับเขมรถึง 3 กลุ่ม นั่นคือ กลุ่มเขมรเสรีซอนซาน-เขมรแดงพลพต-เขมรเจ้าสีหนุ
     
       สถานการณ์สงครามที่ยังไม่สิ้นสุดในเขมรนี่เอง ที่ทำให้ยูเอ็นยังต้องคงค่ายผู้ลี้ภัยไว้ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาต่อไป..
     
       จนกระทั่งปี 2532 รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้เจรจาให้ทหารเขมร 4 ฝ่ายที่รบพุ่งกันอยู่..สงบศึกได้สำเร็จ ฮุนเซนได้เป็นผู้นำชาติเขมรอย่างมั่นคงนับแต่นั้นมา
     
       ค่ายผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาจึงค่อยๆปิดตัวลง เพราะชาวเขมรได้อพยพไปอยู่ในประเทศที่สามบ้าง บางส่วนก็กลับประเทศของตน สงครามเขมร 4 ฝ่ายจบลงอย่างถาวร
     
       คงต้องยกอมตะวาจาของเทพเทือก ที่กล่าวในทำนองว่า..หากไม่มีเนวินเนรคุณทักษิณในวันนั้น ก็คงไม่มีนายกฯ อภิสิทธิ์ในวันนี้..อะไรเทือกนี้แหละ
     
       เพราะหากไม่มีวันที่ประเทศไทยเป็นโต้โผใหญ่ ช่วยเจรจาให้ทหารเขมร 3 ฝ่ายยอมสงบศึก ก็คงไม่มีฮุนเซนที่ใหญ่คับฟ้าเขมรในวันนี้..จริงไหม..เขมรฮุนเซน?
     
       แต่จอมเนรคุณอย่างเขมรฮุนเซน ก็ลืมบุญคุณประเทศไทยได้อย่างหน้าด้านๆ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับอภิสิทธิ์-เทพเทือก ที่ลืมบุญคุณพันธมิตรได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นกัน
     
       เมื่อฮุนเซนยึดกุมอำนาจรัฐเขมรได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ฮุนเซนก็ตีตนขึ้นเสมอเจ้าสีหนุ ผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินของชาวเขมรทันที ถึงขนาดให้เจ้าสีหนุตั้งตนขึ้นเป็นสมเด็จอัครมหาเสนาบดีหิวโซ..เอ๊ย..เดโช ฮุนเซน!
     
       ห้วงนั้น..ฮุนเซนกับหน้าเหลี่ยม..ไม่ถูกกัน เพราะผลประโยชน์มันขัดกันนัวเนียไปหมด จนเจ้าพ่อหน้าเหลี่ยมทนไม่ไหว ก็เลยใช้เงินจ้างคนไทยและเ ขมร ให้ก่อการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลฮุนเซนมันซะเลย
     
       แต่ขุนโจรหน้าเหลี่ยมแพ้จอมโจรฮุนเซนครับ คนไทยและเขมรของหน้าเหลี่ยม บ้างถูกจับบ้างหนีตายเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทย
     
       ทว่า..จอมโจรเขมรฮุนเซนกับขุนโจรหน้าเหลี่ยมไทยนั้น สันดานทั้งคู่ยึดถือผลประโยชน์อยู่เหนือสิ่งอื่นใดเหมือนกัน
     
       ดังนั้น เมื่อขุนโจรหน้าเหลี่ยมได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ในยุครัฐบาล ชวน หลีกภัย ก็เลยเอาใจเขมรฮุนเซน จึงผลักดันให้ไทยเซ็น MOU2543 รับรองแผนที่ฯมาตราส่วน 1ต่อ2 แสน ที่เขมรฮุนเซนใช้เป็นข้ออ้างในการส่งกองกำลังทหาร และชาวบ้านเขมรเข้ามายึดครองแผ่นดินไทยทันที
     
       ยิ่งขุนโจรหน้าเหลี่ยมได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินไทย หน้าเหลี่ยมไทยกับเขมรฮุนเซนได้แอบเจรจาลับ ถึงแผนฮุบน้ำมันใต้ท้องทะเลไทย-กัมพูชา ที่ประเมินมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 ล้านล้านบาท
     
       ดังนั้น หลังตั้งรัฐบาลหน้าเหลี่ยมได้ไม่กี่เดือน รัฐมนตรีพลังงานคนสนิทของหน้าเหลี่ยม จึงเซ็น MOU2544 กับกัมพูชา เพื่อเร่งโกยผลประโยชน์น้ำมันใต้ท้องทะเลไทย-กัมพูชาทันที
     
       กอร์ปกับเขมรฮุนเซนจะต้องเลือกตั้ง เพื่อกลับมาเป็นนายกฯชาติเขมรอีกครา ขุนโจรหน้าเหลี่ยมกับจอมโจรเขมรฮุนเซน จึงสมคบกันให้ฮุนเซนชูนโยบาย จะเอาแผ่นดินเขาพระวิหารของเขมรคืนจากชาติไทยไงล่ะครับ
     
       การนำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียน เป็นมรดกโลกแต่เพียงผู้เดียวของกัมพูชาจึงเกิดขึ้น!
     
       ทว่า..หลังเอาเฉพาะตัวปราสาทพระวิหาร ไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกได้แล้ว แทนที่เรื่องจะจบ..ยูเนสโกกลับระบุ..เป็นมรดกโลกที่ไม่สมบูรณ์ เพราะมีแค่ตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น ย่อมไม่อาจดึงดูดผู้คนให้มาเที่ยวได้หรอก
     
       ขึ้นขี่หลังเสือแล้ว..จะลงง่ายๆได้หรือ? แม้นรัฐบาลหุ่นของขุนโจรหน้าเหลี่ยม ที่สมคบกับฮุนเซนจะพังพาบไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่รัฐบาลหน้าหล่อที่ขึ้นมาครองอำนาจต่อนั้น ฮุนเซนมองว่า..เป็นแค่รัฐบาลอ่อนหัดและรัฐบาล“เด็กดูดขวดนม” เท่านั้น
     
       เขมรฮุนเซนที่ถือว่า ดินแดนตามแผนที่ฯมาตราส่วน1ต่อ2 แสน มิใช่แผ่นดินของชาติไทยอีกต่อไปแล้ว อีกทั้งมิใช่แผ่นดินทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชาอีกด้วย หากแต่เป็นดินแดนของกัมพูชาแต่เพียงผู้เดียว
     
       เขมรฮุนเซนจึงนำเอาที่ดิน 4.6 ตร.กม.รอบตัวปราสาทพระวิหาร มาวางแผนให้ 7 ชาติในยูเนสโกแสวงหาผลประโยชน์ โดยไม่แยแสประเทศไทยที่เป็นเจ้าของแผ่นดินแม้แต่น้อย
     
       แถมคนไทยหน้าไหนเดินอยู่ในแผ่นดินไทย แต่ก็อยู่ในแนวแผนที่ฯมาตราส่วน1ต่อ2แสน ซึ่งเขมรฮุนเซนแอบอ้างว่าเป็นดินแดนของชาติเขมร ทหารเขมรก็จะตัวจับคนไทยเหล่านั้น ส่งขึ้นศาลเขมรทันที ดัง 7 คนไทยที่ถูกจับบนผืนแผ่นดินคนไทย ซึ่งมีเอกสารสิทธิ์ในที่ดินของราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการไงล่ะครับ
     
       เขมรฮุนเซนคนนี้แหละ ที่เคยอหังการณ์จิกหัวด่านายกฯอภิสิทธิ์ สาดเสียเทเสียถึงในประเทศไทย
     
       เขมรฮุนเซนคนนี้แหละ ที่สนับสนุนและให้ที่พักพิงกับผู้ก่อการร้ายเสื้อแดง ที่เผาเมืองไทยมาแล้ว 2 ครั้ง 2 ครา แถมยังตั้งนักโทษหน้าเหลี่ยม ให้เป็นที่ปรึกาษาของตนหน้าตาเฉยอีกด้วย
     
       เขมรฮุนเซนคนนี้แหละ ที่ไม่เคยทำดีกับชาติไทยและประชาชนคนไทยเลย? เขมรฮุนเซนจะทำดี..ก็แค่กับคนไทยหน้าเหลี่ยมและหมีควายดำใต้เท่านั้นแหละ
     
       เพราะคนไทยไม่กี่คนเหล่านั้น..คิดเพียงแค่ อย่าใส่ใจกับการเสียที่ดินแค่แมวดิ้นตายเลย มาสนใจเงินกว่า 5 ล้านๆบาท(เข้ากระเป๋าพวกมึง)ใต้ท้องทะเลไทย-กัมพูชากันดีกว่า..
     
       เขมรฮุนเซน..อ้อ..รวมทั้งคนไทยใจเขมรบางคนด้วย อย่าคิดว่าคนไทยโง่นะ..ระวัง..จะไม่มีแผ่นดินซุกหัวนะจะบอกให้!
     
       อภิสิทธิ์กับพวกจะถือฮุนเซนเป็นมหามิตรน่าคบหา..ก็เชิญเลย แต่คนไทยอย่างผม..มีมิตรอย่างฮุนเซน..ขอมีหมาหลังอานเป็นเพื่อนดีกว่า เพราะหมาซื่อสัตย์กว่าเขมรฮุนเซนครับ!


 โดย…ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย




‘ฮุนเซน’ได้หรือเสียอะไรจากการทำศึกชายแดนกับไทย โดย เซบาสเตียน สแตรงจิโอ


       Hun Sen’s war calculations
       By Sebastian Strangio
       02/05/2011
      
       เนื่องจากกัมพูชามีแสนยานุภาพทางทหารอ่อนด้อยกว่าไทยมาก ดังนั้นนายกรัฐมนตรีฮุนเซน จึงกำลังเล่มเกมที่ต้องทุ่มวางเดิมพันสูงมากทีเดียว ในการทำศึกชายแดนอย่างยืดเยื้อกับไทย การที่บุรุษเหล็กของเขมรผู้นี้ยังมีเจตนารมณ์ที่จะเสี่ยงขนาดนี้ ถึงแม้เขาสามารถยึดครองอำนาจในประเทศเอาไว้ได้อย่างเด็ดขาดสมบูรณ์อยู่แล้ว บ่งชี้ให้เห็นว่าถ้าหากเขาไม่ได้กำลังพยายามซ่อนเร้นอำพรางประเด็นปัญหาร้ายแรงภายในประเทศ ก็อาจจะกำลังวางแผนเพื่อแสดงบทบาทอันโดดเด่นในละครภายในประเทศของไทยที่กำลังคลี่คลายเผยโฉมให้เห็นอย่างน่าตื่นเต้น
      
       พนมเปญ – การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชายังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ได้มีการทำความตกลงหยุดยิงกันในสัปดาห์ที่แล้วถึง 2 ครั้ง 2 ครา แต่ก็รักษาเอาไว้ไม่ได้ ทั้งนี้นับแต่ที่การปะทะกันด้วยกำลังอาวุธและการซัลโวกันทางการทูตระลอกล่าสุดนี้เปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 22 เมษายนเป็นต้นมา ได้มีผู้ถูกสังหารเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อยที่สุด 17 คน และผู้คนอีกราว 50,000 คนจากทั้งสองฟากข้างของชายแดนต้องอพยพหนีภัย เวลานี้นักวิเคราะห์บางคนชักสงสัยว่า การต่อสู้กันอย่างยืดเยื้อเช่นนี้อาจจะขยายตัวจนกลายเป็นสงครามเต็มรูปในที่สุดก็เป็นได้
      
       เช่นเดียวกับการปะทะครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมา รัฐบาลของทั้งสองประเทศต่างกล่าวหาอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นผู้กระตุ้นยั่วยุให้เกิดการสู้รบขึ้น ในคำแถลงเมื่อวันที่ 27 เมษายน คณะรัฐมนตรีกัมพูชาได้ประณามไทยว่า แสดงพฤติการณ์ “ก้าวร้าวรุนรานอย่างโจ่งแจ้งไร้ความละอาย” ซึ่งได้ส่งผลทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาต้อง “จมอยู่ในความทุกข์ยากเดือดร้อน” ก่อนหน้านั้น 1 วัน คณะรัฐมนตรีของไทยก็ได้ผ่านมติฉบับหนึ่ง ซึ่งมอบอำนาจให้ใช้ “การตอบโต้ด้วยการปฏิบัติการทางทหาร” เพื่อผลักดันกองทหารกัมพูชาให้ออกไปจากพื้นที่ที่พิพาทกัน
      
       อาจเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะทราบว่าใครเป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน แต่กระนั้นพวกนักวิเคราะห์จำนวนมากก็เห็นพ้องกันว่า การสู้รบคราวนี้เป็นการเติบใหญ่ขยายตัวของความปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมืองในประเทศไทย โดยที่กำลังสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของกองทัพไทยที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ฐานะของตน ณ จุดศูนย์กลางของการเมืองไทย ก่อนหน้าการเลือกตั้งที่คาดกันว่าน่าจะจัดขึ้นภายในเดือนกรกฎาคมปีนี้ อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่กำลังผลักดันการตัดสินใจจากอีกฟากฝั่งหนึ่งของชายแดนนั้นดูจะมีความชัดเจนน้อยกว่า เพราะในเขมรนั้น นายกรัฐมนตรีฮุนเซน และพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People's Party หรือ CPP) ของเขา สามารถควบคุมการเมืองภายในประเทศเอาไว้ได้อย่างเด็ดขาดมาตั้งนานแล้ว
      
       ตั้งแต่ที่ฝ่ายทหารของไทยก่อการรัฐประหารโค่นล้มอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2006 บุรุษเหล็กของกัมพูชาก็ได้พยายามที่จะแสดงบทบาทอันโดดเด่นในละครภายในประเทศของไทยที่กำลังคลี่คลายเผยโฉมให้เห็นอย่างน่าตื่นเต้น ด้วยการเกี้ยวพาราสีหรือไม่ก็แสดงการอาฆาตหมายหัวประดาผู้นำทางการเมืองของไทย ที่สลับสับเปลี่ยนกันขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอย่างไม่หยุดไม่นิ่ง
      
       หลายครั้งหลายคราฮุนเซนสามารถที่จะยึดครองพื้นที่กลางเวทีเอาไว้ได้ เป็นต้นว่าในตอนที่เขาแต่งตั้งทักษิณให้เป็นที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2009 ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ที่พนมเปญมีอยู่กับกรุงเทพฯไหลรูดถลำจมสู่ระดับต่ำสุดๆ ในรอบหลายๆ ปี ในเวลาเดียวกัน มีนักวิเคราะห์บางรายคาดเดาว่า ผู้นำเขมรเจ้าเล่ห์ผู้นี้กำลังหนุนหลังทักษิณและพวกตัวแทนของทักษิณในการเลือกตั้งทั่วไปของไทยที่กำลังจะบังเกิดขึ้น ซึ่งก็คือการปูพื้นฐานสำหรับความสัมพันธ์ทวิภาคีอันมั่นคงแนบแน่นยิ่งขึ้นในเวลาต่อไปข้างหน้า
      
       นอกจากนั้น ยังเป็นที่ชัดเจนว่าฮุนเซนมีความยินดีต้อนรับความขัดแย้งซึ่งดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องกับประเทศไทย ในฐานะที่เป็นโอกาสอันดีสำหรับการรณรงค์หาความสนับสนุนให้แก่ตัวเขา ตลอดจนทำให้พวกศัตรูทางการเมืองของเขามีบทบาทความสำคัญลดด้อยถอยลงไปอีก อู วิรัก (Ou Virak) ประธานของศูนย์กลางชาวกัมพูชาเพื่อสิทธิมนุษยชน (Cambodian Center for Human Rights) ซึ่งเป็นผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองที่ตั้งฐานอยู่ในกรุงพนมเปญรายหนึ่ง ระบุว่า ปราสาทพระวิหารที่กัมพูชากับไทยกำลังช่วงชิงกัน (โดยที่ปราสาทแห่งนี้มีพลังที่จะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นชาติของกัมพูชาได้เฉกเช่นกับนครวัดทีเดียว) ได้กลายเป็นแหล่งที่มาแห่งทุนทางการเมืองจำนวนมากของฮุนเซนไปเรียบร้อยแล้ว
      
