เปิดมติคณะรัฐมนตรีพ.ศ.2505 พร้อมจดหมายโต้ตอบ และการแสดงข้อคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภายหลัง
ศาลโลกตัดสิน ให้ 'ปราสาทเขาพระวิหาร' ตกเป็นของกัมพูชานัยยะชี้ชัด
ไทยยอมรับคำตัดสิน แต่
ยืนยันหนักแน่นตัวปราสาทอยู่ในดินแดนไทยมาแต่ดั้งเดิม เช่นนั้น มติ
ครม.
ทั้งหมด เป็นเอกสารทางราชการ จากสำนัก
งานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ 'เขาพระวิหาร' รวมทั้งจดหมายของ ม.ร.ว.เสนีย์ปราโมช มีถึงจอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์
นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ยืนยันว่าคำพิพากษาของศาลโลก ผิดทั้งข้อเท็จจริง ข้อ
กฎหมายและความเป็นธรรม
1.ลับที่สุด ด่วนที่สุด
ที่ ๕๔๙/๒๕๐๕
๒๑ มิถุนายน ๒๕๐๕
เรื่อง คำพิพากษาคดีเขาพระวิหาร
เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
อ้างถึง โทรเลขของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ 39/2505 และโทรเลขของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ที่ 40/2505
สิ่งที่ส่งมาด้วยสำเนารูปถ่ายบันทึกแสดงความเห็นในชั้นต้นของศาสตราจารย์อัง
รีโรแลง ตามโทรเลขของกระทรวงฯ ที่อ้างถึงข้างต้น
ขอให้สถานเอกอัครราชทูตฯส่งสำเนาคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดี
เขาพระวิหารให้ทนายของเราทุก
คนและให้รายงานความรู้สึกและความคิดเห็นของศาสตราจารย์อังรี โรแลงถ้าหากมีเกี่ยวกับคำพิพากษาฯ ให้กระทรวงฯ ทราบความแจ้งอยู่แล้ว นั้น
ขอเรียนว่า สำหรับเรื่องการส่งคำพิพากษาของศาลฯ
ไปให้ทนายนั้นสถานเอกอัครราชทูตฯ
ได้ดำเนินการแล้วโดยชั้นต้นได้ส่งคำพิพากษาไปให้ศาสตราจารย์โรแลง,
เซอร์แฟรงค์ ซอสคิสและนายเจมส์ เนวิน ไฮด์ คนละ 1 เล่มเมื่อวันที่ 18
เดือนนี้ทั้งนี้เพราะคำพิพากษาที่ศาลฯ
พิมพ์สำหรับใช้ชั้นแรกมีจำนวนจำกัดสถานเอกอัครราชทูตฯ
ได้รีบติดต่อกับสำนักจ่าศาลฯขอคำพิพากษาเพิ่มเติมเพิ่งได้วันนี้อีก 3 ชุด
และจะได้รีบจัดการส่งให้นายเจ.จี. เลอเคนส์, นายเดวิด ดาวส์น และนายมาร์เซล
สลูสนีโดยด่วนที่สุดในวันนี้
สำหรับเรื่องต่อมาคือเรื่องความรู้สึกและความคิดเห็นของศาสตราจารย์โรแลง
เกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลฯ นั้น
ทันทีที่ได้รับโทรเลขกระทรวงฯข้าพเจ้าได้โทรศัพท์นัดหมายและได้เดินทางไปพบ
ศาสตราจารย์โรแลง ณกรุงบรัสเซลส์ เมื่อวันที่ 20
เดือนนี้ศาสตราจารย์โรแลงได้ให้ความเห็นชั้นต้นโดยย่อดังปรากฏในสำเนาบันทึก
ที่ได้แนบมาเพื่อกระทรวงฯ ได้โปรดทราบ ณ ที่นี้เรื่องนี้สถานเอกอัครราชทูตฯ
ได้รายงานให้กระทรวงฯ
ทราบแล้วโดยทางโทรเลขที่อ้างถึงข้างต้นจึงขอเรียนมาเพื่อเป็นการยืนยันอีก
ครั้งหนึ่ง
ข้าพเจ้าขอถือโอกาสนี้รายงานเพิ่มเติมด้วยว่าในระหว่างการสนทนาข้าพเจ้าได้
สอบถามความรู้สึกและความคิดเห็นของศาสตราจารย์โรแลงในเรื่องต่างๆ
ดังต่อไปนี้ด้วย คือ
1.ความถูกต้องยุติธรรมในการปฏิบัติหน้าที่ของศาลฯ
ข้าพเจ้าได้ถามความเห็นของศาสตราจารย์โรแลงว่าโดยที่ในปัจจุบันมีผู้พิพากษา
ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอย่างน้อย 2
คนที่เป็นคนสัญชาติของประเทศคอมมิวนิสต์โดยแท้จริง คือ นาย
ปี.วินิอาสกี้(โปแลนด์) ซึ่งเป็นประธานของศาลฯ และนาย วี. เอม.คอเรทสกี้
(สหภาพโซเวียต)ฉะนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ที่บุคคลเหล่านี้จะเอนเอียงเข้าข้าง
กัมพูชาทั้งนี้เพราะกัมพูชาอ้างว่าเป็นกลางแต่เป็นที่ทราบกันว่ามีความ
ฝักใฝ่กับคอมมิวนิสต์มากส่วน
ประเทศไทยนั้นดำเนินนโยบายสนับสนุนประเทศฝ่ายตะวันตกอย่างชัดแจ้ง
ศาสตราจารย์โรแลงแจ้งว่าจากประสบการณ์ที่เคยว่าความในศาลยุติธรรมระหว่าง
ประเทศมาช้านานมีความรู้สึกอยู่ประการหนึ่งว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเป็น
องค์กรระหว่างประเทศที่คอมมิวนิสต์แผ่อิทธิพลเข้าไปได้ยากแห่งหนึ่งเพราะ
เหตุผลประการแรกคือ
ผู้พิพากษาจากประเทศคอมมิวนิสต์มีจำนวนน้อยและประการต่อมา ลักษณะงานของศาลฯ
หนักไปในทางวิชาการอยู่มาก
อย่างไรก็ดี ศาสตราจารย์โรแลงเห็นว่า สำหรับคดีเขาพระวิหารนี้ผู้พิพากษาบางคน เช่น นายบาเดวังห์ (สัญชาติ
ฝรั่งเศส)
และนายคอเรทสกี้(สหภาพโซเวียต)
อาจมีความเอนเอียงเข้าข้างกัมพูชาก็เป็นได้แต่ส่วนนายวินิอาสกี้ (โปแลนด์)
นั้น เท่าที่รู้จักกันมาศาสตราจารย์โรแลงเห็นว่า
จะเป็นคอมมิวนิสต์ในนามมากกว่าเพราะมีท่าทีเป็นคนโปแลนด์สมัยก่อน
คอมมิวนิสต์อยู่มากเป็นนักกฎหมายและอายุมากแล้วเข้าใจว่าจะไม่สนใจกับลัทธิ
คอมมิวนิสต์ในการปฏิบัติหน้าที่มากนัก
ศาสตราจารย์โรแลงแจ้งต่อไปว่าคำพิพากษาคดีเขาพระวิหารได้เขียนขึ้นด้วยความระมัด
ระวังเป็น
พิเศษอาจกล่าวได้ว่ามากกว่าคำพิพากษาคดีอื่นๆส่วนมากถ้อยคำที่เขียนไม่แสดง
ให้เห็นร่องรอยของความลำเอียงหรือความไม่ยุติธรรมนอกจากนั้น
ศาสตราจารย์โรแลงมีความเห็นว่าผู้พิพากษาบางคน อาทิ เช่นเซอร์เจอรัลล์
ฟิตสมอริซ (สัญชาติ
อังกฤษ) เป็นต้นมีท่าทีอยากจะช่วยประเทศไทยอยู่มาก แต่คงไม่อาจทำได้ดังจะเห็นได้จากความเห็นเอกเทศแนบท้ายคำพิพากษาในคดีนี้
2.การดำเนินการขั้นต่อไปในด้านคดีความ
ข้าพเจ้าได้สอบถามความเห็นของศาสตราจารย์โรแลงว่าประเทศไทยจะควรดำเนินใน
อย่างใดต่อไปในด้านคดีความกล่าวคือจะสมควรฟ้องร้องขอให้ศาลฯ
พิจารณาเกี่ยวกับแนวเขตในส่วนอื่นๆในบริเวณเทือกเขาดง
รักซึ่งยังไม่ชัดแจ้งในขณะนี้หรือไม่?หรือจะควรดำเนินการอย่างอื่นใด?
ศาสตราจารย์โรแลงแจ้งว่า สำหรับเรื่องเขาพระวิหารนั้นเป็นอันหมด
ปัญหาเพราะ
ศาลฯ ได้วินิจฉัยแล้วแต่ก็เป็นการดีอย่างหนึ่งที่ผู้พิพากษาหลายคนเห็นว่า
เอกสารแนบท้ายหมายเลข1ของกัมพูชาไม่สมบูรณ์ในขณะที่ทำซึ่งนับว่าผู้พิพากษา
เหล่านี้เชื่อหลักฐานและข้อพิสูจน์ของฝ่ายไทยนอกจากนั้นในคำพิพากษาของศาลฯ
ศาลฯก็มิได้วินิจฉัยให้ประโยชน์แก่ฝ่ายกัมพูชาตามข้อเสนอสุดท้ายของฝ่ายนั้น
ในข้อ1 และ 2
สำหรับปัญหาเรื่องการจะฟ้องร้องขอให้ศาลฯวินิจฉัยแนวเส้นเขตแดนโดยทั่วไป
นั้นคิดว่าถ้ารอดูให้เรื่องคลี่คลายอีกสักเล็กน้อย
จึงค่อยพิจารณาจะเหมาะสมกว่า
ศาสตราจารย์โรแลงได้แจ้งด้วยว่า
ขณะนี้กำลังศึกษคำพิพากษาอย่างละเอียดและจะได้ทำบันทึกความเห็นเป็นลาย
ลักษณ์อักษรส่งมายังข้าพเจ้าโดยด่วนต่อไป
จึงขอเรียนรายงานมาเพื่อกระทรวงฯ ได้โปรดทราบและพิจารณา
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
ลงพระนาม วงษ์มหิป
(หม่อมเจ้าวงษ์มหิป ชยางกูร)
2.ด่วนมาก
ที่ สร. (๐๖๐๑) ๒๑๕๗๖/ ๒๕๐๕ กระทรวงการต่างประเทศ
๒๗ มิถุนายน ๒๕๐๕
เรื่อง การปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลในคดีปราสาทพระวิหาร
กราบเรียน นายกรัฐมนตรี
อ้างถึง หนังสือกระทรวงการต่างประเทศที่ สร. (0601) 21136/2505 ลงวันที่ 26 มิถุนายน 2505
อนุสนธิหนังสือกระทรวงการต่างประเทศที่อ้างถึงข้างต้นกราบเรียนเรื่องบันทึก
ความเห็นของศาสตราจารย์ โรแลง
พร้อมด้วยคำแปลภาษาไทยและสำเนาหนังสือรายงานของเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก
ความละเอียดแจ้งอยู่แล้วนั้น
บัดนี้กระทรวงการต่างประเทศขอประทานเสนอแนวทางเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำ
พิพากษาของศาลในคดีปราสาทพระวิหารเพื่อประกอบการพิจารณาของ ฯพณฯ
ดังต่อไปนี้
1.ในคดีปราสาทพระวิหารกัมพูชาและประเทศไทยได้รับพันธะที่จะปฏิบัติตามคำ
พิพากษาของศาลแต่กฎเกณฑ์เกี่ยวกับวีธีปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลนั้นกฎบัตร
สหประชาชาติก็ดี
ธรรมนูญศาลและข้อบังคับของศาลก็ดีมิได้วางหลักเกณฑ์ในเรื่องนี้ไว้
ดังนั้นการปฏิบัติจึงเป็นเรื่องของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย
ในคดีที่พิพาทเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารนี้
ศาลได้มีคำพิพากษาและชี้ขาดในส่วนที่จะต้องปฏิบัติไว้ว่าก.อำนาจอธิปไตย
เหนือซากปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา
ข.ให้ประเทศไทยถอนกำลัง
ทหาร ตำรวจ คนเฝ้าหรือยามรักษาการที่ได้ส่งไปประจำ ณ ปราสาทพระวิหาร ออกจากปราสาทพระวิหารซึ่งเป็นดินแดนของกัมพูชา
2.สำหรับ ข้อ ก.
คำพิพากษามิได้กำหนดหน้าที่ให้ประเทศไทยต้องปฏิบัติแต่มีหน้าที่จะต้องงด
เว้นการปฏิบัติ
กล่าวคือไทยจะไม่รุกล้ำเข้าไปในบริเวณซากปราสาทพระวิหารซึ่งศาลได้พิพากษา
ให้อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาซึ่งถ้าหากมีการกระทำเช่นนั้นกัมพูชาก็
อาจจะอ้างได้ว่าเป็นละเมิดต่ออธิปไตยของกัมพูชาเหนือซากปราสาทพระวิหาร
3.สำหรับ ข้อ ข. ประเทศไทยมีพันธะจะต้องถอนกำลังทหาร
ตำรวจคนเฝ้าหรือยามรักษาการ
จากซากปราสาทพระวิหารซึ่งในคำพิพากษาของศาลก็มิได้มีการห้ามมิให้ประเทศไทย
มีกำลังทหารหรือตำรวจ
อยู่นอกบริเวณซากพระวิหารซึ่งเป็นอาณาเขตของไทยแต่เรื่องที่ยากแก่การ
ปฏิบัติก็คือคำพิพากษามิได้ชี้ขาดอย่างชัดแจ้งว่าซากพระวิหารมีอาณาเขตกว้าง
ขวางเพียงใด
ดังนั้นอาจจะมีปัญหาเรื่องการปักหลักเขตแดนใหม่ซึ่งตามคำพิพากษาของศาลก็มิ
ได้ถือตามแผนที่ภาคผนวก
แต่อาจถือตามสันปันน้ำเว้นแต่บริเวณซากปราสาทเท่านั้น
4.สำหรับ ข้อ ค. ประเทศไทยมีพันธะจะต้องคืนวัตถุจำนวน 1
ชิ้นที่นักเรียนจากกรมศิลปากร
ได้นำเอามาจากปราสาทพระวิหารวัตถุชิ้นนี้เป็นศิลามีคำจารึกที่
อ่านไม่ออกแผ่นศิลาชิ้นนี้กัมพูชาอ้างว่าได้โยกย้ายมาจากปราสาทพระวิหารโดยอ้างหนังสือของกรมศิลปากรเป็นพยานหลักฐานในคดี
5.การปฏิบัติตาม ข้อ ข. นี้
ไทยอาจปฏิบัติได้เองในบางส่วนแต่การปักหลักเขตแดนเพื่อให้เป็นไปตามคำ
พิพากษาเกี่ยวกับบริเวณพระวิหารนั้นน่าจะได้กระทำเมื่อกัมพูชาขอมา
และด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย
เรื่องนี้ ปรากฏในบันทึกความเห็นของศาสตราจารย์ โรแลง ฉบับลงวันที่ 21มิถุนายน 2505 ซึ่งให้ความเห็นว่าถ้า
รัฐบาลไทย
เห็นชอบและเห็นเป็นโอกาสอันควรศาสตราจารย์ โรแลงก็จะรับเป็นผู้ไปทาบทามนาย
ปินโต และนาย เรอแตร์ ทนายความของกัมพูชาอย่างไม่เป็นทางการให้
6.ส่วนการปฏิบัติตาม ข้อ ค.
นั้นจะต้องคืนให้แก่ผู้มีอำนาจรับมอบแทนรัฐบาลกัมพูชาและควรจะรอไว้ให้
กัมพูชาขอมาเสียก่อนเพื่อจะได้ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้ที่มีอำนาจรับมอบ
ฉะนั้น จึงขอกราบเรียนมาเพื่อพิจารณา ณ ที่นี้
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
(นายถนัด คอมันตร์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย
3.ที่ กต. ๗๖๗๘/๒๕๐๕ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
๒๘ มิถุนายน ๒๕๐๕
เรื่อง ความเห็นของทนายความฝ่ายไทยเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีเขาพระวิหาร
เรียน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
อ้างถึงหนังสือกระทรวงการต่างประเทศที่ สร. (0601) 30613/2505
ลงวันที่ 21มิถุนายน 2505 และที่ สร. (0601) 20687/2505 ลงวันที่ 22
มิถุนายน 2505
ตามที่ได้รายงานความเห็นของศาสตราจารย์อังรี โรแลง เซอร์ แฟรงก์
ซอสคิสและนาย เจ. จี.
เลอเลนส์ทนายความฝ่ายไทยเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศใน
คดีเขาพระวิหารไปเพื่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีทราบ ความแจ้งอยู่แล้วนั้น
ได้นำเสนอ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทราบแล้วด้วยความขอบคุณ
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
(นายมนูญ บริสุทธิ์)
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
กองนิติธรรม
4.ด่วนมาก
ที่ สร. (๐๖๐๑) ๒๒๗๐๙๘/๒๕๐๕ กระทรวงการต่างประเทศ
๑๗ สิงหาคม ๒๕๐๕
เรื่อง นำส่งบันทึกข้อสังเกตเกี่ยวกับคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีปราสาทพระวิหาร
กราบเรียน นายกรัฐมนตรี
อ้างถึง
1. หนังสือกระทรวงการต่างประเทศที่ สร.(020***) 21771/2505 ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2505 และ
2. หนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ กต.7964/2505 ลงวันที่ 5 กรกฎาคม 2505
สิ่งที่ส่งมาด้วย บันทึกข้อสังเกตเกี่ยวกับคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) ลงวันที่ 12 สิงหาคม 2505 รวม 30 ชุด
อนุสนธิหนังสือกระทรวงการต่างประเทศที่อ้างถึงนำเสนอบันทึกข้อสังเกตเกี่ยว
กับคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหาร ลงวันที่ 27มิถุนายน 2505 ไปเพื่อ ฯพณฯ
พิจารณาและหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่อ้างถึงแจ้งมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่3 กรกฎาคม 2505 อนุมัติให้พิมพ์บันทึกข้อสังเกตดังกล่าวแล้วได้
นั้น
ขอกราบเรียนว่า
ก่อนที่จะเปิดเผยบันทึกฉบับนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ให้นักกฎหมาย
ของกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมบันทึกดังกล่าวแล้วอีกครั้ง
หนึ่งดังบันทึกข้อสังเกตเกี่ยวกับคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหาร ลงวันที่
16สิงหาคม 2505 ที่ขอประทานเสนอมาพร้อมกับหนังสือนี้ รวม 30 ชุด
ขอแสดงความนับถือ
(นายถนัด คอมันตร์)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
5.ส่วนตัว สำนักงานทนายความ
เสนีย์ ปราโมช
๒๗ สิงหาคม ๒๕๐๕
เรียน ท่านนายกรัฐมนตรี ที่นับถือ
ตามที่รัฐบาลได้แต่งตั้งกรรมการขึ้นเพื่อตรวจพิจารณาและทำคำติชมคำพิพากษา
ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีเขาพระวิหารนั้น
กรรมการได้ตรวจพิจารณาทำคำวิจารณ์เสร็จแล้วผมจึงได้ส่งวิจารณ์ไปยัง
เลขาธิการคณะรัฐมนตรีตามทางการปัญหาที่กรรมการได้เสนอให้รัฐบาลพิจารณามีว่า
ถ้ารัฐบาลเห็นชอบด้วยกับวิจารณ์คำพิพากษาของกรรมการแล้วจะเป็นการสมควรหือ
ไม่ที่รัฐบาลจะเผยแพร่วิจารณ์ออกไปในเวลานี้กรรมการได้เสนอเหตุผลต่างๆ
เกี่ยวกับข้อนี้มาในบันทึกประกอบวิจารณ์
ถ้ารัฐบาลเห็นว่า เป็นการสมควรที่จะเผยแพร่วิจารณ์พิพากษาในเวลานี้ผมมีความยินดีจะช่วยเผยแพร่ในทางแสดงปาฐกถาต่อ
นักศึกษาและผู้สนใจในเรื่องนี้ทั่วไปเพราะตั้งแต่ได้ข่าวว่าศาลตัดสินให้ไทยแพ้คดีนักศึกษามหาวิทยาลัยรวมทั้ง
ประชาชนผู้สนใจได้มารบเร้าให้ผมไปชี้แจงแสดง
ความจริงในเรื่องนี้เสนอมา
เมื่อได้อ่านวิจารณ์คำพิพากษาแล้ว จะปรากฏใน
ตอนท้าย
ว่ามีหลักวิชาการแผนที่เกี่ยวข้องอยู่ด้วยเป็นส่วนสำคัญซึ่งกรรมการได้เรียน
คำวิจารณ์ไปตามแนวความคิดเห็นของ พ.ท.พูนพล อาสนะจินดาผู้เชี่ยวชาญที่ท่าน
นายกฯ
ได้กรุณาอนุมัติให้มาช่วยงานนี้แต่เท่าที่ได้พยายามเขียนออกมาเป็นคำพูดจะ
ฟังได้สนิทเพียงไรยังเป็นปัญหาอยู่วิจารณ์ส่วนนี้จะเร้าใจได้ดีเมื่อมีผู้
เชี่ยวชาญนำแผนที่มาแสดงให้ดูเช่นที่กล่าวถึงการปูเส้นกระด้างเป็นเส้นเขต
แดนซึ่งจะทำให้เขตแดนเคลื่อนที่จากความจริงปั่นป่วนกันไปขนาดนั้น
เมื่อพ.ท.พูนพล อาสนะจินดา นำแผนที่มาแสดงให้ดู กรรมการจึงเห็นความจริง
******วิชาได้อย่างชัดแจ้ง
กรรมการจึงได้ปรารภกันว่าถ้ารัฐบาลเห็นเป็นการสมควรที่จะให้มีการเผยแพร่
วิจารณ์คำพิพากษาแล้วหากจะอนุมัติให้มีการแสดงทางโทรทัศน์โดยให้ พ.ท.พูนพล
อาสนะจินดานำแผนที่ไปแสดงให้เห็นเป็นจริงเป็นจังตามหลักวิชาการด้วย
อาจได้ผลดีและเมื่อปรารภกันดังนี้แล้วกรรมการจึงได้มอบหมายให้ผมพิจารณาหา
ทางเรียนมาให้ท่านนายกฯ ทราบ
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าวิจารณ์คำพิพากษานี้จะเป็นเครื่องมือช่วยให้รัฐบาล
แสดงความชอบธรรมของไทยและจะแสดงให้คนทั้งหลายได้ทราบว่าศาลยุติธรรมระหว่าง
ประเทศตัดสินคดีนี้ผิดทั้งข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายตลอดจนความเป็นธรรม
สมดังที่รัฐบาลได้วิจารณ์ไว้แต่เบื้องต้น
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
(ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช)
6.ที่ ๑๗๖๓๔/๒๕๐๕ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
๑๓ กันยายน ๒๕๐๕
เรื่อง บันทึกวิจารณ์คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในกรณีปราสาทเขาพระวิหาร
เรียน หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ประธานคณะกรรมการพิจารณาคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในกรณีเขาพระวิหาร
อ้างถึง หนังสือที่ 368/2505 ลงวันที่ 27 สิงหาคม 2505 และหนังสือลงวันที่ 27 สิงหาคม 2505
ตามที่ได้ส่งบันทึกของคณะกรรมการฯเกี่ยวกับคำวิจารณ์คำพิพากษาศาลยุติธรรม
ระหว่างประเทศในกรณีปราสาทเขาพระวิหารและขอเผยแพร่คำวิจารณ์ไปเพื่อพิจารณา
นั้น
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีได้พิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาด่วน
คณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาเมื่อวันที่11 กันยายน 2505
ลงมติให้กระทรวงการต่างประเทศรับไว้ประกอบการพิจารณาเมื่อมีเรื่องที่จะต้อง
ดำเนินการต่อไป
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
(นายมนูญ บริสุทธิ์)
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี