เอแบคโพลได้เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง การตัดสินใจของคนไทยเมื่อถึงเวลาที่จะต้องเลือก ศึกษาจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัด จำนวน 2,113 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 10-12 มีนาคม 2554 พบว่า เมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ตั้งใจจะเลือกหากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง ร้อยละ 58.6 ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใด ขณะที่ร้อยละ 17.5 จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 16.2 จะเลือกพรรคเพื่อไทย และ ร้อยละ 7.7 จะเลือกพรรคการเมืองอื่นๆ
เทียบกับผลสำรวจเมื่อเดือนกันยายน 2553 ด้วยคำถามเดียวกัน ประชาชนร้อยละ 50.7 จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ประชาชนร้อยละ 33 จะเลือกพรรคเพื่อไทย ประชาชนร้อยละ 16.3 จะเลือกพรรคการเมืองอื่นๆ
ไม่น่าเชื่อว่าช่วงเวลาประมาณ 6 เดือน พรรคประชาธิปัตย์จะมีคะแนนความนิยมจากร้อยละ 50.7 ลดลงมาเหลือร้อยละ 17.7 ในขณะที่พรรคเพื่อไทยคะแนนนิยมลดลงเช่นกันจากร้อยละ 33 ลดลงเหลือร้อยละ 16.2 ในขณะที่คะแนนที่จะเลือกพรรคการเมืองอื่นๆก็ลดลงเช่นกันจากร้อยละ 16.3 เหลือ ร้อยละ 7.7
แต่ที่น่าสนใจก็ตรงที่มีประชาชนร้อยละ 58.6 ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใด !!!?
สรุปได้ว่าประชาชนมีความรู้สึก “ลังเล” มากขึ้นกับพรรคการเมืองที่เคยเชื่อมั่นไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองในพรรคหลักอย่าง พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย หรือพรรคอื่นๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อมั่นลดลง และตัวเลขที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใดพุ่งทะยานสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เป็นไปได้ว่าเหตุที่ประชาชนมีความ “ลังเล” ที่ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใดพุ่งทะยานขึ้น ก็น่าจะเป็นเพราะความเสื่อมต่อนักการเมืองและพรรคการเมืองในระบบทั้งหมดในเวลานี้
นักการเมืองที่ผ่านมาหลายปีล้วนแล้วแต่เข้ามาโกงบ้านกินเมือง ไร้จริยธรรม ลุแก่อำนาจ จนไม่สามารถจะเป็นความหวังให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นผลสำรวจว่าประชาชนในช่วงนี้ส่วนใหญ่ยังไม่ตัดสินใจที่จะเลือกพรรคการเมืองใด
ผลการสำรวจของมหาวิทยาลัยกรุงเทพหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ปรากฏว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ไว้วางใจต่อนักการเมือง”ทุกคน”ที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ได้แก่ ไม่ไว้วางใจ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นากยรัฐมนตรี ร้อยละ 57.2, ไม่ไว้วางใจนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร้อยละ 53.2, ไม่ไว้วางใจนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 55.1, ไม่ไว้วางใจนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ ร้อยละ 56.1, ไม่ไว้วางใจนายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 62.5, ไม่ไว้วางใจ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร้อยละ 65.6, ไม่ไว้วางใจนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร้อยละ 68.6, ไม่ไว้วางใจนายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร้อยละ 69.6, ไม่ไว้วางใจ นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร้อยละ 70.3, ไม่ไว้วางใจนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ร้อยละ 70.9 แต่เสียงในสภากับไว้วางใจตามครรลองน้ำเน่าในระบบรัฐสภา ที่ยึดถือกฎเกณฑ์ที่เอาพวกมากลากไป คนที่ประชาชนมีความเคลือบแคลงสงสัยมากเกือบที่สุดกลับมีคะแนนไว้วางใจในสภามากที่สุด
แน่นอนว่าสำหรับผู้ชุมนุมที่เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทยในการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน นั้นประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่าการเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกในการแก้ไขวิกฤตของบ้านเมือง เพราะการเลือกตั้งเป็นการตอบโจทย์สำหรับนักเลือกตั้งในระบบที่อยู่ในวังวนเดิมๆ คนหน้าเดิมๆ เพียงแต่สลับกันเป็นรัฐบาลและผูกขาดการเข้าสู่อำนาจอยู่กับคนเพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น