       ภายหลังที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization หรือ UNESCO ยูเนสโก) ประกาศให้ปราสาทพระวิหารได้ขึ้นบัญชีเป็นมรดกโลกในวันที่ 7 กรกฎาคม 2008 ถึงแม้ฝ่ายไทยได้พยายามคัดค้านแล้ว รัฐบาลกัมพูชาก็จัดแจงป่าวร้องอย่างเอิกเกริกถึง “ผลสำเร็จ” ของตน ด้วยการจัดฟรีคอนเสิร์ตอย่างใหญ่โตขึ้นที่สนามกีฬาโอลิมปิกในกรุงพนมเปญ กระแสความรู้สึกรักชาติเช่นนี้เองได้ขับดันให้พรรค ซีพีพี ประสบชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งระดับชาติในเดือนนั้นเอง โดยสามารถกวาดที่นั่งมาได้ 90 ที่นั่งจากจำนวน 123 ที่นั่งของทั้งสมัชชาแห่งชาติ (National Assembly) นับแต่นั้นมาภาพของปราสาทพระวิหารที่อยู่ภายใต้ธงชาติกัมพูชา ก็ได้กลายเป็นสิ่งที่สามารถพบเห็นกันได้ทั่วไปตลอดทั่วทั้งประเทศ
      
       “ฮุนเซนเล่นกับกระแสความรู้สึกชาตินิยมได้เก่งมาก และเขาก็ได้ประโยชน์ไปมากมายในช่วงการเลือกตั้งเมื่อปี 2008 และนี่คือจุดเริ่มต้น” อู วิรัก กล่าว เขาชี้ต่อไปว่า ยิ่งมีการสู้รบครั้งใหม่ๆ เกิดขึ้นคราใด ชาวกัมพูชาก็มีความโน้มเอียงที่จะ “มองไปที่บุรุษเหล็กผู้นี้” เพื่อขอการปกป้องคุ้มครองมากขึ้นเท่านั้น
      
       ผู้สังเกตการณ์บางคนเสนอแนะว่า การสู้รบดังกล่าวนี้ยังกำลังสร้างโอกาสให้แก่ฮุนเซนในการเพิ่มพูนยกระดับเกียรติภูมิทางการเมืองของ ฮุน มาเน็ต (Hun Manet) บุตรชายของเขาซึ่งมีรายงานว่า ฮุนเซน กำลังเฝ้าบ่มเพาะทนุถนอมเพื่อให้กลายเป็นพันธมิตรทางทหารผู้ทรงอำนาจของเขา ตลอดจนอาจจะเป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากเขาอีกด้วย ฮุน มาเน็ต นั้นจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกเวสต์ปอยต์ของสหรัฐฯ และในปีนี้ก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นรองผู้บัญชาการเหล่าทหารราบของกัมพูชา (commander of the Cambodian infantry) โดยที่มีรายงานว่าเขาเป็นผู้บังคับบัญชาทหารที่เขาพระวิหารในช่วงที่เกิดการปะทะกันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
      
       ยังไม่มีหลักฐานอันชัดเจนว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องในการทำศึกระลอกล่าสุด ถึงแม้ว่าหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้รายงานไว้ในวันที่ 2 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ฮุน มาเน็ต ได้พูดออกอากาศทางวิทยุในอำเภออันลองเวง (Anlong Veng) และอำเภอสำโรง (Samrong) ซึ่งอยู่ประชิดติดชายแดนกัมพูชา-ไทย เสนอให้ “บ้านและที่ดิน 5 ไร่” แก่ผู้ที่แสดงความจำนงเข้าเป็นทหารและทำการสู้รบกับไทย
      
       **แสนยานุภาพที่เหนือกว่า**
      
       เมื่อพิจารณาจากการที่ไทยมีความเหนือกว่าในทางทหารอย่างชนิดเทียบกันไม่ได้ (ในปี 2009 กรุงเทพฯใช้จ่ายงบประมาณในทางทหารเป็นมูลค่า 2,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่พนมเปญใช้จ่ายเพียง 191 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้ตามข้อมูลของสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศแห่งสต็อกโฮล์ม Stockholm International Peace Research Institute) ฮุนเซนจึงกำลังอยู่ในสภาพเดินไต่ไปบนเส้นลวดทีเดียว โดยที่ อู วิรัก ชี้ว่า นายกรัฐมนตรีกัมพูชาผู้นี้กำลังเล่ม “เกมที่มีการวางเดิมพันสูงมาก” กับประเทศเพื่อนบ้านผู้ทรงอำนาจ และต้องระมัดระวังไม่ให้สถานการณ์ชายแดนเช่นนี้บานปลายจนหลุดออกนอกเหนือการควบคุมของเขา
      
       เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สัม รังสี (Sam Rainsy) ผู้นำฝ่ายค้านที่เนรเทศตนเองไปลี้ภัยอยู่ต่างแดน ได้ออกคำแถลงฉบับหนึ่งที่ระบุว่า กัมพูชากำลังเสี่ยงที่จะต้องเผชิญศึกสงคราม เนื่องจาก “การก้าวร้าวรุกรานของประเทศไทย ผสมผสานกับการไร้ความสามารถของคณะรัฐบาลฮุนเซนในการแก้ไขความขัดแย้งทางชายแดนอย่างสันติ” ประธานของพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่ตั้งชื่อตามนามของเขาเอง นั่นคือ พรรคสัมรังสี กล่าวต่อไปว่า ความขัดแย้งที่คุกรุ่นมานานกับประเทศไทยนี้ ได้ช่วยปกปิดอำพรางประเด็นปัญหาภายในประเทศซึ่งที่จริงแล้วเป็นเรื่องเร่งด่วนร้ายแรงมากกว่า เป็นต้นว่า การละเมิดสิทธิและการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างไม่มีหยุดมีหย่อน รวมทั้งความขัดแย้งทางชายแดนกับไทยยังถูกใช้เพื่อหันเหความสนใจออกไปจากสิ่งที่สัม รังสีระบุว่าเป็นการรุกรานโดยเวียดนามตามแนวพรมแดนด้านตะวันออกของกัมพูชา
      
       “เราจักต้องไม่ยินยอมให้รัฐบาลฮุนเซนใช้ความขัดแย้งที่มีอยู่ประเทศไทยทางด้านตะวันตก มาเป็นกโลบายทางการเมืองเพื่อหันเหความสนใจและความโกรธแค้นของประชาชนชาวเขมรให้ถอยออกมาจากการก้าวร้าวรุกรานของเวียดนามในด้านตะวันออก” สัม รังสี เขียนเอาไว้เช่นนี้ ผู้นำฝ่ายค้านผู้นี้ได้ถูกศาลกัมพูชาตัดสินลงโทษจำคุกรวมทั้งสิ้น 12 ปี ด้วยข้อหาต่างๆ ซึ่งมีต้นตอจากการที่เขารณรงค์เปิดโปงสิ่งที่เขาระบุว่าเป็นการรุกล้ำดินแดนของฮานอย ที่เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูทางการเมืองของพรรค ซีพีพี มาอย่างยาวนาน
      
       อู วิรัก ยังชี้ให้เห็นปัญหาในอีกด้านหนึ่งด้วย นั่นคือ ฮุนเซน และพรรคซีพีพี กำลังกระทำสิ่งที่เสี่ยงเอามากๆ เมื่อคำนึงถึงว่าสิ่งที่พวกเขาจะได้รับตอบแทนกลับคืนมานั้นกำลังอยู่ในอัตราที่ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เหตุผลสำคัญมาจากการที่เวลานี้พรรคสามารถครองอำนาจในกัมพูชาได้อย่างเด็ดขาดอยู่แล้ว แถมฝ่ายค้านที่พวกเขาต้องรับมือก็กำลังเกิดการแตกแยกมากขึ้นทุกที รวมทั้งยังกำลังถูกคุกคามด้วยข้อกล่าวหาฟ้องร้องทางกฎหมายตลอดจนกลเม็ดเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง จนกระทั่งแทบไม่มีใครสงสัยเลยว่า พรรคซีพีพีจะต้องได้รับชัยชนะอย่างงดงามอีกในการเลือกระดับสภาท้องถิ่นในปีหน้า และการเลือกตั้งระดับชาติที่กำหนดจัดขึ้นในปี 2013
      
       พิจารณาจากการที่ฐานะทางการทหารโดยพื้นฐานของเขาเมื่อเทียบเคียงกับไทยแล้ว ต้องถือว่าอ่อนแอกว่ามาก ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจที่ในการออกมาพูดประเด็นปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา กับสาธารณชนในช่วงหลังๆ ของฮุนเซน ถึงแม้มีการใช้ถ้อยคำโวหารอันเผ็ดร้อนรุนแรงตามสไตล์ของเขา แต่ก็ผสมผสานไปด้วยข้อเสนอให้มีการเจรจากันเพื่อยุติความขัดแย้ง เป็นต้นว่า ในการกล่าวปราศรัยเมื่อวันที่ 27 เมษายน ฮุนเซนเสนอไทยให้เจรจาหยุดยิงกันในระหว่างการประชุมระดับผู้นำของสมาคมอาเซียนที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียในวันที่ 7-8 พฤษภาคมนี้ ทว่านี่ก็ไม่ได้ช่วยทำให้คำปราศรัยดังกล่าวนี้ปราศจากซึ่งคำด่าทออย่างหยาบคายต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย
      
       “ผมไม่เคยเจอนายกรัฐมนตรีไทยที่เลวร้ายเหมือนนายอภิสิทธิ์เลย เขาเป็นคนโหดเหี้ยมมาก ที่สั่งการให้โจมตีกัมพูชาและคุกคามที่จะเข้ามาควบคุมเหนือกัมพูชา” หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ (Phnom Penh Post) อ้างคำพูดของเขาเอาไว้ในรายงานข่าว จากนั้นนายกรัฐมนตรีเขมรผู้นี้ก็จบคำปราศรัยของเขาด้วยคำเตือนในรูปของคำพังเพยว่า “กัมพูชายากจนและเป็นประเทศเล็กๆ ก็จริง แต่อาวุธของเราไม่ใช่เป็นแค่หนังสติ๊ก และอย่าลืมว่ามดนั้นก็สามารถทำให้ช้างเจ็บปวดได้”
      
       ทางด้าน พวงทอง ภวัครพันธุ์ นักวิเคราะห์ซึ่งมีฐานอยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในกรุงเทพฯ ชี้ว่า ฮุนเซนยังอาจจะกำลังพยายามที่จะบังคับให้ไทยต้องยอมรับให้มีฝ่ายที่สามเข้ามาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเรื่องปราสาทพระวิหาร โดยที่จุดมุ่งหมายสูงสุดของเขานั้นอยู่ที่การหาทางป้องกันให้โบราณสถานแห่งนี้ยังคงอยู่ในบัญชีรายชื่อมรดกโลกของยูเนสโกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์เคยบอกว่า จะพยายามหาทางให้มีการเพิกถอน
      
       “ดิฉันเชื่อว่าความวิตกกังวลที่เป็นเรื่องหลักของเขาเลยก็คือ การทำให้รัฐบาลไทยยุติการแทรกแซงในเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทแห่งนี้ และในเรื่องแผนการพัฒนาพื้นที่บริเวณนี้” เธอบอก พร้อมกับเสนอแนะว่า เรื่องนี้เองยังอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ฮุนเซนแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษา ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งกันมากในคราวก่อน “เขาอาจจะเชื่อว่าตราบเท่าที่คุณอภิสิทธิ์ยังคงเป็นนายกรัฐมนตรี มันก็เป็นเรื่องยากที่กัมพูชาจะสามารถแก้ไขปัญหานี้กับไทยได้”
      
       อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนึงถึงพลังทางด้านชาตินิยมที่กำลังแสดงบทบาทอยู่ในทางฝ่ายไทยเวลานี้แล้ว กระทั่งถ้าหากมีการจัดตั้งรัฐบาลฝักใฝ่ทักษิณที่มีเสถียรภาพขึ้นมาได้สำเร็จภายหลังการเลือกตั้งที่กำลังจะจัดขึ้นมา มันก็ยังไม่น่าจะนำไปสู่การสิ้นสุดของความขัดแย้งทางชายแดนอยู่ดี พวงทองชี้ว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เป็นพวกชาตินิยมนั้นกำลังเตรียมพร้อมอยู่แล้วที่จะลงสู่ท้องถนน ถ้าหากพวกเขามองเห็นว่ารัฐบาลชุดดังกล่าวไม่ได้ทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องดินแดนไทย
      
       “ตราบใดที่การเมืองไทยยังคงมีการแตกขั้วแบ่งฝ่ายกันอย่างมากเหลือเกิน และไม่มีรัฐบาลชุดไหนเลยที่จะสามารถได้รับความไว้วางใจและความเคารพนับถือจากฝักฝ่ายทางการเมืองใหญ่ๆ ทุกๆ ฝ่ายแล้ว การที่จะหาทางแก้ไขข้อพิพาททางชายแดนนี้อย่างสันติ ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะทำได้สำเร็จ” เธอบอก
      
       เซบาสเตียน สแตรงจิโอ เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่พำนักอยู่ในกรุงพนมเปญ สามารถที่จะติดต่อเขาได้ทางอีเมล์ที่ sebastian.strangio@gmail.com.

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง