สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐภาคีไทยและรัฐภาคีกัมพูชาต่อ กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารก็เพราะว่าแผนบริหารการจัดการของกัมพูชา ที่เสนอมานั้นได้ล่วงละเมิดอธิปไตยของรัฐภาคีไทย จนในที่สุดได้มีการลาออก จากการเป็นรัฐภาคีของฝ่ายไทย
ตลอดระยะเวลาของสมัยประชุมครั้งที่ 31 จนถึงสมัยประชุมครั้งที่ 35 นี้ การกระทำของรัฐภาคีประเทศกัมพูชายังดำเนินรุกรานและครอบครองดินแดนประเทศ ไทยอยู่อย่างต่อเนื่อง คือ ตลอดแนวชายแดน กระทำของรัฐภาคีประเทศกัมพูชาได้ส่งกองกำลังทหารและประชาชนเข้ามาอาศัยในดิน แดนของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
มติคณะกรรมการมรดกโลกทั้ง 5 ครั้งที่ผ่านมา ได้สร้างความแตกแยกของรัฐภาคีทั้งสองประเทศลุกลามบานปลายไปสู่เวทีนานาชาติ เกิดการแตกแยกในหมู่มิตรประเทศ เกิดการปะทะกันจนมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บและเกิดการอพยพของประชาชนชาวไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน สร้างความเสื่อมเสียทางเสรีภาพในการทำมาหากินและใช้ ชีวิตของประชาชนชาวไทยรอบๆ ดินแดนที่คณะกรรมการมรดกโลกให้เป็นพื้นที่บริหารการจัดการ รวมไปถึงปราสาทพระวิหารกลายเป็นที่สะสมอาวุธยุทโธปกรณ์และกลายเป็นสมรภูมิรบ กันอย่างดุเดือดมีการใช้จรวดและกระสุนปืนใหญ่ยิงตอบโต้กัน
ผมจึงขอเรียนให้ท่านนายกฯ หญิงได้ทราบเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกครั้ง เพราะอาจไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนกล่าวคือ
1. เขตแดนไทย-กัมพูชาได้ปักปันเสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วตามอนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 เฉพาะบริเวณปราสาทพระวิหารได้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน และสันปันน้ำนี้ได้ทำให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนประเทศไทย
2. คณะกรรมการมรดกโลกได้กระทำการฝ่าฝืนอนุสัญญาในหมวดที่ 2 ว่าด้วยการคุ้มครองป้องกันมรดกทางวัฒนธรรมและมรดกโลกทางธรรมชาติในระดับชาติ และระดับนานาชาติ มาตรา 4 (มรดกทางวัฒนธรรมต้องอยู่ในดินแดนของตน) มาตรา 5 (มรดกโลกทางวัฒนธรรมอยู่ในเขตอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐภาคี) มาตรา 6 (ด้วยความเคารพสูงสุดต่ออำนาจอธิปไตยแห่งรัฐอันเป็นที่ตั้งของมรดกโลกทาง วัฒนธรรม) จากทั้ง 3 มาตราที่ยกขึ้นอ้างนี้ คณะกรรมการมรดกโลกและรัฐภาคีกัมพูชา ต่างละเมิดอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ด้วยการรุกรานดินแดนรัฐภาคีสมาชิกประเทศไทย ด้วยการออกมติสนับสนุนรัฐภาคีประเทศกัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เพราะดินแดนโดยรอบปราสาทพระวิหารยังเป็นดินแดนของประเทศไทยและประเทศไทยได้ ใช้อำนาจอธิปไตยอย่างสมบูรณ์มาก่อนด้วยการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเขาพระ วิหารไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 โดยที่รัฐภาคีประเทศกัมพูชาไม่เคยโต้แย้งแต่อย่างใด
อนึ่ง ในมติของคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 32 ได้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท หากแต่พื้นที่รอบๆ นั้นก็ยังเป็นของรัฐภาคีประเทศไทยตามที่ศาลปกครองกลางและศาลรัฐธรรมนูญของ ไทยได้ทำการวินิจฉัยไว้ การกระทำของคณะกรรมการมรดกโลกจึงเป็นการตัดสินภายใต้พื้นฐานการรุกรานรัฐ ภาคีสมาชิกอย่างเห็นได้ชัด โดยการหยิบยื่นดินแดนของรัฐภาคีประเทศไทยให้กับรัฐภาคีประเทศกัมพูชา นำไปขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและรวมถึงแผนบริหารจัดการที่เข้าสู่วาระการ ประชุมครั้งที่ 36 ที่กำลังจะถึงกลางปีหน้านี้ด้วย
3. คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหาร ได้ตัดสินเพียงให้อำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาไม่เคย ตัดสินเรื่องดินแดน และศาลไม่ได้ตัดสินแผนที่หรือยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่รัฐภาคีประเทศกัมพูชาเคยเสนอไว้และนำมาใช้เป็นหลักฐานในการทำแผนบริหาร การจัดการและการขึ้นทะเบียนตัวปราสาท
4. ราชอาณาจักรไทยมีรัฐธรรมนูญการปกครองเป็นของตนเอง มีการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์หรือที่ประชาชนชาวไทยส่วนหนึ่งเทิดพระเกียรติพระนามเป็น พระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินมีความหมายว่า “เจ้าของแผ่นดิน” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงใช้อำนาจผ่านฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงคุณอัน ประเสริฐ ทรงเป็น “มหาราช” มีพระเกียรติยศเลื่องลือในสังคมนานาประเทศ ด้วยทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพสกนิกรของพระองค์อย่างหาที่เปรียบมิได้ ในปี ค.ศ. 2011 ทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษา ประเทศไทยแม้เป็นรัฐภาคีสมาชิกที่จะต้องปฏิบัติตามพันธสัญญาที่ให้ไว้ก็ตาม แต่การสูญเสียดินแดนและอธิปไตยของชาติเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่า ราช อาณาจักรไทยต้องสูญเสียดินแดนในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่ง เป็นเรื่องที่ประชาชนชาวไทยยอมรับไม่ได้
ดังนั้น ผมจึงเรียนข้อมูลเบื้องต้นนี้มาให้ท่านนายกฯ หญิงได้ทราบ โดยหวังว่าจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างถ่องแท้ ศึกษา ตรวจสอบข้อมูลก่อนการตัดสินใจเข้าไปร่วมเป็นรัฐภาคีอีกครั้งหนึ่ง (ทางที่ดี ผมไม่เห็นด้วยเลยที่ประเทศไทยจะกลับเข้าไปเป็นรัฐภาคีอีก)
ผม จำได้ว่าคุณสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ได้ทำหนังสือยืนยันจากกระทรวงการต่างประเทศต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า พื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทยเมื่อปี พ.ศ. 2551 ให้ทหารถืออาวุธคอยอารักขาเจ้าหน้าที่จากยูเนสโกที่เข้ามาตรวจพื้นที่และคอย ควบคุมไม่ให้กัมพูชาใช้บันไดทางด้านทิศเหนือของตัวปราสาทเพราะเป็นดินแดน ประเทศไทย แต่ถ้าหากกัมพูชาจะขึ้นมาก็ให้ใช้บันไดทางขึ้นด้านช่องบันไดหักแทน รัฐบาลคุณสมชาย ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่เขย (ลุงเขย) ของนายกฯ หญิงได้ยืนยันถึงพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารว่าเป็นของไทยอย่างชัดเจน
ผมอยากขอบอกท่านนายกฯ หญิงอีกสักเรื่องหนึ่งว่าก่อนหน้าที่รัฐบาลของคุณชวน หลีกภัย จะไปทำข้อตกลงไทย-ลาว เมื่อประมาณ พ.ศ. 2539 และ MOU 43 สภาพโดยทั่วไปของ “เขาพระวิหาร” เมื่อ พ.ศ. 2543 พื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย เรามีรั้วลวดหนามที่ล้อมตัวปราสาทไว้ตามมติคณะรัฐมนตรีปี พ.ศ. 2505 ดังนั้นนอกรั้วลวดหนามทหารพรานและกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ดูแลอย่างชัดแจ้ง เพราะเราได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อ พ.ศ. 2505 ในฐานะเป็นประเทศสมาชิกของสหประชาชาติ ประเทศจึงจำใจต้องให้อำนาจอธิปไตยที่ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา หรือพูดง่ายๆ ก็คือเราให้อำนาจอธิปไตยเป็นเพียงแค่ซากปรักหักพังแต่มิได้ยกดินแดนให้ พื้นที่ทับซ้อนจึงอยู่ตรงบริเวณพื้นที่ที่รองรับตัวปราสาทพระวิหาร แต่ในขณะเดียวกัน เราได้มีหนังสือตั้งข้อสงวนสิทธิ์ที่จะเรียกคืนตัวปราสาทในอนาคตโดยได้กระทำ ต่อหน้าสมาชิกของสหประชาชาติผ่านรักษาการเลขาธิการของสหประชาชาติในเวลานั้น
ตามหนังสือของกระทรวงมหาดไทยลงวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 กับทั้งมติคณะรัฐมนตรีลงวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 เราไม่ได้ยกดินแดนโดยรอบและดินแดนใต้ตัวปราสาทให้แก่กัมพูชา แต่เราให้กัมพูชาเข้ามาใช้อำนาจในบริเวณที่ตัวปราสาทโดยเว้นด้านช่องบันได หักเพื่อให้กัมพูชาได้เข้ามาได้ และประเทศไทยได้ล้อมรั้วลวดหนามยาว 7,000 เมตร ครอบตัวปราสาทพระวิหารคิดเป็นเนื้อที่ทั้งหมด 150 ไร่ เรายังได้จัดทำป้ายทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส โดยมีเนื้อหาใจความว่า นี่คือเขตอาณาบริเวณปราสาทพระวิหาร จากคำสัมภาษณ์ของจอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม และจอมพลประภาส ให้การตรงกันว่า เราไม่ได้ยกดินแดนแต่เราให้เขมรใช้ที่ดินที่รองรับตัวปราสาทกับทั้งอำนาจ อธิปไตยที่ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา (ชั่วคราว) ตามคำตัดสินของศาลโลกภายใต้การสงวนสิทธิ์และไม่ยอมรับคำตัดสิน
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงขอเตือนนายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ว่าเรามิได้ยกดินแดนโดยรอบให้กับกัมพูชาแต่อย่างใด และการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลกอันเกิดขึ้นจากความต้องการของ กัมพูชาที่จะให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่ การที่ศาลมีอำนาจในการตีความนี้เป็นการรู้เห็นเป็นใจทั้งฝ่ายกัมพูชาและศาล เมื่อเราเดินทางไปศาลเพื่อแก้ข้อกล่าวหาของกัมพูชา ศาลกลับยกคำคัดค้านของฝ่ายไทย (อันนี้เป็นเพราะข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศบางคนทำสำนวนอ่อน)
อย่างไรก็ดี แผนผังที่ปรากฏตอนท้ายของการออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลนั้น ฝ่ายกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาจับยัดมือให้ศาลโลก กัมพูชาจึงได้เปรียบไทยและประเทศไทยของเราอาจสูญเสียดินแดน การที่ท่านนายกฯ หญิงเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อขอความเห็นและมติเรื่องการถอนทหารออกจากพื้นที่ ตามคำสั่งของมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลนั้น ย่อมเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการเสียดินแดนอย่างยิ่ง เพราะประเทศไทยทั้งรัฐบาลคุณชวน หลีกภัย และคุณทักษิณ ชินวัตร ต่างยอมรับแผนที่ 1:200,000 ให้มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ อันมีผลมาจากการทำความตกลงไทย-ลาว MOU 43 และ TOR 46
ดังนั้นศาลโลกและโดยการสนับสนุนจากหลักฐานอย่างแข็งขันของกัมพูชาและการทำ สำนวนอ่อนด้อยของฝ่ายไทย ศาลโลกย่อมเข้าใจว่าประเทศไทยยินดีใช้แผนที่เก๊มาตราส่วน 1:200,000 ที่ไม่ใช่ผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนฯ และศาลโลกเมื่อ พ.ศ. 2505 ก็ไม่เคยตัดสินแผนที่และเส้นเขตแดนบนแผนที่เก๊เลย แต่คราวนี้ประเทศไทยจะต้องสูญเสียดินแดนและอับอายขายหน้าไปทั่วโลก เพราะเรานำแผนที่เก๊ไปใช้ต่อประเทศเพื่อนบ้านให้มีผลผูกพันดังที่กล่าวมา ข้างต้น ศาลโลกต้องเข้าใจต่อไปว่าการที่ฝ่ายกัมพูชาเสนอแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ระวางดงรักเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลก และศาลโลกก็เป็นเพราะว่าไทยยอมรับแผนที่ตาม MOU 43 และ TOR 46 กับทั้งที่มีประจักษ์พยานว่าฝ่ายไทยได้ยอมรับแผนที่แล้วจากการไปทำความตกลง ไทย-ลาว
ผมจึงอยากขอเสนอให้ท่านนายกฯ หญิงกล้าตัดสินใจยกเลิกความตกลงไทย-ลาว MOU 43 และ TOR 46 เพื่อแก้ไขสถานการณ์และอย่าไปศาลโลกเลย เพราะศาลโลกเป็นศาลที่อยุติธรรมกับประเทศไทยเสมอมา อนึ่ง ผมไม่อยากให้ประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเราชาวไทย ต้องสูญเสียดินแดนเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมี พระชนมายุครบ 84 พรรษาเลย เพราะจะเป็นเรื่องน่าอายระดับที่ไทยยังต้องสูญเสียดินแดนอีกในปัจจุบัน
|
ประตูเหล็กที่เชิงบันไดนาคถูกรื้อทิ้งด้วยน้ำมือของนายอำเภอกันทรลักษ์ (ห่างจากบันได 20 เมตร) แต่รั้วลวดหนามที่ล้อมรอบตัวปราสาทยังคงปรากฏอยู่ ภรรยาชาวเขมรที่เป็นเจ้าหน้าที่ใช้สำหรับตากเสื้อผ้า เสาเหล็กที่ขึงรั้วลวดหนามบางตอนนำไปเป็นส่วนประกอบของเพิงพักชาวเขมร ฝ่ายราชการไทยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทหาร ฝ่ายพลเรือนต่างปล่อยปละละเลยให้เขมรขนคนขึ้นมาอาศัยอยู่ในและนอกอาณาบริเวณ ที่เรากั้นรั้วลวดหนามเอาไว้ และสำหรับคนไทยทั้งหลายในประเทศนี้ต่างก็เชื่อสนิทใจว่าปราสาทพระวิหารเป็น ของเขมรไปแล้ว โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาก็ไม่เคยสั่งสอนให้นักเรียนนักศึกษาได้รู้ว่าศาลโลก ได้ตัดสินอย่างฉ้อฉลและลำเอียงเข้าข้างฝ่ายเขมรด้วยการตัดสินตามกฎหมายปิด ปาก (ตามอำเภอใจ)
ตลอดจนถึงครูบาอาจารย์ประวัติศาสตร์ก็ไม่สนใจที่จะให้นักเรียนนักศึกษาได้ ล่วงรู้ความจริงสำหรับเรื่องนี้เลย ต่างสอนว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเขมรไปแล้วโดยตัดตอนเนื้อหารายละเอียดและ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ออกไป แม้แต่การที่คณะรัฐมนตรีรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ได้ไปตั้งข้อสงวนสิทธิ์ไว้ที่สห ประชาชาติ การล้อมรั้วลวดหนามให้เขมรเข้ามาใช้อำนาจอธิปไตยเป็นการชั่วคราวจนกว่า ประเทศไทยจะทวงปราสาทพระวิหารคืน หรือการอธิบายว่าประเทศไทยเรายังครอบครองอาณาบริเวณโดยรอบและเราคืนอำนาจ อธิปไตยโดยให้พื้นที่ที่รองรับตัวปราสาทเท่านั้น ก็ไม่เคยสั่งสอนหรือสำเหนียกต่อเรื่องนี้
นอกจากนี้ฝ่ายทหารเองก็ไปจัดทำแผนที่ที่ผิดพลาด ระวาง L7017 ไประบุว่าตรงรั้วลวดหนามนั้นคือพรมแดนตรงจุดนี้ก็ยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจ ผิดไปในวงกว้าง (แม้แต่รัฐมนตรีต่างประเทศคุณนพดลก็ยังเข้าใจผิดเลย )
ผมไม่แปลกใจเลยว่าผู้คนทุกระดับในสังคมไทยจะไม่ใส่ใจต่อเรื่องนี้ทุกคนกลับ เชื่อสนิทว่าปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบเป็นของเขมร แม้แต่ครูบาอาจารย์ของผมเองก็เชื่อเช่นนั้น
ผมอยากจะบอกท่านนายกฯ หญิงว่า แม้แต่กระทรวงการต่างประเทศถ้าฝ่ายธรรมะยืนยันอย่างรุนแรงกระทรวงการต่าง ประเทศจะออกมายืนยันว่าพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย แต่ถ้าเมื่อไหร่ฝ่ายอธรรมเข้าครอบครองกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงนี้ก็จะยืนยันว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน (ทับซ้อนเตี่ยมึงซิ)
หลังจากคุณอภิสิทธิ์หมดวาระการเป็นนายกฯ รัฐบาลของท่านนายกฯ หญิงก็ทำการสับเปลี่ยนผู้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่อเรื่องนี้โดยเฉพาะผู้ แทนไทยที่จะไปสู้คดีที่เขมรขอตีความคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อ พ.ศ. 2505 ก็เอาคนของตัวเองเข้ามาโดยมิได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ คุณธรรมและจิตใจที่พร้อมจะปกป้องผืนแผ่นดิน บางคนยังมีฐานะทางจิตวิญญาณเป็นคนของสมเด็จฮุนเซนเสียด้วยซ้ำเพราะมี พฤติกรรมเข้าข้างลำเอียงไปทางฝ่ายเขมรอย่างเห็นได้ชัดมาตลอด
เมื่อพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย กับทั้งตัวปราสาทพระวิหารฝ่ายไทยได้ตั้งข้อสงวนสิทธิ์เอาไว้ ดังนั้นการที่ฝ่ายเขมรนำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนต่อคณะกรรมการมรดกโลกก็ ถือว่าเป็นการนำเอาดินแดนและอธิปไตยของไทยบนพื้นที่โดยรอบเอาไปขึ้นทะเบียน เป็นของประเทศเขมร ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาของคณะรัฐมนตรีหรือข้าราชการที่เกี่ยว ข้องซึ่งปล่อยให้เขมรกล้ากระทำเช่นนี้มาตั้งแต่พ.ศ. 2550
“เขมรมีชัยๆ” 55555 หรือนัยว่าเมื่อ พ.ศ. 2505 สมเด็จเจ้านโรดมสีหนุได้รับชัยชนะด้วยคำตัดสินอันฉ้อฉลของศาลโลก ฝ่ายไทยจำยอมที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาเราสูญเสียอำนาจอธิปไตยที่ตัว ปราสาท โดยไปกั้นรั้วลวดหนามให้เขมรเข้ามาใช้อำนาจอธิปไตยได้ เขมรต้องปีนขึ้นมาทางด้าน “ช่องปันไดหักW ส่วนด้านทิศเหนือซึ่งเป็นทางขึ้นหลักจากบันไดสิงห์ขึ้นมาถึงบันไดนาคฝ่ายไทย ได้ปิดประตูตาย พอมาถึงรัฐบาลภายใต้การนำของสมเด็จฮุนเซนได้ส่งกองกำลังติดอาวุธเข้ามายึด ดินแดนโดยรอบปราสาทพระวิหาร และดินแดนที่ไม่เคยเกี่ยวข้องในคดีนี้ คือ บริเวณภูมะเขือ (เขมรมาตั้งเรดาร์) ก็พลอยฟ้าพลอยฝนถูกเขมรเอาไปด้วย
สรุป สมเด็จเจ้านโรดมสีหนุได้อำนาจอธิปไตยจากศาลชั่ว (ศาลโลกคณะเก่า)ส่วนสมเด็จฮุนเซนได้ดินแดนโดยรอบของไทยโดยมีตรายางของคณะ กรรมการมรดกโลกและตราประทับจากศาลโลก (คณะใหม่)
ดังนั้น ด้วยฝีมือการบริหารประเทศที่ไม่เอาอ่าวของท่านนายกฯ หญิง บวกกับทหารไทยที่มีแต่น้ำพริกไร้น้ำยานั่งทำตาปริบๆ คอยรับคำสั่งจากนักการเมือง คนอย่างผมคงไม่มีปัญญาไปบังคับพวกท่านให้ปกป้องรักษาอธิปไตยและดินแดน คนอย่างผมทำได้แค่เขียนบันทึกประวัติศาสตร์ว่าใครดีใครชั่ว ทำอะไรที่ไหนอย่างไรกับกรณีปราสาทพระวิหาร ผมได้ตัดสินพวกท่านไปนานแล้วว่าเป็น “คนประเภทไม่รักแผ่นดิน” แต่สำหรับลูกหลานในอนาคตผมมิอาจคาดเดาได้ว่าเขาจะตัดสินและจะโจษจันชื่อและ นามสกุลของพวกท่านไว้ว่าอย่างไร
ถ้าให้ผมเดาเอาผมคิดว่า “พวกท่านละทิ้งหน้าที่ขายชาติขายแผ่นดินเฉลิมฉลองวโรกาสครบ 7 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของประเทศไทยของคนที่เขารักในหลวงทั้งแผ่นดิน แลพวกท่านยังเป็นลูกกระจ็อกงอกง่อยของสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซนอีกด้วย” ฮุนเซนจงเจริญ ฮุนเซนจงเจริญ ฮุนเซนจงเจริญ 55555555
โดย เทพมนตรี ลิมปพยอม