แต่ถ้ากลุ่มประชาชนมีความรู้สึกเบื่อและเชื่อว่าการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบเสียแล้ว ก็จะทำให้มีประชาชนเริ่มคิดและคาดหวังมากขึ้นว่าต้องการหาทางออกทางอื่นเพื่อนำไปสู่คำตอบที่ดีกว่าการเลือกตั้ง อย่างน้อยก็ดีกว่าอยู่เฉยๆเพื่อรอการเลือกตั้งครั้งใหม่ ที่จะมีแต่การทุจริตซื้อเสียงเลือกตั้งอย่างมโหฬาร และทำให้ได้นักการเมืองโกงชาติบ้านเมืองกลับเข้ามาอีกเหมือนเดิม
อย่างน้อยหลายปีมานี้ประเทศไทยได้ผ่านการรัฐประหาร นักการเมืองในระบอบทักษิณ และนักการเมืองย้ายข้างเปลี่ยนขั้วประชาธิปัตย์ ต่างไม่ใช่คำตอบในการปฏิรูปประเทศไทยได้แม้แต่น้อย
มีหลายคนคิดพยายามทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองเพื่อให้นักการเมืองในระบบเว้นวรรคช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อให้มีคณะบุคคลเข้ามารื้อปรับฐานรากของประเทศไทยเสียใหม่ นั่นหมายถึงว่าไม่มีการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นจริง เชื่อว่าถึงเวลานั้นจะมีคนออกมาเลือกเป็น 3 แนวทางคือ
แนวทางที่หนึ่ง เลือกพรรคการเมืองขั้วหนึ่งเพราะกลัวนักการเมืองอีกขั้วหนึ่งจะขึ้นสู่อำนาจ
แนวทางที่สอง คือเลือกพรรคการเมืองอื่นๆ รวมถึงพรรคการเมืองที่เพิ่งตั้งใหม่เพื่อทดลองดู เช่น พรรคการเมืองใหม่ พรรคประชาสันติ ฯลฯ
แนวทางที่สาม คือเลือกแต่กากบาทลงในช่องไม่ลงคะแนนให้พรรคการเมืองใด หรือที่เรียกว่า Vote No ซึ่งต่างจาก No Vote ซึ่งหมายถึงประชาชนไม่ไปใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้ง
ที่น่าสนใจ ก็คือแนวทางที่สามนั้นถึงวันและเวลาการเลือกตั้งจริงๆตัวเลขจะยังคงอยู่ที่ตัวเลขร้อยละ 58.6 เหมือนผลสำรวจหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเวลา ปัจจัย และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
จริงอยู่ว่า Vote No ไม่ได้มีผลเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใด นอกจากจะไปตัดคะแนนพรรคการเมืองบางพรรคเท่านั้น
แต่ถ้า Vote No มีจำนวนมาก จะมีความหมายว่าประชาชนพร้อมใจกันสั่งสอนนักการเมืองว่ามีประชาชนจำนวนมากรังเกียจนักการเมืองในระบบนี้ ที่กี่ครั้งกี่หนก็ไม่เคยเป็นที่พึ่งให้กับประชาชนได้อย่างแท้จริง มีแต่จะมาโกงกินบ้านเมืองให้กับตัวเองและพวกพ้อง
ถ้า Vote No มีมากพอ และมีมากเกินคาด นั่นหมายถึงว่าประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลง และต้องการปฏิรูปประเทศจำนวนมากอย่างเร่งด่วน ก็จะสามารถสร้างความมั่นใจที่จะรวมตัวกันเข้าชื่อเพื่อการปฏิรูปการเมืองในอนาคต ซึ่งรวมถึง แก้ไขรัฐธรรมนูญ แก้ไขหรือเสนอกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ กฎหมายที่ล้าสมัยและเอาเปรียบประชาชน ซึ่งเป็นลักษณะการปฏิรูปการเมืองจากประชาชน
จริงอยู่ที่ว่าสุดท้ายการปฏิรูปการเมืองก็ต้องไปอาศัยมือของนักการเมืองในรัฐสภาเพื่อยกมือให้ความเห็นชอบอยู่ดี แต่ถ้า Vote No มีมากพอ และมีมากเกินคาดและสามารถจุดประกายความคิดและความหวังในการปฏิรูปการเมืองโดยประชาชนแล้ว ก็จะเป็นแรงผลักดันให้นักการเมืองต้องถูกแรงกดดันจากประชาชนบังคับให้นักการเมืองเหล่านี้ต้องเปลี่ยนแปลง
การประกาศรณรงค์ Vote No กันมากๆ แม้จะเป็นเกมที่ต้องใช้เวลายาว และดูยากเย็นแสนเข็ญ แต่ถ้าคนคิดอย่างนี้กันมากๆก็จะกลายเป็นกระแสที่ปฏิเสธในการเลือกตั้งในระบบเดิมๆ ที่อาจทำให้คนที่มีส่วนสำคัญและตัดสินใจพิจารณาเพื่อทำให้เกิด “สุญญากาศทางการเมือง”เริ่มคิดเพื่อเข้ามาจัดการเพื่อให้การเมืองในระบบปัจจุบัน "เว้นวรรค”เพื่อการปฏิรูปการเมืองอย่างแท้จริงเสียตั้งแต่วันนี้โดยไม่ต้องรอกระบวนการอย่างยาวนานหลังการ Vote No
Vote No ครั้งนี้ หากมีการรณรงค์กันอย่างจริงจัง ก็จะไม่ใช่การรณรงค์ Vote No แบบลอยๆ แต่เป็นการ “Vote No เพื่อส่งสัญญาณการปฏิรูปการเมือง”
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554
TOR INDONESIA ฉบับเต็มพร้อมจดหมายนำส่ง กระทรวงบัวแก้วบัวทองปิดบังประชาชน
โดย Thepmontri Limpaphayom เมื่อ 8 เมษายน 2011 เวลา 12:19 น.
เรียนเพื่อนทุกท่าน
กระทรวงบัวแก้วบัวทองปิดบังประชาชนก็ไม่เป็นไร หามาให้เพื่อนๆแล้ว อันนี้สมบูรณ์สุด ช่วยกันพิจารณาครับ
MINISER FOR FOREIGN AFFAIRS
REPUBLIC OF INDONESIA
Jakarta, February 2011
Excellencies,
I would like to once again thank Your Excellencies for making possible the positive results of the informal ASEAN Foreign Ministers’ Meeting in Jakarta, 22 February 2011.
As a follow up to the said meeting, and in accordance with the “Statement by Chairman of the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) following the Informal Meeting of the Foreign Ministers of ASEAN, Jakarta, 22 February 2011”, I have the honour to submit herewith:
It is my sincere hope, in view of the importance of the subject matter, that I can receive the views of Cambodia and Thailand on the said drafts at the earliest opportunity to be reflected in a subsequent draft. I shall only initiate the process of exchange of letters once agreement has been reached between all three countries, namely: Cambodia, Indonesia and Thailand.
Meanwhile, I should like to inform Your Excellencies that Indonesia has initiated the national preparation for the assignment of the aforementioned observers.
Please accept, Excellencies, the assurances of my highest consideration.
Dr. R.M. Marty M. Natalegawa
His Excellency
Mr.Kasit Piromya
Minister o Foreign Affairs
Kingdom of Thailand
BANGKOK
His Excellency
Mr. Hor Namhong
Deputy Prime Minister,
Minister for Foreign Affairs and International Cooperation
Kingdom of Cambodia
PHNOM PENH
Jakarta, February 2011
I have the honor to refer to the Statement by the Chairman of the Association o Southeast Asian Nations (ASEAN) following the Informal Meeting of the Foreign Minister of ASEAN, Jakarta, 22 February 2011, which inter alia,
Welcome in this regard, the invitation by both Cambodia and Thailand for observers from Indonesia. Current Chair of ASEAN, to respective side of the affected areas of the Cambodia-Thailand border. To observe the commitment by both sides to avoid further armed clashes between them, with the following basic mandate:
“to assist and support the parties in respecting their commitment to avoid further armed clashes between them, by observing and reporting accurately, as well as impartially on complaints of violations and submitting its findings to each party through Indonesia, current Chair of ASEAN”
In this connection, I have the further honor to propose Terms of Reference on the Deployment of the Indonesia Observer Team (IOT) in the affected areas of the Cambodia-Thailand Border as annexed.
I wish also to inform you that I am simultaneously submitting an identical letter attaching the afore-mentioned Terms of Reference to the Deputy Prime Minister and Foreign Minister of the Kingdom of Cambodia, H.E. Mr.Hor Namhong.
I would be grateful should you confirm, on behalf of the Government of the Kingdom of Thailand, your acceptance of the provisions of The Terms of Reference and also confirm your understanding hat this letter and its annex, together with your reply, shall constitute a legally binding instrument among the Government of the Kingdom of Cambodia.
The Terms of Reference shall come into effect on the date upon which Indonesia receives communication from the latest party confirming its agreement to the Term of Reference. which I shall subsequently notify both parties on the entry into force of the Term of Reference.
Please accept, Excellency, The assurance of my highest consideration.
“ASEAN Community in a Global Community of Nations”
ANNEX
TERMS OF REFERENCE
OBJECTIVE
In accordance with the Statement by the Chairman of the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) following the Informal Meeting of the Foreign Ministers of ASEAN, Jakarta, 22 February 2011 :
“To assist and support the parties in respecting their commitment to avoid further armed clashes between them, by observing and reporting accurately, as well as impartially on complaints of violations and submitting its finding to each party through Indonesia, current Chair of ASEAN”;
COMPOSITION
The Indonesian Observers Team (IOT) shall consist of thirty military personnel and civilian officers of the Government of The Republic of Indonesia.
The thirty-member IOT shall be composed and deployed in the following manner;
STATUS
The IOT personnel shall have privileges duly accorded to Resident Diplomatic Representatives.
Page 1 of 3
AREA OF COVERGE
The area of coverage of the IOT-C shall be the Cambodian side of the affected areas of the Cambodia-Thai border, namely :[TO BE INSERTED]
The area of coverage of the IOT-T shall be the Thai side of the affected areas of the Thai-Cambodia border, namely :[TO BE INSERTED]
ROLE AND RESPONSIBILITY
The IOT personnel shall:
REPORTING
Page 2 of 3
ADMINISTRATIVE AND SUPPORT ARRANGMENTS
The parties shall provide:
The Terms of mandate shall be [TO BE INSERTED] months from the date of the coming into effect of the present Terms of Reference and may be amended with the agreement of all three parties concerned.
The implementation of the IOT Terms of Reference shall be reviewed on a [TO BE INSERTED] monthly basis.
TERMINATION AND/OR SUPENSION
The Indonesian Government may cease or suspend the performance of the functions with due notice to the parties in the event of;
DR.R.M. Marty M.Natalegawa
H.E. Mr.Kasit Piromya
Minister for Foreign Affairs
The Kingdom of Thailand
ON THE DEPLOYMENT OF THE INDONESISN OBSEVERS TEAM( IOT) IN THE
AFFECTED AREAS OF THE CAMBODIA-THAILAND BORDER
TOR 46
กระทรวงบัวแก้วบัวทองปิดบังประชาชนก็ไม่เป็นไร หามาให้เพื่อนๆแล้ว อันนี้สมบูรณ์สุด ช่วยกันพิจารณาครับ
MINISER FOR FOREIGN AFFAIRS
REPUBLIC OF INDONESIA
Jakarta, February 2011
Excellencies,
I would like to once again thank Your Excellencies for making possible the positive results of the informal ASEAN Foreign Ministers’ Meeting in Jakarta, 22 February 2011.
As a follow up to the said meeting, and in accordance with the “Statement by Chairman of the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) following the Informal Meeting of the Foreign Ministers of ASEAN, Jakarta, 22 February 2011”, I have the honour to submit herewith:
- Draft Letter presenting the Terms of Reference on the Deployment of the Indonesian Observers Team(IOT) in the Affected Areas of the Cambodia-Thailand Border;
- Annex to the Draft letter, namely the Terms of Reference on the Deployment of the Indonesian Observers Team(IOT) in the Affected Areas of the Cambodia-Thailand Border.
It is my sincere hope, in view of the importance of the subject matter, that I can receive the views of Cambodia and Thailand on the said drafts at the earliest opportunity to be reflected in a subsequent draft. I shall only initiate the process of exchange of letters once agreement has been reached between all three countries, namely: Cambodia, Indonesia and Thailand.
Meanwhile, I should like to inform Your Excellencies that Indonesia has initiated the national preparation for the assignment of the aforementioned observers.
Please accept, Excellencies, the assurances of my highest consideration.
Dr. R.M. Marty M. Natalegawa
His Excellency
Mr.Kasit Piromya
Minister o Foreign Affairs
Kingdom of Thailand
BANGKOK
His Excellency
Mr. Hor Namhong
Deputy Prime Minister,
Minister for Foreign Affairs and International Cooperation
Kingdom of Cambodia
PHNOM PENH
Jakarta, February 2011
I have the honor to refer to the Statement by the Chairman of the Association o Southeast Asian Nations (ASEAN) following the Informal Meeting of the Foreign Minister of ASEAN, Jakarta, 22 February 2011, which inter alia,
Welcome in this regard, the invitation by both Cambodia and Thailand for observers from Indonesia. Current Chair of ASEAN, to respective side of the affected areas of the Cambodia-Thailand border. To observe the commitment by both sides to avoid further armed clashes between them, with the following basic mandate:
“to assist and support the parties in respecting their commitment to avoid further armed clashes between them, by observing and reporting accurately, as well as impartially on complaints of violations and submitting its findings to each party through Indonesia, current Chair of ASEAN”
In this connection, I have the further honor to propose Terms of Reference on the Deployment of the Indonesia Observer Team (IOT) in the affected areas of the Cambodia-Thailand Border as annexed.
I wish also to inform you that I am simultaneously submitting an identical letter attaching the afore-mentioned Terms of Reference to the Deputy Prime Minister and Foreign Minister of the Kingdom of Cambodia, H.E. Mr.Hor Namhong.
I would be grateful should you confirm, on behalf of the Government of the Kingdom of Thailand, your acceptance of the provisions of The Terms of Reference and also confirm your understanding hat this letter and its annex, together with your reply, shall constitute a legally binding instrument among the Government of the Kingdom of Cambodia.
The Terms of Reference shall come into effect on the date upon which Indonesia receives communication from the latest party confirming its agreement to the Term of Reference. which I shall subsequently notify both parties on the entry into force of the Term of Reference.
Please accept, Excellency, The assurance of my highest consideration.
“ASEAN Community in a Global Community of Nations”
ANNEX
TERMS OF REFERENCE
OBJECTIVE
In accordance with the Statement by the Chairman of the Association of Southeast Asian Nations (ASEAN) following the Informal Meeting of the Foreign Ministers of ASEAN, Jakarta, 22 February 2011 :
“To assist and support the parties in respecting their commitment to avoid further armed clashes between them, by observing and reporting accurately, as well as impartially on complaints of violations and submitting its finding to each party through Indonesia, current Chair of ASEAN”;
COMPOSITION
The Indonesian Observers Team (IOT) shall consist of thirty military personnel and civilian officers of the Government of The Republic of Indonesia.
The thirty-member IOT shall be composed and deployed in the following manner;
- Fifteen observer (Indonesian Observers Team-Cambodia (IOT-C) shall be deployed on the Cambodian side of the affected areas of the Cambodia-Thai border;
- Fifteen observer (Indonesian Observers Team-Thailand (IOT-T) shall be deployed on the Thai side of the affected areas of the Thai-Cambodia border.
STATUS
The IOT personnel shall have privileges duly accorded to Resident Diplomatic Representatives.
Page 1 of 3
AREA OF COVERGE
The area of coverage of the IOT-C shall be the Cambodian side of the affected areas of the Cambodia-Thai border, namely :[TO BE INSERTED]
The area of coverage of the IOT-T shall be the Thai side of the affected areas of the Thai-Cambodia border, namely :[TO BE INSERTED]
ROLE AND RESPONSIBILITY
The IOT personnel shall:
- Observe and monitor the ceasefire as agreed by the parties;
- Conduct field verification to validate any report of violations of ceasefire as agreed by the parties;
- Coordinate closely with the parties in the conduct of field verification and validation of reported any violations to the ceasefire as agreed by the parties;
- Maintain strict impartiality, objectivity, and independence in the conduct of their mandate and tasks, and shall respect the national laws and regulations of the Kingdom of Cambodia(for IOT-C personnel) and the Kingdom of Thailand (for IOT-T personnel);
- In carrying out their mission, refrain from any activities not compatible with its nature and purpose;
- Hold regular consultations and meeting with the parties in order to resolve any problems in the performance of its function;
- Not to carry arms and be in uniform with identifying insignia.
- Assume full responsibility for the security of the IOT personnel deployed in the mission;
- Take all necessary measures for the protection, safety and security of the IOT personnel;
- Ensure free movement throughout the area of coverage in the performance of the IOT’s function;
- Promptly provide safe passage in the event of evacuation of mission from the area of coverage.
REPORTING
- The IOT shall render daily report to Indonesia, current Chair of ASEAN;
Page 2 of 3
- The IOT shall verify and render immediate report of violations of the ceasefire, as agreed by the parties and other matters requiring urgent attention by Indonesia, current Chair of ASEAN.
ADMINISTRATIVE AND SUPPORT ARRANGMENTS
The parties shall provide:
- Adequate quarters, communication support and facilities;
- Appropriate air and land transportation with pilot/driver;
- Liaison officers and mobile teams to facilitate coordination.
- Salaries and allowances;
- Transportation cost to the capital of the parties while transportation to the border areas shall be shouldered by the respective parties.
The Terms of mandate shall be [TO BE INSERTED] months from the date of the coming into effect of the present Terms of Reference and may be amended with the agreement of all three parties concerned.
The implementation of the IOT Terms of Reference shall be reviewed on a [TO BE INSERTED] monthly basis.
TERMINATION AND/OR SUPENSION
The Indonesian Government may cease or suspend the performance of the functions with due notice to the parties in the event of;
- The field situation mounts to endangering and threatening the life to the Indonesia observers;
- The parties fail to fulfill their commitments and responsibilities to the ceasefire process as stipulated in the Terms of Reference ; or
- The parties deliberately ignore to take action on any of its recommendation on violations of ceasefire
DR.R.M. Marty M.Natalegawa
H.E. Mr.Kasit Piromya
Minister for Foreign Affairs
The Kingdom of Thailand
ON THE DEPLOYMENT OF THE INDONESISN OBSEVERS TEAM( IOT) IN THE
AFFECTED AREAS OF THE CAMBODIA-THAILAND BORDER
เลือกตั้งอีกแล้ว เลือกแล้วจะได้อะไร
เลือกตั้งอีกแล้ว เลือกแล้วจะได้อะไร (เฉลิมชัย ยอดมาลัย)
เคยมีใครตั้งคำถามและค้นหาคำตอบอย่างจริงจังบ้างไหมว่า หน้าที่หลักของ ส.ส.คืออะไร เหตุผลที่ถามคำถามง่าย ๆ เช่นนี้ก็เพราะผู้เขียนตระหนักดีว่า คนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยยังไม่รู้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่า ส.ส.มีหน้าที่อะไร
หลายคนนึกว่า ส.ส.มีหน้าที่ฝากลูกหลานของหัวคะแนนเข้าเรียนหนังสือและเข้าทำงานในรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานราชการต่าง ๆ บางคนก็เข้าใจว่า ส.ส.มีไว้เพื่อให้เชิญไปเป็นประธานในพิธีเผาศพ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า บวชนาค แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่
แต่ในยุคหลัง ๆ กลับมีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า ส.ส.คือกลุ่มมาเฟียในหนังตลก เนื่องจากกิริยา วาจาและทางท่าของส.ส.ที่ปรากฏในสภานั้น เกือบจะไม่แตกต่างไปจากมาเฟียในหนังเบาปัญญา เพราะนอกจากจะหยาบคาย สามหาว ไร้สาระแล้วก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความไร้ปัญญา
แต่ที่น่าสังเวชเป็นที่สุดก็คือ ประเด็นที่นักการเมืองผู้ซึ่งอุตส่าห์ได้เป็นถึงรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีบางคน ใช้การอภิปรายบนเวทีรัฐสภาเป็นสถานที่หาคะแนนเสียง ด้วยการปล่อยมุขอ่อดอ้อนแบบร้อยเล่มเกวียน แต่ทว่าเป็นมุขที่ไม่สามารถชนะใจประชาชนผู้มีสติปัญญาได้
อีกไม่นาน (หากไม่มีผู้ใดจงใจก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นมาเสียก่อน) เมืองไทยก็จะมีการเลือกตั้งทั่วไป (อีกแล้ว) แต่เราเคยถามตัวเราเองบ้างไหมว่า กลุ่มคนที่อาสาขอไปทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน หรือพูดตรง ๆ ว่าขอไปเป็นส.ส.ของเรานั้น คนกลุ่มดังกล่าวมีคุณสมบัติของความเป็นส.ส.เพียงพอและครบถ้วนหรือไม่ มีนักการเมืองคนไหนบ้างที่ประชาชนสามารถมั่นใจได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เขาคือผู้ทุ่มเทและอุทิศตนเพื่อบ้านเมืองและเพื่อประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ
ทุกวันนี้ หากเราพินิจพิเคราะห์บรรดาผู้คนที่ขันอาสาขอไปทำหน้าที่ส.ส.อย่างลึกซึ้งถึงแก่นแล้ว เราก็คงตอบได้เกือบจะตรงกันว่า ล้วนแล้วแต่เป็นคนหน้าเดิม เป็นพวกนักเลือกตั้งที่ย้ายพรรคมาแล้วจนจำไม่ได้ว่าเคยอยู่พรรคใดมาบ้าง หรือไม่ก็เป็นพวกที่มีส่วนร่วมสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองมากกว่าสรรค์สร้างความเจริญให้กับประเทศชาติ
อย่างไรก็ตาม เราทุกคนคงหลีกหนีการเลือกตั้งส.ส.ไม่ได้ เพราะมันต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนภายในปีนี้ หรืออย่างช้าก็ภายในช่วงต้นปีหน้า (ย้ำว่าหากไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองขั้นร้ายแรงเกิดขึ้น) แต่สิ่งที่เราควรจะต้องถามตัวเองให้ชัดก่อนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งก็คือ เราจะเลือกใคร จะเลือกคนเผาประเทศ หรือเลือกคนสร้างสรรค์ความเจริญ หรือคิด ๆ ดูแล้วก็ไม่เห็นจะมีใครน่าเลือกสักคน
เคยมีใครตั้งคำถามและค้นหาคำตอบอย่างจริงจังบ้างไหมว่า หน้าที่หลักของ ส.ส.คืออะไร เหตุผลที่ถามคำถามง่าย ๆ เช่นนี้ก็เพราะผู้เขียนตระหนักดีว่า คนจำนวนไม่น้อยในสังคมไทยยังไม่รู้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่า ส.ส.มีหน้าที่อะไร
หลายคนนึกว่า ส.ส.มีหน้าที่ฝากลูกหลานของหัวคะแนนเข้าเรียนหนังสือและเข้าทำงานในรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานราชการต่าง ๆ บางคนก็เข้าใจว่า ส.ส.มีไว้เพื่อให้เชิญไปเป็นประธานในพิธีเผาศพ ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า บวชนาค แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่
แต่ในยุคหลัง ๆ กลับมีคนจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่า ส.ส.คือกลุ่มมาเฟียในหนังตลก เนื่องจากกิริยา วาจาและทางท่าของส.ส.ที่ปรากฏในสภานั้น เกือบจะไม่แตกต่างไปจากมาเฟียในหนังเบาปัญญา เพราะนอกจากจะหยาบคาย สามหาว ไร้สาระแล้วก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความไร้ปัญญา
แต่ที่น่าสังเวชเป็นที่สุดก็คือ ประเด็นที่นักการเมืองผู้ซึ่งอุตส่าห์ได้เป็นถึงรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีบางคน ใช้การอภิปรายบนเวทีรัฐสภาเป็นสถานที่หาคะแนนเสียง ด้วยการปล่อยมุขอ่อดอ้อนแบบร้อยเล่มเกวียน แต่ทว่าเป็นมุขที่ไม่สามารถชนะใจประชาชนผู้มีสติปัญญาได้
อีกไม่นาน (หากไม่มีผู้ใดจงใจก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นมาเสียก่อน) เมืองไทยก็จะมีการเลือกตั้งทั่วไป (อีกแล้ว) แต่เราเคยถามตัวเราเองบ้างไหมว่า กลุ่มคนที่อาสาขอไปทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชน หรือพูดตรง ๆ ว่าขอไปเป็นส.ส.ของเรานั้น คนกลุ่มดังกล่าวมีคุณสมบัติของความเป็นส.ส.เพียงพอและครบถ้วนหรือไม่ มีนักการเมืองคนไหนบ้างที่ประชาชนสามารถมั่นใจได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เขาคือผู้ทุ่มเทและอุทิศตนเพื่อบ้านเมืองและเพื่อประชาชนอย่างบริสุทธิ์ใจ
ทุกวันนี้ หากเราพินิจพิเคราะห์บรรดาผู้คนที่ขันอาสาขอไปทำหน้าที่ส.ส.อย่างลึกซึ้งถึงแก่นแล้ว เราก็คงตอบได้เกือบจะตรงกันว่า ล้วนแล้วแต่เป็นคนหน้าเดิม เป็นพวกนักเลือกตั้งที่ย้ายพรรคมาแล้วจนจำไม่ได้ว่าเคยอยู่พรรคใดมาบ้าง หรือไม่ก็เป็นพวกที่มีส่วนร่วมสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองมากกว่าสรรค์สร้างความเจริญให้กับประเทศชาติ
อย่างไรก็ตาม เราทุกคนคงหลีกหนีการเลือกตั้งส.ส.ไม่ได้ เพราะมันต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนภายในปีนี้ หรืออย่างช้าก็ภายในช่วงต้นปีหน้า (ย้ำว่าหากไม่มีอุบัติเหตุทางการเมืองขั้นร้ายแรงเกิดขึ้น) แต่สิ่งที่เราควรจะต้องถามตัวเองให้ชัดก่อนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งก็คือ เราจะเลือกใคร จะเลือกคนเผาประเทศ หรือเลือกคนสร้างสรรค์ความเจริญ หรือคิด ๆ ดูแล้วก็ไม่เห็นจะมีใครน่าเลือกสักคน
ต้นเหตุแห่งวิบัติหายนะชาติทั้งปวง
ต้นเหตุแห่งวิบัติหายนะชาติทั้งปวง ล้วนเพราะคนๆเดียวคือนช.แม้ว (ผ่าประเด็นร้อน)
หากย้อนกลับไปมองภาพเหตุการณ์ในยุคที่ นักโทษชายแม้ว ประสบความสำเร็จทางการเมืองขั้นสูงสุดในฐานะผู้นำประเทศที่ได้รับการยอมรับจากมหาชนอย่างล้นหลาม แต่ด้วยธาตุแท้แห่งความโลภไม่รู้จักพอ หลงระเริงในอำนาจ และเหิมเกริมทะเยอทะยานคิดการณ์ใหญ่ ในที่สุดก็ถูกกองทัพก่อรัฐประหารโค่นล้มพ้นจากอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ด้วยสาเหตุสำคัญ 4 ประการคือ 1. แทรกแซงองค์กรอิสระและผูกขาดอำนาจหมายยึดครองทุกองคพายพของประเทศจนกลายเป็นเผด็จการในคราบประชาธิปไตย 2. ใช้อำนาจหน้าที่ทุจริตคอร์รัปชั่นปล้นชาติผลาญแผ่นดินอย่างมูมมามเป็นมูลค่ามหาศาล 3.ปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างเหิมเกริมชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน 4.สร้างความแตกแยกในชาติจนมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การนองเลือด
หลังคณะก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 พ้นจากอำนาจและมีการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งหมายความว่าประเทศได้กลับคืนสู่ประชาชนธิ ปไตยอีกครั้ง โดยผลการเลือกตั้งครั้งนั้นปรากฏว่าพรรคพลังประชาชนอันเป็นหุ่นเชิดของ นักโทษชายแม้ว ได้รับชัยชนะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลโดยมีนายกฯหุ่นเชิดของ นักโทษชายแม้ว เข้ามาคุมอำนาจบริหารประเทศถึงสองคนคือ นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่รัฐบาลหุ่นเชิดทั้งสองคณะกลับไม่สามารถบริหารประเทศให้เดินไปข้างหน้าได้ท่ามกลางความแตกแยกในชาติที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ ขณะเดียวกันก็เกิดความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชาชนเอง จนในที่สุด ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวินภายใต้การนำของ นายเนวิน ชิดชอบ ได้แยกตัวออกจากพรรคพลังประชาชน จากภาวะประเทศที่เดินมาถึงทางตันทำให้ในที่สุดบรรดาพรรคที่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนต่างเปลี่ยนขั้วหันมาสนับสนุนให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศ
หลังจากที่ต้องสูญเสียอำนาจรัฐทำให้ นักโทษชายแม้ว พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐฟื้นระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือฟอกโทษความผิดทั้งหมดและทวงทรัพย์สิน 46,000 ล้านบาทของตัวเองที่ถูกยึดตกเป็นของแผ่นดินคืน
นั่นคือที่มาซึ่ง นักโทษชายแม้ว บงการอยู่เบื้องหลังเครือข่าย 3 ประสานประกอบด้วยพรรคการเมืองคือพรรคเพื่อไทย พลังมวลชนคือม็อบคนเสื้อแดง และกองกำลังก่อการร้ายที่ปฏิบัติการใต้ดินสร้างสถานการณ์จนนำไปสู่การก่อจลาจลในเหตุการณ์สงกรานต์แดงเดือดทั่วกทม.และบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจาที่พัทยาเมื่อปี 2551 และการก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปีที่แล้วโดยหวังโค่นล้มรัฐบาลช่วงชิงอำนาจรัฐกลับมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง
สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งสำคัญที่เดิมพันด้วยอนาคตของชาติบ้านเมืองที่กำลังจะมีขึ้นครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ นักโทษชายแม้ว พยายามวางหมากทางกางการเมืองและระดมทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะการเลือกตั้งหวังช่วงชิงอำนาจรัฐให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยการทุ่มเงินสักกี่หมื่นล้านบาทก็ตาม
แต่ประเด็นสำคัญสำหรับอนาคตของชาติบ้านเมืองก็คือ ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อแม้วจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลล้วนมีสัญญาณบ่งชี้ว่าจะนำไปสู่วิกฤติมิคสัญญีรอบใหม่ โดยหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ขบวนการเครือข่ายเพื่อแม้วทั้งหลายทั้งพรรคเพื่อแม้ว ม็อบคนเสื้อแดง และกองกำลังก่อการร้ายใต้ดินจะเคลื่อนไหวสร้างสถานการณ์เผาบ้านทำลายเมืองรอบใหม่จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ นักโทษชาแม้ว ต้องการ
ในทางกลับกันหากพรรคเพื่อแม้วได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แน่นอนว่าจะต้องมีการผลักดันกฏหมายเพื่อนิรโทษกรรมฟอกโทษความผิดทั้งหมดให้กับ นักโทษชายแม้ว และเหล่าผู้ต้องหาแดงก่อการร้ายที่เคยเผาบ้านทำลายเมืองปีที่แล้ว จากนั้นขบวนการเพื่อแม้วจะต้องกระชับอำนาจการยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วยการแต่งตั้งโยกย้ายหน่วยราชการต่างๆซี่งที่สำคัญคือกองทัพ พร้อมทั้งล้างแค้นเช็คบิลฝ่ายตรงข้ามอย่างขนานใหญ่ รวมทั้งจะค่อยๆแก้ไขรัฐธรรมนูญลดพระราชอำนาจลงโดยมีเป้าหมายที่จะล้มล้างระบอบอำมาตย์เปลี่ยนแปลงประเทศในที่สุด ซึ่งภายใต้เป้าหมายของขบวนการเพื่อแม้วดังกล่าวเชื่อว่าจะนำไปสู่การลุกฮือต่อต้านของพลังมหาชนครั้งใหญ่จนนำไปสู่การปราบปรามนองเลือดครั้งร้ายแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า นักโทษชายแม้วคือต้นเหตุแห่งความวิบัติทั้งปวงของชาติบ้านเมืองตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งตราบใดที่คนในชาติบ้านเมืองยังไม่รู้เท่าทันและคำนึงถึงแผ่นดินด้วยการตัดหางนักโทษชายแม้ว ตราบนั้นประเทศยังเสี่ยงที่จะ ต้องเผชิญกับความหายนะครั้งใหญ่ซึ่งจะรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
หากย้อนกลับไปมองภาพเหตุการณ์ในยุคที่ นักโทษชายแม้ว ประสบความสำเร็จทางการเมืองขั้นสูงสุดในฐานะผู้นำประเทศที่ได้รับการยอมรับจากมหาชนอย่างล้นหลาม แต่ด้วยธาตุแท้แห่งความโลภไม่รู้จักพอ หลงระเริงในอำนาจ และเหิมเกริมทะเยอทะยานคิดการณ์ใหญ่ ในที่สุดก็ถูกกองทัพก่อรัฐประหารโค่นล้มพ้นจากอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ด้วยสาเหตุสำคัญ 4 ประการคือ 1. แทรกแซงองค์กรอิสระและผูกขาดอำนาจหมายยึดครองทุกองคพายพของประเทศจนกลายเป็นเผด็จการในคราบประชาธิปไตย 2. ใช้อำนาจหน้าที่ทุจริตคอร์รัปชั่นปล้นชาติผลาญแผ่นดินอย่างมูมมามเป็นมูลค่ามหาศาล 3.ปล่อยให้มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างเหิมเกริมชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน 4.สร้างความแตกแยกในชาติจนมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การนองเลือด
หลังคณะก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 พ้นจากอำนาจและมีการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งหมายความว่าประเทศได้กลับคืนสู่ประชาชนธิ ปไตยอีกครั้ง โดยผลการเลือกตั้งครั้งนั้นปรากฏว่าพรรคพลังประชาชนอันเป็นหุ่นเชิดของ นักโทษชายแม้ว ได้รับชัยชนะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลโดยมีนายกฯหุ่นเชิดของ นักโทษชายแม้ว เข้ามาคุมอำนาจบริหารประเทศถึงสองคนคือ นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่รัฐบาลหุ่นเชิดทั้งสองคณะกลับไม่สามารถบริหารประเทศให้เดินไปข้างหน้าได้ท่ามกลางความแตกแยกในชาติที่รุนแรงขึ้นทุกขณะ ขณะเดียวกันก็เกิดความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชาชนเอง จนในที่สุด ส.ส.กลุ่มเพื่อนเนวินภายใต้การนำของ นายเนวิน ชิดชอบ ได้แยกตัวออกจากพรรคพลังประชาชน จากภาวะประเทศที่เดินมาถึงทางตันทำให้ในที่สุดบรรดาพรรคที่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชนต่างเปลี่ยนขั้วหันมาสนับสนุนให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศ
หลังจากที่ต้องสูญเสียอำนาจรัฐทำให้ นักโทษชายแม้ว พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐฟื้นระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง โดยมีเป้าหมายสำคัญคือฟอกโทษความผิดทั้งหมดและทวงทรัพย์สิน 46,000 ล้านบาทของตัวเองที่ถูกยึดตกเป็นของแผ่นดินคืน
สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งสำคัญที่เดิมพันด้วยอนาคตของชาติบ้านเมืองที่กำลังจะมีขึ้นครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ นักโทษชายแม้ว พยายามวางหมากทางกางการเมืองและระดมทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะการเลือกตั้งหวังช่วงชิงอำนาจรัฐให้ได้ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยการทุ่มเงินสักกี่หมื่นล้านบาทก็ตาม
แต่ประเด็นสำคัญสำหรับอนาคตของชาติบ้านเมืองก็คือ ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อแม้วจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลล้วนมีสัญญาณบ่งชี้ว่าจะนำไปสู่วิกฤติมิคสัญญีรอบใหม่ โดยหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ขบวนการเครือข่ายเพื่อแม้วทั้งหลายทั้งพรรคเพื่อแม้ว ม็อบคนเสื้อแดง และกองกำลังก่อการร้ายใต้ดินจะเคลื่อนไหวสร้างสถานการณ์เผาบ้านทำลายเมืองรอบใหม่จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายที่ นักโทษชาแม้ว ต้องการ
ในทางกลับกันหากพรรคเพื่อแม้วได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แน่นอนว่าจะต้องมีการผลักดันกฏหมายเพื่อนิรโทษกรรมฟอกโทษความผิดทั้งหมดให้กับ นักโทษชายแม้ว และเหล่าผู้ต้องหาแดงก่อการร้ายที่เคยเผาบ้านทำลายเมืองปีที่แล้ว จากนั้นขบวนการเพื่อแม้วจะต้องกระชับอำนาจการยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วยการแต่งตั้งโยกย้ายหน่วยราชการต่างๆซี่งที่สำคัญคือกองทัพ พร้อมทั้งล้างแค้นเช็คบิลฝ่ายตรงข้ามอย่างขนานใหญ่ รวมทั้งจะค่อยๆแก้ไขรัฐธรรมนูญลดพระราชอำนาจลงโดยมีเป้าหมายที่จะล้มล้างระบอบอำมาตย์เปลี่ยนแปลงประเทศในที่สุด ซึ่งภายใต้เป้าหมายของขบวนการเพื่อแม้วดังกล่าวเชื่อว่าจะนำไปสู่การลุกฮือต่อต้านของพลังมหาชนครั้งใหญ่จนนำไปสู่การปราบปรามนองเลือดครั้งร้ายแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
เพราะฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่า นักโทษชายแม้วคือต้นเหตุแห่งความวิบัติทั้งปวงของชาติบ้านเมืองตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งตราบใดที่คนในชาติบ้านเมืองยังไม่รู้เท่าทันและคำนึงถึงแผ่นดินด้วยการตัดหางนักโทษชายแม้ว ตราบนั้นประเทศยังเสี่ยงที่จะ ต้องเผชิญกับความหายนะครั้งใหญ่ซึ่งจะรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ทีมข่าวการเมือง
วิกฤติความแตกแยกจนเป็นเหตุให้เกิดจลาจลเผาบ้านทำลายเมืองจนพินาศย่อยยับในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหากย้อนกลับไปทบทวนต้นตอสาเหตุในอดีตจวบจนปัจจุบันและมองแนวโน้มในอนาคตจะพบว่าล้วนเกิดจากคนๆเดียวนั่นคือ นักโทษชายแม้ว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)