บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2554

เมื่อไหร่คนไทยจะรักและหวงแหนความเป็นไทย

 

เขมรเตรียมขึ้นทะเบียนขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี และวัดพระแก้วกับ UNESCO

ผมเจอเรื่องนี้มานาน
ตอนแรกคิดว่าคงไม่มีอะไร
แต่ไปๆมาๆชักรู้สึกเหมือนว่าคนไทยยังไม่ทราบเรื่องนี้กันเท่าไหร่
เลยขอเอามาแชร์ในบอร์ดนี้
เผื่อจะมีผู้มีกำลังพอจะช่วยกันจัดการในเรื่องนี้ได้ครับ

หลังจากที่เขมรได้ขึ้นทะเบียนรำไทย ท่าจีบไทย และหนังใหญ่ไทยกับ UNESCO ไปแล้ว ตอนนี้ทางเขมรกำลังเริ่ม

แผนฮุบวรรณคดีไทยหลายเรื่อง สถาปัตยกรรมไทย และดนตรีไทยไปเป็นของตนด้วย

รายละเอียดการขึ้นทะเบียนของ UNESCO ดูได้จากลิงค์นี้ครับ

http://www.unesco.org/culture/ich/index.php?lg=en&pg=00011#results

(เพื่อความสะดวก ให้มองลงมาหน่อยจะมีแถบสีน้ำเงินยาวๆเขียนว่า
Results : 232 element(s) Display by ...
เลือก drop down list ตรงนี้เป็น "country"
แล้วคลิกปุ่ม "OK" นะครับ จะได้ดูสะดวกกว่า)

เมื่อเลือกให้แสดงตามรายชื่อประเทศแล้ว
เลื่อนมาดูที่ประเทศ Cambodia ครับ
จะเห็นได้ว่ามี 2 อันคือ
- The Royal Ballet of Cambodia นี่คือรำไทยและท่าจีบไทย
- Sbek Thom, Khmer Shadow Theatre นี่คือหนังใหญ่ของไทย

เห็นอย่างนี้แล้วคนไทยอย่างเราๆรู้สึกยังไงกันบ้างครับ
ที่รำไทย ดนตรีไทย และหนังใหญ่ของไทยแท้ๆ
ที่ครูบาอาจารย์โบราณไทย รวมถึงท่านครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะ
อุตส่าห์ไปสอนให้ถึงราชสำนักเขมรในช่วงเพียงร้อยปีที่ผ่านมานี้
ถูกเขมรเอาไปขึ้นทะเบียนให้โลกรับรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของกัมพูชาไปอย่างหน้าด้านๆ

ของหลักๆที่เขมรกำลังจะโขมยไทยไปอีกตอนนี้ก็คือ
- ดนตรีไทย เช่น ระนาด จะเข้ ขิม
- วรรณคดีไทย เช่น ขุนช้างขุนแผน พระอภัยมณี
- สถาปัตยกรรมไทย เช่น วัดพระแก้ว เรือนไทย ลายไทยต่างๆ
เบ็ดเตล็ดต่างๆอีกก็เช่น มวยไทย เลขไทย คำราชาศัพท์ ฯลฯ

และเขมรไม่พอแค่นี้
เนื่องด้วยเขมรมีแผนระยะยาวที่จะทำให้ประเทศตน
ซึ่งคงไม่มีวันจะได้เป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจแน่ๆ
กลับไปเอาดีทางด้านวัฒนธรรมแทน
โดยการจะทำให้เขมรเป็นประเทศศูนย์กลาง
ทางวัฒนธรรมของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตอนนี้เขมรเริ่มการบ่อนทำลายด้วยการปั่นกระแส
โกหกและเปลี่ยนประวัุติศาสตร์อย่างหน้าด้านๆ
โดยการกล่าวหาว่าไทยเป็นคนก๊อปปี้รำไทย ดนตรีไทย และวรรณคดีไทย ไปจากเขมร
รวมถึงวรรณดคีและสถานที่ต่างๆเช่นวัดพระแก้ว หรือพระบรมมหาราขวังไทยด้วย
พวกนี้จะมากันเป็นแก๊งค์ครับ ยากมากที่จะเถียงสู้
ด้วยคนไทยเพียงคนหรือสองคน


วิธีการก็คือ
พวกเขมรจะเข้าไปในคลิปพวกรำไทย ดนตรีไทย
แล้วจะคอมเมนต์แนวๆว่า
- เขมรแต่งมาก่อน ไทยก๊อปปี้เขมรไป
- อาณาจักรเขมรมีมาก่อนไทยในภูมิภาคนี้ใครๆก็รู้
- ตอนที่ไทยตีนครวัดได้ ไทยกวาดศิลปินนักดนตรีนางรำเขมรไป
- ไทยเป็นเมืองทาสเขมร สุโขไททรยศเขมรโขมยสมบัติวัฒนธรรมเขมรไปหมด
- ไทยนั่นแหละเรียนรำกับดนตรีมาจากเขมร เพราะเขมรมีมาก่อนตั้งเป็นพันปีมาแล้ว
- เขมรไม่ยอมรับว่าเคยเป็นเมืองขึ้นของไทยเลย
- เขมรไม่ยอมรับว่าไทยยกเขมรให้กับฝรั่งเศส แต่ตกเป็นของฝรั่งเศสเองต่างหาก
ฯลฯ

กระแสการโกหก เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ศิลปะไทย-เขมรนี้
จะเห็นได้ชัดเจนและรุนแรงมากจากเว็บไซต์ youtube.com
ท่านใดที่เล่นเว็บนี้ และติดตามคลิปวัฒนธรรมไทยน่าจะได้เจออยู่แล้ว


มีอีกลิงค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ผมเคยพบมา
ลองไปดูประกอบได้ครับ

http://forum.khonkaenlink.info/index.php?topic=100716.0


อันว่ารำไทยและดนตรีไทย (รำเขมร) นั้นเดิมมาเขมรมิได้มีแต่อย่างใด
แต่เพิ่งมีขึ้นในยุครัตนโกสินทร์ ช่วงประมาณ 140 ปีที่แล้วนี่เอง
(หากไปดูในคลิปแนะนำของ UNESCO จะทราบได้เลยว่า
ชาวตะวันตกยังเข้าใจผิดกันอยู่
เพราะในเนื้อหาบอกว่าเป็นรำที่อยู่คู่กับราชสำนักเขมรมามากกว่าพันปี
ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เลย
เพราะเขมรเพิ่งเรียนไปจากไทยแค่ร้อยกว่าปีเท่านั้น
คือพอเรียนได้ไม่นาน ฝรั่งเศสก็เข้ายึกเขมรพอดี
เลยทำให้รำเขมรที่เพิ่งเรียนจากไทยเป็นที่รู้จักแก่โลก
ผ่านทางเขมรไปเสียชิบ)

สมัยที่นักองด้วง เจ้าชายเขมรที่ถูกส่งตัวมาเป็นเชลยหลวงในราขสำนักไทย
ได้ร่ำเรียนภาษาไทย วรรณคดีไทย ดนตรีไทย สถาปัตยกรรมไทยไปมากมาย
มีความนิยมชมชอบและให้ค่าสิ่งต่างๆที่เป็นของไทยเป็นอย่างมาก
(เช่นเดียวกับพม่าที่ให้ค่ากับสิ่งต่างๆ
ที่มาจากโยเดีย(อโยธยา)เป็นอย่างมากเช่นกัน)
ได้ครบวาระกลับไปเป็นกษัตรย์ครองเมืองเขมรแล้ว
ก็ได้กลับไปพร้อมทั้งได้นำศิลปวัฒนธรรมไทยต่างๆ
ไปเผยแพร่และใช้ในเขมรด้วย
แม้แต่เครื่องราชกกุฎภัณฑ์ยังสร้างและส่งไปจากไทย

นักองด้วงได้นำวรรณคดีหลายเรื่องเขียนใหม่เป็นภาษาเขมร
สร้างวัดและวังใหม่โดยใช้สถาปัตยกรรมไทยทั้งดุ้น
ที่สำคัญก็คือราชวังและวัดพระแก้ว
เอ๊ะ ! ฟังผิดหรือเปล่า

ไม่ผิดครับ พระราชวังในพนมเปญก็มีวัดพระแก้วอยู่ด้วยเหมือนของไทย !!!!!
แถมขื่อวัดก็ยังชื่อว่า "วัดพระแก้ว" หรือตามสำเนียงเขมรว่า Wat Phreah Keo
เรียกว่าก๊อปปี้ไทยไปทั้งกระบิ

ใครไม่เคยทราบหรือไม่เคยเห็นวัดพระแก้วและพระราชวังเขมร
ที่ก๊อปจากพระบรมมหาราชวังกับวัดพระแก้วของไทยไป
ก็เข้าไปดูได้ในลิงค์นี้ครับ

พระราขวังพนมเปญ (สถาปัตยกรรมไทย ก๊อปไทยไปทั้งดุ้น)
http://en.wikipedia.org/wiki/Royal_Palace,_Phnom_Penh

วัดพระแก้วเขมร (นิยมเรียกว่า Silver Pagoda แต่ชื่อเต็มคือ พระวิหารพระแก้วมรกต)
http://en.wikipedia.org/wiki/Silver_Pagoda,_Phnom_Penh

ทั้งพระราชวังและวัดพระแก้วของเขมรมันก๊อปปี้ไปจากไทยชัดเจนขนาดนี้
เขมรมันยังกล้ากล่าวหาว่านี่คือสถาปัตยกรรมเขมรได้เลยนะครับ
ดูความหน้าด้าน + หน้าโง่ของเขมรสิครับ
แยกยังไม่ออกเลยว่าศิลปะไทยกับศิลปะเขมรมันต่างกันยังไง
กล้ามากขนาดระบุเอาไว้ใน Wikipedia (ดูได้จากลิงค์ข้างบน) ว่า
พระราชวังเขมรมี Architectural style เป็น Architecture of Cambodia (fail มากๆ)
เขมรกล้าทำได้ทุกอย่างจริงๆ

สมัยสุโขทัยนั้นยอดปราสาทไทยยังนิยมใช้แบบยอดปรางค์ (ยอดแบบเขมร) อยู่
แต่พอเข้าสมัยอยุธยา ยอดปราสาทไทยก็เริ่มเปลี่ยนจากยอดปรางค์
ไปเป็นยอดมณฑปหรือยอดปราสาท ซึ่งเป็นศิลปไทยบริสุทธิ์แล้ว
แต่เขมรยังใช้ยอดปรางค์อยู่
แต่ดูราชวังเขมรกับวัดพระแก้วเขมรสิครับ
อยู่ดีๆโดดมาใช้ยอดปราสาทแบบไทยดื้อๆ ไม่มีความเขื่อมต่อแม้แต่น้อย
ยังกล้าบอกว่ามันเป็นต้นฉบับได้ เวรของกรรรมของเวรอีกทีจริงๆ

แต่ ...
สิ่งสำคัญก็คือ นักองด้วงได้ขอร้องทางราชสำนักไทย
ให้ช่วยส่งครูละคร ครูดนตรีไปฝึกสอนให้ที่ราขนำนักเขมรด้วย
จากความสัมพันธ์อันดีที่ไทยมีต่อนักองด้วย
เนื่องจากไทยเราก็ได้เลี้ยงนักองด้วยมาตั้งแต่เล็กๆ
จึงได้ส่งครูนาฏศิลป์ดนตรีไปฝึกสอนถึงราชนำนักเขมรให้ตามที่ขอ
ตั้งแต่นั้น เขมรก็จึงได้มีนาฏศิลป์และดนตรีไว้ในวังของตนเสียที
หลังจากนั้นก็ได้มีครูไทยไปสอนอีกหลายครั้งหลายครา
ครั้งสำคัญอีกครั้งก็เป็นครั้งที่องค์หญิงฉวีวาดท่านป้าของ มรว.คึกฤทธิ์
ยกละครไปทั้งโรง หนีพระราขอาญาไปพึ่งราชสำนักเขมร

ท่านครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะของเรา
ก็เคยได้ไปสอนที่ราชสำนักเขมรเข่นกันตามที่ทุกท่านทราบกันดี
กลับมาท่านก็ได้แต่งเพลงนกเขาขแมร์ไว้เป็นที่ระลึกด้วยไงครับ

เขมรเรียกเพลงเครื่องสายว่า "มโหรี" เหมือนไทย
และเรียกเพลงปี่พาทย์ว่า Pleng Siem (เพลงสยาม)
ซึ่งก็คือเพลงที่มาจากสยามนั่นเอง

ชื่อเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ในรำเขมรก็ยังคงเรียกตามชื่อไทย เช่น
เพลงเสมอ เพลงพัดชา เพลงโล้ เพลงกลม เพลงกราวใน
เพลงเชิด เพลงสีนวล เพลงเร็ว ฯลฯ
เขมรยังคงเรียกเป็นชื่อไทยเด๊ะๆอย่างที่ไทยเรียกนี้เลยครับ
90% ของเพลงปี่พาทย์เขมร ยังคงเรียกด้วยชื่อไทย
และที่สำคัญคือ คำต่างๆเหล่านี้ไม่มีความหมายในภาษาเขมร

อาจมีบางเพลงที่เขมรเปลี่ยนไปเรียกด้วยคำเขมรเอง
อย่างเช่นเพลงพญาเดิน ก็เรียกเป็น "พอเนียแดร์" แทน
ซึ่งก็ยังคงแปลว่าพญาเดินเหมือนคำไทยเดิม

สิ่งสำคัญอย่างนึงก็คือวงปี่พาทย์เขมรไม่มีตะโพนครับ
คาดว่าเป็นกลองศักดิ์สิทธิ์ ตียาก
สมองมันยังไม่มีบารมีพอจะรับได้
ที่ไทยเคยสอนไว้เมื่อร้อยกว่าปีก่อนก็เลยสูยหายไปไม่เหลือมาถึงปัจจุบัน
หรืออาจเป็นกุศโลบายของอาจารย์ไทยสมัยก่อน
ที่อาจเล็งเห็นอะไรบางอย่างท่านเลยไม่สอนตะโพนให้พวกเขมร

เขมรมีแต่ละครใน
รำหลายๆอย่างก็ยังเรียกเป็นขื่อไทยอยู่
ที่สำคัญๆก็อย่างเข่นรำฉุยฉาย นี่เรียกว่า Chhuy Chai เลยเด๊ะๆ
ร้องออกฉุยฉายอย่างไทยเด๊ะๆอีกต่างหาก เซิร์ชหาดูได้มากมายใน youtube.com
แถมมีการใช้ปี่ว่าดอกฉุยฉายด้วยนะ ก๊อปไทยไปทั้งดุ้น

เขมรไม่มีโขน
แต่ปัจจุบันเริ่มจะทำให้มันมีขึ้นมาแล้ว
ด้วยการหัดใหม่โดยการมาก๊อปปี้โขนไปจากไทยช่วงไม่กี่สิบปีนี้มาเอง
เมื่อครั้งโน้นครูไทยไม่ได้ถ่ายทอดโขนไว้ให้เขมร สอนให้แต่ละครใน
ลองไปดูโขนเขมรสิครับ ง่อยมากๆ
ยิ่งกว่าเด็กเพิ่งหัดโขนขึ้นไปเล่นอีก ดูตอนแรกนึกว่าจำอวด

แม้แต่ธรรมเนียมในการเรียนรำ หรือการไหว้ครู ก็เป็นอย่างไทยเด๊ะๆ
ในวิทยาลัยนาฏศิลป์เขมร ก็จะนุ่งผ้าแดงเรียนกันเหมือนไทยเปี๊ยบ
พิธีไหว้ครู ก็ตั้งเครื่องตั้งสำรับอย่างไทย แต่งกายอย่างไทย
มีองค์ประธานอย่างไทย แต่งตัวเรียกเพลง ขั้นตอนต่างๆเหมือนกันเด๊ะๆ
คือถ้าประธานพิธีไม่พูดเขมรออกมา ก็ไม่รู้หรอกครับว่านี่เป็นพิธีไหว้ครูนาฏศิลป์ของเขมร


ส่วนระบำอัปสรา ที่เข้าใจผิดกันนักกันหนาว่านี่แหละเขมรแท้ๆ
ก็ไม่ใช่รำเขมรครับ
มันคือรำไทยนี่แหละครับ

ระบำอัปสราเป็นระบำที่เพิ่งคิดขึ้นมาใหม่เมื่อประมาณ 60 ปีก่อนนี้เอง
รำครั้งแรกโดยเจ้าหญิงบุพผาเทวี
โดยใช้ท่ารำต่างๆอย่างรำไทยทั้งหมด
เพียงแต่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่
โดยออกแบบขึ้นมาใหม่ด้วยการเลียนแบบจากภาพสลักบนกำแพงนครวัด
ดังนั้นระบำอัปสรามันก็คือ รำไทยดีๆนี่เอง
เพียงแต่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่คล้ายๆกับระบำโบราณคดีเท่านั้น
เพลงที่ใช้ประกอบระบำอัปสราเรียงตามลำดับ ดังนี้ครับ

เริ่มด้วย
- สีนวล
ต่อด้วย
- ต้นฉิ่ง (ไม่แน่ใจว่าใช่ "ต้นเพลงฉิ่ง" หรือเปล่า)
- เสมอ
- รัว
- จีนหลวง
แล้วจบด้วย
- เชิด

ท่านใดสนใจดูระบำอัปสราว่ามีความเป็นไทยขนาดไหน
(ไม่มีความเป็นเขมรเลย
มีความเป็นไทยมากกว่าระบำลพบุรีของเราเสียอีกครับ)
ดูได้จากลิงค์นี้ครับ
(คลิปนี้ดีมากครับ เป็นของอาจารย์คนไทย
ท่านกำกับภาษาไทยอธิบายไว้ด้วยอย่างดี)

http://www.youtube.com/watch?v=FCjv0iAUCTo


อย่าประมาทนะครับเรื่องการโกหกและการปั่นกระแสนี้
เขมรเก่งเรื่องนี้มากๆ
และก็ด้วยวิธีการโกหก เปลี่ยนประวัติศาสตร์
เปลี่ยนแปลงเอกสารสำคัญต่างๆอย่างง่ายๆนี่
ก็หลอกพวกชาวตะวันตกให้หลงเชื่อได้เป็นวรรคเป็นเวร
จนขโมยเอารำไทย หนังใหญ่ รวมถึงเขาพระวิหารไปได้อย่างเป็นทางการ
ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว

น้ำเซาะหินทุกวันยังกร่อน
ดังนั้นการที่พวกเขมรมาโหมกล่าวหาไทยอย่างนี้
โดยไม่มีการคัดค้านจากคนไทยเลย
นานวันเข้า ชาวต่างชาติมาเห็นเข้า
ก็จะโอนเอนไปตามที่พวกเขมรมันโพสต์เอาไว้
และเข้าใจมาวัฒนธรรมไทยต่างๆเหล่านั้นเป็นของเขมรไปจริงๆนะครับ

บางท่านอาจจะขำที่พระอภัยมณี หรือขุนช้างขุนแผน
ที่มีชื่อตัวละครเป็นคำไทยแท้ๆ และคนแต่งมีระบุชัดเจนเป็นคนไทยแท้อย่างนี้
เขมรจะเอาไปขึ้นทะเบียนเป็นของตนไม่ได้นะครับ
เพราะก็อย่างที่เห็นอยู่ รำไทย หนังใหญ่ไทยแท้ๆ
ไหนจะเขาพระวิหารที่อยู่บนภูเขาที่ต้องอ้อมมาขึ้นจากทางฝั่งไทยเท่านั้น
เขมรมันก็เอาได้ไปจริงๆแล้วนะครับ

เพราะงั้น ผมไม่อยากให้ "ดนตรีไทย" "วรรณคดีไทย" "สถาปัตยกรรมไทย" ฯลฯ
จะต้องกลายไปเป็นของที่ชาวโลกรับรู้ว่าเป็นของเขมรแล้วไทยก๊อปปี้ไปเลยนะครับ
ผมขอฝากท่านทั้งหลายที่มีความรู้ความสามารถ
รวมทั้งกำลังอำนาจพอจะช่วยยื่นมือเข้าไปจัดการได้
ช่วยกันอย่าให้วัฒนธรรมอันมีค่าของไทย
ขึ้นชื่อว่าเป็นของต่างชาติเลยครับ
สงสารวิญญาณครูบาอาจารย์ท่าน
ที่อุตส่าห์คิดค้นสั่งสมกันมาหลายร้อยปีหลายชั่วอายุคน
แล้วอยู่ดีๆโดนเขมรมันชุบมือเปิบไปหน้าตาเฉย

ท่านที่ต้องการเข้าไปอ่าน comment ว่าคนไทยเถียงกับคนเขมรแบบไหน
และคนเขมรมันโกหกและยืนยันความเท็จลวงโลกยังไง
ลองเข้าไปดูได้ตามลิงค์นี้ครับ
ผมเอามาให้ดูเป็นกรณีตัวอย่างในแต่ละหัวข้อ

รำไทย (อันนี้ยาวและดุเดือดมากๆ)
http://www.youtube.com/watch?v=6IF9OrqHwJU

ดนตรีไทย (อันนี้ก็มันส์)
http://www.youtube.com/watch?v=_vQ4ObfAHFY

ขุนช้างขุนแผน
http://www.youtube.com/watch?v=sDvKHOG4xRA

พระอภัยมณี
http://www.youtube.com/watch?v=T23k8DfRQHg


ข้อเสียเปรียบสำคัญประการนึงก็คือ
คนไทยที่มีพอจะมีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ใช้ภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่อง
ที่มีก็น้อยมาก ไม่อาจสู้กองทัพเขมรพวกนี้ได้ไหว
เพราะคนเขมรนั้นใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่อยู่แล้ว
เนื่องจากเขมรพวกนี้เป็นเขมรอพยพที่อยู่ในต่างประเทศ
ตามประเทศต่างๆที่มีค่ายผู้อพยพชาวเขมรอย่าง USA ฝรั่งเศส แคนาดา ฯลฯ
เขมรในกัมพูชาไม่ค่อยมาเถียงหรอกครับ เพราะมันก็ใช้ภาษาอังกฤษไม่คล่องเหมือนกัน
ดังนั้นคนไทยเราจึงเสียเปรียบมาก
เพราะภาษาที่ใช้สื่อสารกันและชาวต่างชาติรับรู้ได้คือภาษาอังกฤษเท่านั้น


สุดท้ายที่อยากจะฝากคือ นอกจากเราจะอนุรักษ์ให้ดนตรีนาฏศิลป์ไทย
อยู่คู่กับสังคมไทยภายในประเทศแล้ว
อย่างลืมที่จะต้องเผยแพร่ออกสู่สายตาของประเทศต่างๆด้วยนะครับ
เพื่อให้ชาวโลกได้ติดหูติดตาว่าดนตรีอย่างนี้ รำอย่างนี้คือไทย
ไม่ใช่เก็บไว้ชื่นชมเองแต่ในประเทศ
แต่พอรู้ตัวอีกที ชาวโลกเค้ารับรู้กันไปแล้วว่าดนตรีอย่างนี้ รำอย่างนี้เป็นของเขมรไป
ถึงวันนั้นแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรได้แล้วนะครับ
-----------------------------------------------------------------

ผมได้รับลิ๊งจากอาจารย์ที่เคารพท่านหนึ่ง
อ่านแล้ว ตกใจมากๆ
เราควรจับมือกันหาทางต้านภัยวัฒนธรรมกับพวกนี้
อย่างน้อย เอาที่เหลือทั้งหมด (ที่ยังไม่โดนมันเอาไป)
เอาไปขึ้นทะเบียนเสียให้เรียบร้อย มันจะได้ฮุบไปขึ้นทะเบียนไม่ได้ เพราะจะซ้ำซ้อนกัน
แต่คนไทย  ก็ไม่ค่อยจะทันเขาหรอกครับ
เพราะชอบนิ่งนอนใจว่ามันเป็นของเราอยู่วันยันค่ำ
มัวแต่ตีกันเองอยู่น่ะแหละ คงจะสนุกกว่าเป็นไหนๆ
เข้าทำนองข้าศึกยกทัพจะเข้าตี แต่ชาวเมืองยังแย่งหม้อข้าวเดือดกันเองอยู่
(ไม่อยากจะว่าเลย...แต่นี่คือเรื่องจริง)

อนาคตการเลือกตั้งครั้งหน้า โดย พท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี สมาชิกสภาพัฒนาการเมือง

ข้อเสนอโดย พท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี สมาชิกสภาพัฒนาการเมือง
อนาคตการเลือกตั้งครั้งหน้า
คง หนีไม่พ้นที่ต้องนำเอาปัญหา เรื่องการเสียดินแดนครั้งนี้มาเป็นตัวชี้วัด มาเป็นปัจจัยนำ เพื่อชี้ให้เห็นว่า หากจะมีการเลือกตั้งขึ้นอีก ประชาชนจะพอฝากความหวังไว้ที่ใคร? พรรคการเมืองใด? ที่จะสามารถแก้ปัญหาใหญ่โตที่ว่านี้ได้ ในเมื่อ ปชป.เองก็เป็นผู้ก่อปัญหานี้มาอย่างต่อเนื่อง พรรค พท.เองก็มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับเรื่องนี้ด้วย เช่นนี้แล้วถ้ามองไม่เห็นใครหน้าไหนที่จะแก้ปัญหาเดียวนี้ได้ ก็คงต้องตั้งคำถามกันต่อว่า แล้วจะเลือกตั้งกันไปทำไม?เพื่ออะไร? ที่เป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานอันชอบธรรมของประชาชนในอันที่จะเลือก ซึ่งควรมีความสำคัญมากกว่า ตัวบทกฎหมายที่เพียงบังคับให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของปวงชน
ประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจเลิกชอบ · · เลิกติดตามติดตาม
  • Chonnapat รักในหลวง , Amy Wong, พลาย ชุมพลและคนอื่นอีก 3 คนถูกใจสิ่งนี้

    • Wirunrong Butlek เมื่อระบอบพรรคการเมืองเน่า ทำไมต้องเอาของเน่ามาพิจารณา
      ประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจเลิกชอบ

    • Wirunrong Butlek โอกาสดีๆอย่างนี้ ดี่ที่สุด คนไทยทำได้ด้วยตนเอง
      ประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว · ถูกใจเลิกชอบ

    • กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี พุทธทาสภิกขุ ”ความโง่เขลาของพลเมืองที่ไร้ศิลธรรมนั่นแหละจะทำลายชาติ หาใช่ศัตรูภายนอกไปเสียทั้ง
      หมดไม่”
      พระบรมราโชวาท เมื่อ 11 ธันวาคม 2512 “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช้การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริม ความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อน วุ่นวายได้”
      ข้อเสนอต่อรัฐบาลจากการจัด ห้าเวที เพื่อปฏิรูปประเทศไทย
      1 ปฎิรูปคนไทย ปฏิรูปประชาชน เป็นวาระแห่งชาติ
      1.1 จัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาศักยภาพมนุษยแห่งชาติ เพื่อปฏิรูปคนไทย ให้เป็นคนดี มีศิลธรรม มีจิตอาสา มีศักยภาพ โดยมีคณะอนุกรรมการแบ่งย่อย เป็น
      1.1.1 คณะอนุกรรมการพัฒนาให้คนไทย มีจริยะธรรม รักชาติ เสียสละ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยมีผู้แทนทุกศาสนา ร่วมกับนักวิชาการ นักจิตวิทยา
      1.1.2 คณะอนุกรรมการพัฒนาเยาวชน ให้มีศักยภาพ มีความสุข มีคู่มือเยาวชน มีคู่มือพัฒนาศักยภาพ พ่อแม่ คู่มือการสอนให้เด็กคิดเป็นมีทักษะชีวิต คณะกรรมการมาจากจิตแพทย์ ประสาทแพทย์ กุมารแพทย์ นักการศึกษา สร้างกระแสเลี้ยงดูบุตรที่ถ ูกทาง โดย เริ่มต้นจากตนเอง และทุก ครอบครัว และทุกคนเริ่มแก้ไขตนเอง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ดูแลลูกหลาน
      1. 2 ขอ ฟรีทีวี ช่อง11 วันละ 1ชั่วโมง อบรม ประชาชน ข้าราชการ เรื่องศิลธรรม จริยธรรม กฎหมาย ความรู้เรื่องการเลี้ยงดูเด ็ก และความรู้อื่นๆ โดยสื่อมวลชน องค์กรทุกองค์กรร่วมมือกัน เรื่องสร้างคนดีมีจิตอาสา รู้เท่าทัน
      1.3 ปฏิรูปการศึกษา เน้นเด็กดี มีคุณธรรม จริยธรรม รู้จักหน้าที่ มีจิตอาสา มีองค์กรทางศาสนาเข้ามามีส่วนร่วม มีความโปร่งใส มีส่วนร่วมทั้งจากประชาชน และข้าราชการใน หน่วยงาน มีการวางระบบให้เด็กไม่ต้องกวด วิชามาก และ เรียนอย่างมีความสุข แก้ไขโครงสร้าง หลักสูตรการเรียนการสอน มีหลักสูตรแกนกลาง และมีหลักสูตรให้เลือกเสรี สายอาชีพไม่จำเป็นต้องเรียน สายสามัญ จำนวนมาก
      จัดตั้ง คณะกรรมการปฏิรูปการศึกษา ภาค ประชาชน ที่ทำเพื่อเด็กอย่างจริงใจ โดยมีคณะอนุกรรมการปรับลดหล ักสูตรการศึกษา ที่มีคณะกรรมการจากคนนอก และเยาวชน ร่วมปรับลดหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน
      2 ปฏิรูประบบการเมือง
      2.1 การได้มาซึ่งผู้บริหารประเทศ เลือกตั้งคณะผู้บริหารประเทศ ครม ตัวแทนองค์กรอิสระจากประชาชนโดยตรง ที่มาองค์กรอิสระ ต้องให้ผู้แทนศาสนา หรือ ประชาชน ร่วมกันเลือก 2.2 ตั้งคณะกรรมการปรับปรุงเกณฑ์การเลือกตั้ง ปรับระบบการลงคะแนนใหม่ แก้ไขเกณฑ์การเลือกตั้ง ใช้เงินน้อยๆ สนับสนุนงบประมาณ ต่อเครือข่ายภาคประชาชนร่วมตรวจสอบ มี พรบ. ตรวจสอบการเลือกตั้ง เพื่อป้องกันการโกงคะแนน ให้ได้คนดีเข้าสภา มีการลงลายชื่อผู้สมัครทุกคน ในใบลงคะแนนทุกใบกันบัตรผี และ ใครโกงการเลือกตั้งหรือซื้อ สิทธิ์ขายเสียง ห้ามเล่นการเมืองตลอดชีวิต รวมถึงเครือญาติ ที่ปรึกษา
      2.3 ส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง การรวมตัวของประชาชน รัฐบาลเงา กองทุนสนับสนุนภาคประชาสังคม และสถานที่ ราชการหน่วยงานรัฐ สนับสนุนการพัฒนาการเมือง และภาระกิจของสภาพัฒนาการเม ือง ไม่ว่าการสนับสนุน สื่อ ต่างๆ และงบประมาณแผ่นดิน ตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายสภาพัฒนาการเมือง พศ 2550
      2.4 รัฐบาลประกาศให้ทุกหน่วยงาน รัฐรวมองค์กรอิสระ กระบวนการยุติธรรม มีตัวชี้วัดประชาธิปไตย และธรรมาภิบาล
      2.5 การกระจายอำนาจ สู่ท้องถิ่น พร้อมทีมนักวิชาการ ที่ปรึกษา โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในก ารดำเนินการ
      2.6 แยกอำนาจบริหารออกจาก นิติบัญญัติ ตุลาการ เลือกตั้งนายก ครม.โดยตรง
      3 ปฏิรูป กระบวนการยุติธรรม ศาล ตำรวจ เรือนจำ อัยการ กฎหมาย มีคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 84มีภาคประชาชนร่วมด้วย มีระบบลูกขุนในการตัดสิน ยกเลิกกฎหมายละเมิดสิทธิประ ชาชน
      ปฏิรูปสื่อ ขอเวลาสื่อทีวีหนึ่งช่อง ช่อง11 เพื่อให้ความรู้ประชาชนทุกด้าน มีกฎหมายคุ้มครองและควบคุมสื่อ สื่อที่เสนอสู่ประชาชนขอให้ แสดงถึงความรักชาติเสียสละ หรือสอดแทรกความรู้ประชาชน
      5 ปฏิรูประบบตรวจสอบ องค์กรอิสระ ที่มาของตัวแทน ต้องมีคุณงามความดีไม่ต่ำกว่า 10 ปี ที่โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ทุกหน่วยงาน และให้ผู้แทนศาสนามาเป็นผู้เลือก และ มีแรงจูงใจให้ประชาชน ร่วมตรวจสอบ ติดตามเป็นรางวัลช่วยจับคนโกง ตุลาการ ศาล ตัวแทนองค์กรอิสระ ตำรวจ อัยการ ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน มีรางวัลนำจับคนโกง คดีของแผ่นดินไม่หมดอายุความ
      6 ปฏิรูประบบราชการ มีตัวชี้วัดธรรมาภิบาล ในทุกหน่วยงาน ของรัฐ และองค์กรอิสระ ศาล

      ที่ผานมามีการเลือกตั้งทั้งหมด 22 ครั้งปฎิวัติเพราะคอรัปชั่น 30ครั้ง คนตายไปเท่าไรแต่ประเทศไม่ดีขึ้น เพราะเกณฑ์เลือกตั้งมีปัญหา ให้คนโกง หรือ ใช้เงินมากๆ เข้าสภา
      สรุปปัญหาไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายแต่อยู่ ที่คน (ในเรื่องการปฏิรูปการเลือกตั้ง) จึงอยากเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ปฏิรูปการเลือกตั้งโดยแก้กฎหมายเลือกตั้งแต่ เพียงที่จำเป็น (วิธีลงคะแนน ) และส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการเลือกต ั้งให้มากที่สุด
      ขอเรียนชิญร่วมกันรณรงค์ให้ เกิดขึ้นจริง www.thammapiban.com,
      เฟสบุค เลือกตั้งโปร่งใส สร้างคนดีปกครองบ้านเมือง
      รวบรวม โดย พท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี สมาชิกสภาพัฒนาการเมือง thai9lee@gmail.com kamolpar@yahoo.com 20 กย 53 www.pdc.go.th, www.thammapiban.com
      แก้ไขเกณฑ์ เลือกตั้งใหม่ สาระสำคัญคือ
      ระยะเร่งด่วนทำได้เลย ระยะยาว ตั้งคณะกรรมการ แก้ไขดังต่อไปนี้
      1 มีรางวัลให้จับคนโกง ซื้อสิทธิ์ขายเสียง ผลิตบัตรปลอม ใส่บัตรผี เช่นมีรางวัล 5ล้าน แบ่งเป็นผู้แจ้งเบาะแส 2ล้าน ตำรวจ 3 ล้าน ปิดเป็นความลับ
      เงินรางวัลมาจากผู้สมัครที่โกงหรือซื้อเสียง 1 นักการเมืองที่โกงการเลือกตั้งซื้อสิทธิ์ ขายเสียง ให้กำจัดสิทธิ์ ลงเลือกตั้ง 10 ปี รวมทั้งครอบครัว และ ที่ปรึกษา ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด (เหมือนญี่ปุ่นติดคุกทุกคน) ผู้ฝ่าฝืนจะถูกจับเป็นคดีอา ญา
      2 ให้มีการลงลายชื่อ ของของตัวแทนผู้สมัครทุกพรรค ทุกคน หรือ ให้มีการทำเครื่องหมาย ในบัตรลงคะแนนทุกใบ ในเขตของตนเอง เพื่อป้องกันการสับเปลี่ยนบัตร หีบบัตร หรือบัตรผี 2 ผู้มีสิทธิลงคะแนนต้องเป็นผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป เพราะถือว่าคนเอเชียอายุ 18 ปียังขอเงินพ่อแม่ยังไม่มี วุฒิภาวะที่จะไปเลือกนักการเมืองที่ดีมาปกครองบ้านเมือ งได้
      3 ให้มีงบประมาณสำหรับเครือข่ายภาคประชาชนร่วมตรวจสอบการเลือกตั้ง เพื่อป้องกันการโกงคะแนน และการรับรององค์กรให้มีความรวดเร็วภายในสองเดือน หลังยื่นหนังสือ ขอรับรอง ให้ลงคะแนนโดยเรียงละดับควา มต้องการเช่น เขียนอันดับ1,2,3 ของผู้รับเลือกตั้ง
      4 ปิดหีบแล้วให้นับคะแนนหน้าหน่วยเลือกตั้ง ไม่มีการเคลื่อนย้ายหีบบัตร ก่อนนับคะแนน และแจ้งคะแนนไว้ทุกหน่วยเลื อกตั้งหลังนับคะแนน เพื่อป้องกันการโกงคะแนน เพิ่ม ส.ส.สัดส่วนมากกว่า ส.สเขต
      สส. สัดส่วน แข่งกันด้วยนโยบาย
      ส่วน สส.แบบเขตเป็น สส.ที่แข่งกันด้วยตัวบุคคล
      5 มีกล้อง บันทึกเทปวีดีโอเวลานับคะแนนทุกหน่วยแล้วประกาศคะแนนหน ้าหน่วย
      ให้มีศาลเลือกตั้ง คดีเลือกตั้ง เป็นคดีอาญายอมความไม่ได้กา รพิจารณาของทุกศาลจักต้อง ไม่เกิน 100วัน ไม่ว่าศาลชั้นต้น อุทธรณ์ ฏีกา
      6 งบหาเสียงเลือกตั้งไม่เกิน หนึ่งแสนบาทต่อครั้งต่อคน รวมถึงผู้ว่า ราชการ กทม การแจ้งความที่ไหนก็ได้
      7 ห้ามสื่อเชียร์หรือเสนอข่าวคนใดคนหนึ่งมากกว่าผู้อื่นๆ เพื่อป้องกันการสร้างกระแสให้เลือกคนใดคนหนึ่งที่นายทุ นกำหนด หน่วยเลือกตั้ง 7 เลือกตั้งคณะผู้บริหาร ครม. นายกฯ และ ตุลาการ ตัวแทนองค์กรอิสระ กกต โดยตรงจากประชาชน
      8 ยกเลิก เลือกตั้งล่วงหน้า เพราะมีโอกาสไม่โปร่งใสสูง 8 เลื่อนตัวผู้สมัครรองลงไปเมื่อผู้ได้คะแนนนำถูกใบแดง โดยไม่ต้องเลือกตั้งใหม่ แต่ปรับผู้โกงคะแนนด้วย

MOU 43

ผมเห็นว่า ก่อนจะแสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับกลุ่มพันธมิตร

ที่พยายามบังคับให้รัฐบาลยกเลิก MOU 2543 ที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลกัมพูชา

เราควรจะได้อ่าน MOU ฉบับบี้ให้เข้าใจอย่างน้อย 1 รอบ


MOU  (Memorandum  of  understanding ) บันทึกความเข้าใจ

ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา

ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ลงนามร่วมกันโดย

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์  บริพัตร รมต.ช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย

กับนาย วาร์ คิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลผู้รับผิดชอบกิจการชายแดนแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 ขึ้นต้นว่า

รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และราชอาณาจักรกัมพูชา

ปรารถนาที่จะกระชับความผูกพันแห่งมิตรภาพระหว่างประเทศทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

อ่านช้าๆให้เข้าใจ ก่อนดีกว่าครับ

ส่วนจะมีความเห็นว่าควรยกเลิก(ตามกลุ่มคนดีสีเหลือง พันธมิตร)

หรือไม่ยกเลิกตามความเห็นของรัฐบาล ค่อยตัดสินใจอีกที

อย่างน้อยก็ได้ใช้สติปัญญาให้เต็มที่ก่อนตัดสินใจ






รู้เท่าทันกระบวนการรับรองแผนที่ 1: 200,000

รู้เท่าทันกระบวนการรับรองแผนที่ 1: 200,000

          สืบ เนื่องจากอาทิตย์ที่ผ่านมา (5-12 ตุลาคม 2552) นักวิชาการภาคประชาชนได้ค้นพบประเด็นสำคัญที่สุดประเด็นหนึ่งคือ พบว่ารัฐสภาไทยได้มีมติเห็นชอบ “กรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา และกลไกอื่นๆภายใต้กรอบนี้” ตั้งแต่การประชุมร่วมสมัยสามัญนิติบัญญัติ เมื่อ 28 ตุลาคม พ.ศ.2551 โดยภายใต้กรอบนั้น มีการกำหนดแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา ที่ทำขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 อยู่ด้วย และหนึ่งในนั้น มีการระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าให้ใช้แผนที่ 1:200,000 เป็นหลักฐานในการพิจารณาจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา
         หลังจากการค้นพบประเด็นนี้ ทำให้ภาคประชาชนตระหนักว่า เรื่อง นี้เป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติไทย ที่ถือว่าเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยไปในทางมิชอบ ซึ่งแม้จะเป็นมติข้างมาก แต่ก็มิได้สอดคล้องกับประชามติตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  จึงได้มีการเสนอความจริงเรื่องนี้สู่สาธารณะอย่างกว้างขวาง  และนำเสนอต่อรัฐบาลและรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2552 เพื่อให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาและความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน
         อันที่จริง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ หากยังจำกันได้ ตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายน 2551 ปีที่แล้ว กระทรวงการต่างประเทศได้ทำสมุดปกขาวชื่อ “กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก” โดยให้ข้อมูลลักษณะนี้ต่อประชาชน โดยอ้างว่า “การปักปันเขตแดนบริเวณเขาพระวิหารยังไม่แล้วเสร็จ” ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วเสร็จไปแล้ว, “แผนที่1:200,000เป็นแผนที่ของคณะกรรมการปักปันสยาม-ฝรั่งเศส” ทั้งๆที่ไม่ใช่และสามารถโต้แย้งได้ และ “มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่10 กรกฎาคม พ.ศ.2505 เป็นการกำหนดเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหาร” ทั้งที่เป็นเพียงการกำหนดเขตบริเวณ เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้ ถูกโต้แย้งมาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว โดยภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทเขาพระวิหาร เพราะหากเชื่อ/ยึดถือตามนี้ ประเทศไทยจะถูกทำให้เสียเปรียบทุกประตู และถือว่าเป็นการบิดเบือนความจริงที่ไม่มีคนไทยคนไหนที่รู้เรื่องจะยอมรับ ได้ แต่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องนับตั้งแต่รัฐบาลลงมาก็ไม่เคยมีการชี้แจงให้ กระจ่างและไม่เคยมีการแก้ไขความผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว กระบวนการต่างๆยังคงถูกดึงดันลากถูเรื่อยมา จนกระทั่งหลักฐานต่างๆเริ่มมาปรากฏชัด
         จนถึงล่าสุด คือ เมื่อ นายวศิน ธีรเวชญาณ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ และประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC) ฝ่ายไทย ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในงานเสวนาเรื่อง “รู้ลึกข้อเท็จจริงเขตแดนทางบกและทางทะเลไทย-กัมพูชา” เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2552 ที่จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศ โดยได้ให้เหตุผลในลักษณะเดียวกัน ถึงเรื่องที่ต้องบรรจุแผนที่ 1: 200,000 เอาไว้ในแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ของเจบีซี ซึ่งสื่อนำมาสรุปเป็นประเด็นได้ว่า
  1. เป็นแผนที่ที่เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนผสมสยาม-ฝรั่งเศส ซึ่งตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่5
  2. รัฐบาลสยามได้ขอร้องให้ฝรั่งเศสจัดพิมพ์แผนที่ฉบับนี้ขึ้น
  3. แผนที่ดังกล่าวผูกพันประเทศไทยตามคำตัดสินของศาลโลก คดีปราสาทพระวิหาร
และข้าพเจ้าได้เคยอธิบายข้อเท็จจริงเพื่อโต้แย้งเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว แต่จะขอนำมาปัดฝุ่นทบทวนกันอีกครั้งว่า
แผนที่ 1: 200,000           1) เป็นแผนที่ที่เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนผสมสยาม-ฝรั่งเศส ซึ่งตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่5

ข้อเท็จจริง
เป็นผู้จัดทำขึ้นฝ่ายเดียว โดยไม่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส ตามสนธิสัญญา ค.ศ.1904 แต่อย่างใด เนื่องจากแผนที่ฉบับนี้ถูกพิมพ์ขึ้นที่กรุงปารีส ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1907 แต่คณะกรรมการผสมชุดดังกล่าวได้ยุบเลิกไปก่อนหน้านั้นตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1907 และคณะกรรมการปักปันผสมชุดนี้ ไม่มีหน้าที่หรือไม่ปรากฏว่ามีคำสั่งให้ทำแผนที่ฉบับนี้ขึ้น จึงไม่มีส่วนรับรู้ในการทำแผนที่ฉบับดังกล่าว ดังนั้น ย่อมไม่สามารถที่จะกล่าวว่าแผนที่ฉบับนี้(1:200,000) เป็นแผนที่ของคณะกรรมการปักปันสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904            แผนที่ของกัมพูชา มาตราส่วน 1:200,000 ดังกล่าวเป็นแผนที่ซึ่ง
           ข้อเท็จจริงข้างต้นที่กล่าวมานี้ ต่อมาได้รับการยืนยันอย่างหนักแน่นจากผู้พิพากษาศาลโลกถึง 4 ท่าน และหนึ่งในนั้นคือ เซอร์ เจรัลด์ ฟิทซ์มอริส ซึ่งแม้ว่าจะพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาด้วยเหตุผลอื่นก็ตาม แต่ก็ได้ยอมรับต่อความจริงในข้อนี้ว่า แผนที่ 1: 200,000 ของกัมพูชา ไม่ใช่ผลงานของคณะกรรมการปักปันผสมสยาม-ฝรั่งเศส ดังจะขอยกข้อความช่วงหนึ่งมาให้ดู ดังนี้
          “...แต่ เมื่อสรุปแล้วที่แน่นอนมีอยู่เพียงเรื่องเดียว คือแผนที่ภาคผนวก1 นั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายแผนที่ของฝรั่งเศสเป็นผู้ทำขึ้นที่กรุงปารีสเมื่อเดือน พฤศจิกายน ค.ศ.1907 และแผนที่นี้คณะกรรมการผสมไม่เคยได้เห็น ( อย่าว่าแต่จะได้เห็นชอบหรือรับเอาเลย) และคณะกรรมการผสมนี้ปรากฏว่าได้ยุติการปฏิบัติงานไปโดยสิ้นเชิงในราวเดือน กุมภาพันธ์ของปีนั้น...ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าประเทศไทยเป็นฝ่ายได้รับความ สำเร็จสำหรับตอนนี้ของคดี...จะต้องถือว่าแผนที่นี้ทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียวโดยแท้ ไม่ผูกพันประเทศไทยแต่อย่างใด...”(อ้าง คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร )

          2) ประเด็นที่อ้างว่ารัฐบาลสยามได้ขอร้องให้ฝรั่งเศสจัดพิมพ์แผนที่ฉบับนี้ขึ้น

ข้อเท็จจริง
          รัฐบาล สยามในสมัยนั้น ได้ขอร้องให้ฝรั่งเศส จัดพิมพ์แผนที่นี้ขึ้นก็ไม่เป็นความจริง เนื่องจากรัฐบาลสยามไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับการพิมพ์แผนที่ขึ้น และแม้จะร้องขอหรือไม่ก็ตาม ฝรั่งเศสก็จงใจจัดพิมพ์แผนที่ขึ้นอยู่แล้ว เป็นแต่ว่า ในภายหลังที่ได้เห็นแผนที่ดังกล่าวแล้ว รัฐบาลสยามได้ขอให้ฝรั่งเศสจัดส่งแผนที่มาให้เพิ่มเติม โดยที่ยังไม่ทราบข้อบกพร่องของแผนที่นั้น ซึ่งปรากฏเป็นเพียงจุดเล็กๆบนแผนที่จำนวนหลายระวาง จึงไม่ได้โต้แย้งใดๆ   ซึ่ง ด้วยเหตุผลเรื่องการรับเอาแผนที่มาใช้โดยไม่มีการโต้แย้งเพียงเท่านี้เอง ที่ต่อมาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก ใช้เป็นเหตุผลหลักในการตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา
              
แผนที่ดังกล่าวผูกพันประเทศไทยตามคำตัดสินของศาลโลก คดีปราสาทพระวิหาร          3)

ข้อเท็จจริง
เหตุผลเพราะว่า คำตัดสินอันถือเป็นที่สิ้นสุดและต้องปฏิบัติตามนั้น คือคำตัดสินสุดท้าย (final judgment)  ซึ่งศาลตัดสินให้           ที่อ้างว่า แผนที่ฉบับนี้ผูกพันประเทศไทยตามคำตัดสินของศาลโลก คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505 นั้น ข้าพเจ้าอยากเรียนยืนยันถึงข้อเท็จจริงอีกชุดหนึ่งว่า
  1. ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา
  2. ประเทศไทยต้องถอนกำลังทหาร ตำรวจ หรือยาม ออกจากบริเวณปราสาทพระวิหาร
  3. ประเทศไทยต้องส่งคืนโบราณวัตถุที่นำออกไปจากปราสาทพระวิหารคืนให้แก่กัมพูชา
  4. ศาลโลกไม่ได้ติดสินรับรองสถานะของแผนที่ฉบับนี้ว่าเป็นแผนที่ของคณะกรรมการปักปันผสมสยามฝรั่งเศส และ
  5. ศาลไม่ได้ติดสินว่าเส้นเขตแดนที่ปรากฏบนแผนที่ฉบับนี้เป็นเส้นเขตแดนที่ถูกต้องระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา
          ประเทศ ไทยจึงได้ส่งคืนตัวปราสาทพร้อมทั้งกำหนดบริเวณเพื่อจะให้กัมพูชาได้มี อธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารตามคำตัดสินแล้วตั้งแต่ พ.ศ.2505 จึงถือว่าไม่มีพันธกรณีใดๆอีกแล้ว ที่ไทยจะต้องปฏิบัติตามอีก และนับตั้งแต่ได้ค้นพบความผิดพลาดของแผนที่ 1:200,000 เป็นต้นมา ประเทศไทยก็ไม่เคยยอมรับแผนที่ฉบับดังกล่าวอีก  ดัง นั้น การดำเนินการใดๆ ของรัฐบาลและข้าราชการในปัจจุบัน ที่เป็นการกลับไปยอมรับแผนที่ฉบับนี้อีกครั้ง ย่อมเป็นความผิดและเป็นความรับผิดของผู้ที่เกี่ยวข้องในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ความผิดของคนในอดีต
                ข้อมูลต่างๆปรากฏชัดเจนอย่างนี้ หากรัฐสภาไทยไม่ยกเลิกเพิกถอนมติรัฐสภา วันที่ 28 ตุลาคม 2551 และการกระทำใดๆ ที่มีการยอมรับแผนที่ฝรั่งเศส 1:200,000 ทั้งก่อนหน้าและภายหลัง ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา  และหากรัฐสภาให้การรับรองร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย – กัมพูชา จากผลการประชุมเจรจาของ JBC  หลังวันที่ 28 ตุลาคม 2551 เมื่อไหร่ ความผิดสถานเดียวคือ เจตนาแบ่งแยกราชอาณาจักรไทย

ประกาสิทธิ์ แก้วมงคล 
ผู้ช่วยวิจัย สถาบันไทยคดีศึกษา

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง