บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

เทียบหม่ำ จ๊กม๊กกับอภิสิทธิ์

เทียบหม่ำ จ๊กม๊กกับอภิสิทธิ์-บทความในคอลัมน์ หน้ากระดานเรียงห้า โดย Surawich Verawan  ณ วันที่ 3 มีนาคม 2011 เวลา 11:33 น. 


ตอนนี้ลูกชายของหมออรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่คุณหมอพยายามสร้างฝันและกล่อมเกลาลูกชายจนก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น กำลังถูกเปลือยกายล่อนจ้อนจนเห็นถึงเนื้อใน

สำหรับอภิสิทธิ์แล้ววันนี้สังคมยอมรับในความเป็นคนรูปหล่อ พูดเก่ง การศึกษาดี และมีชาติตระกูล(จริงๆคนเราทุกคนก็มีคุณสมบัติข้อนี้เหมือนกันนั่นแหละ) แต่เรื่องการทำงานนั้น พูดเหมือนกันหมดว่า ทำงานไม่เป็น ชะรอยคนในพรรคก็คงรู้ พรรคร่วมรัฐบาลก็คงรู้ จึงไม่ได้มอบหมายงานอะไรให้รับผิดชอบมากนัก งานส่วนใหญ่จึงถูกมอบให้สุเทพทำ และหน้าที่หลักของอภิสิทธิ์คือเกาะโพเดียม ตัดริบบิ้น และเปิดนิทรรศการ

เวลาว่างส่วนใหญ่จึงเล่นหัวอยู่กับศิริโชคและแก๊งไอติม

กลายเป็นนายกฯหุ่นเชิดดีๆนี่เอง

2-3 ปีที่เป็นนายกรัฐมนตรีของอภิสิทธิ์ ทำให้คนจำนวนมากหันไปมองความดีในความชั่วของทักษิณ มีโพลอย่างน้อยทำออกมา 2 สำนัก ทำให้รู้ว่าค่านิยมของสังคมไทยเปลี่ยนไปในเชิงลบอย่างน่าตระหนก ว่า อยากได้นายกฯที่โกงแต่ทำงานเป็นมากกว่านายกฯที่ไม่โกงแต่ทำงานไม่เป็น

วันนี้พิสูจน์แล้วว่า คนที่มีการศึกษาแต่ขาดประสบการณ์นั้นทำงานสู้นายกฯที่จบป.4อย่างฮุนเซนไม่ได้เลย

ตอนนี้แม่ยกและพ่อยกของอภิสิทธิ์กำลังร้อนก้นมาก เพราะหาเหตุผลมาโต้แทนอภิสิทธิ์ไม่ค่อยได้ เพราะไม่มีผลงานอะไรให้หยิบยกมาเชิดชู อย่างเก่งก็เถียงได้ข้างๆคูๆว่า อภิสิทธิ์โกงตรงไหน แต่พอเขาถามกลับไปว่า พายเรือให้โจรนั่งหรือโดยสารเรือที่โจรพาย แม่ยกก็เงียบฉี่ หลบเข้าห้องน้ำไปฉี่กันเป็นแถว

คำยอมฮิตอีกคำในหมู่แม่ยกที่ถามกลับมายังฝั่งพันธมิตรฯ ว่า ถ้าไม่เอา มาร์คแล้วจะเอาใคร(คำนี้ไม่ถูกถามฝั่งเสื้อแดง เพราะเขามีนายกฯของเขาอยู่แล้ว)

ถ้าคุณสมบัติของอภิสิทธิ์ที่แม่ยกชื่นชมอยู่ที่รูปหล่อ พูดเก่ง การศึกษาดี และมีชาติตระกูล ผมคิดว่ามีคนแบบนี้เต็มไปหมด และประเทศนี้คงหานายกฯที่มีคุณสมบัติแบบนี้ให้แม่ยกชื่นชมได้ไม่ยาก

แม้ว่าคำถามนี้จะเป็นคำถามปัญญาอ่อน แต่กระนั้นผมจะลองตอบคำถามนี้ของแม่ยกอภิสิทธิ์ดูว่า ถ้าไม่เอาอภิสิทธิ์แล้วจะเอาใคร และยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมว่า คนๆนี้ดีเด่นดังและเก่งกว่าอภิสิทธิ์อย่างไร แม้ว่าจริงๆแล้ว ไม่ว่าผมจะเอ่ยชื่อใครมาก็ล้วนแล้วแต่มีความสามารถกว่าอภิสิทธิ์ทั้งนั้นก็ตาม

ถ้าแม่ยกถามว่า ไม่เอาอภิสิทธิ์แล้วจะเอาใคร คำตอบของผมคือ เพชรทาย วงศ์คำเหลา ซึ่งเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน

เพชรทาย วงศ์คำเหลา หรือ คุณหม่ำ จ๊กม๊กไงครับ แม้จะมีคนบอกว่า คุณหม่ำเคยพูดจาเหน็บแหนมพันธมิตรฯก็ตามที

อย่าเพิ่งขำ ผมพูดจริงไม่ได้พูดเล่น เพราะเข้าไปดูประวัติแล้ว คุณสมบัติของคุณหม่ำนั้นเหนือกว่าอภิสิทธิ์ทุกกระเบียดนิ้ว แต่ถ้าแม่ยกยังหลงติดในความรูปหล่อแล้ว ผมคิดว่าข้อนี้แก้ไม่ยากและปัจจุบันเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการเปลี่ยนโฉมหน้าพัฒนาไปไกลแล้ว และยังช่วยเรื่องเมกอัพได้อีกด้วย คุณสมบัติข้อนี้จึงผ่านโลด

เรื่องพูดเก่งนั้น ผมคิดว่าประเทศนี้คุณหม่ำคงไม่เป็นรองใคร และน่าจะเหนือกว่าอภิสิทธิ์ด้วยซ้ำไป

ถ้าถามเรื่องชาติตระกูล ผมคิดว่า ตระกูลวงศ์คำเหลาของคุณหม่ำก็น่าจะสืบสายแหรกบนประเทศนี้มาไม่น้อยกว่าตระกูลเวชชาชีวะ และเผลอๆอาจจะยาวนานกว่าด้วยซ้ำไป

เรื่องการศึกษาคุณหม่ำได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่อภิสิทธิ์ได้รับ อย่างนั้นต้องเชื่อว่า การกลั่นกรองให้คนได้รับปริญญากิตติมศักดิ์จากผู้ทรงคุณวุฒิของมหาวิทยาลัยต้องอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน ดังนั้นจึงการันตีได้ว่าคุณหม่ำกับอภิสิทธิ์นั้นต้องมีคุณสมบัติที่ทัดเทียมกัน

ทีนี้มาว่าเรื่องประสบการณ์ในการทำงานและประสบการณ์ชีวิต อภิสิทธิ์นั้นแทบจะไม่มีประสบการณ์ชีวิตในเมืองไทยเลย เพราะพ่อส่งไปเรียนหนังสือที่ต่างประเทศตั้งแต่เด็ก เรียนหนังสือที่นั่นจนถึงปริญญาโทกลับมาแล้วก็แต่งงานมีลูกทันที ประสบการณ์ชีวิตของคุณหม่ำจึงเหนือกว่าหลายขุม เพราะคุณหม่ำนั้นเคยผ่านชีวิตที่ทุกข์ยากปากกัดตีนถีบและกินข้าวคลุกน้ำปลามาก่อน จึงรู้ถึงปัญหาของคนยากจนได้ดีกว่าอภิสิทธิ์อย่างแน่นอน

ประวัติการทำงานนั้น อภิสิทธิ์ไม่เคยมีประวัติที่ทำอะไรประสบความสำเร็จมาก่อน เข้าไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย ก็ไม่รู้เลยว่าได้สอนจบภาคการศึกษาหรือไม่ เข้าไปเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยก็เพราะเรื่องไม่ได้ไปเกณฑ์ทหาร จากนั้นก็เข้าสู่การเมืองมาเป็นรัฐมนตรีฝึกหัดที่สำนักนายกฯอยู่หนึ่งสมัย ไม่มีใครจำได้ว่ามีผลงานอะไรบ้าง

แต่สำหรับคุณหม่ำนั้นเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานอย่างมากทั้งในด้านการแสดงและประกอบธุรกิจ ผลงานการแสดงเกือบทุกเรื่องได้รับการชื่นชอบจากประชาชน

คุณหม่ำมีธุรกิจในนามของบริษัท เครือบั้งไฟตระกูลวงษ์คำเหลา จำกัด (มหาชน) ที่กำลังขยายตัวอย่างกว้างขวาง โดยประกอบด้วยบริษัทย่อยอาทิเช่น

กลุ่มธุรกิจโทรทัศน์  บริษัท บั้งไฟ สตูดิโอ จำกัด บริษัท ทีวีอีสาน จำกัด กลุ่มธุรกิจละครซิทคอม บริษัท บั้งไฟ ซิทคอม จำกัด กลุ่มธุรกิจสถานีโทรทัศน์ดำเนินการธุรกิจสถานีโททัศน์ดาวเทียม ช่องบั้งไฟ แชนแนล บริษัท ตระกูลโทรทัศน์บั้งไฟ จำกัด

กลุ่มธุรกิจละครเวที บริษัท บั้งไฟ การละคร จำกัด กลุ่มการศึกษาดำเนินการและรับผิดชอบเรื่องการศึกษาใน วิทยาลัยสถาบันการศึกษาเครือบั้งไฟ โดยเน้นวิชาการผลิตภาพยนตร์และการผลิตแอนิเมชั่น โครงการจะแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2557 โดยบริษัท วิทยาลัยสถาบันการศึกษาเครือบั้งไฟ(อินเตอร์เนชั่นแนล) จำกัด

กลุ่มธุรกิจสารคดีดำเนินการและรับผิดชอบผลิตสารคดี บริษัท บั้งไฟ การสารคดี จำกัด กลุ่มธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ บริษัท บั้งไฟ พับลิชชิ่ง จำกัด บริษัท บั้งไฟ การหนังสือ จำกัด บริษัท วงการบันเทิงนิวส์ จำกัด

กลุ่มธุรกิจภาพยนตร์ดำเนินธุรกิจผลิตภาพยนตร์ บริษัท บั้งไฟ ฟิล์ม จำกัด บริษัท บั้งไฟ แอนิเมชั่น จำกัด กลุ่มธุรกิจถ่ายทำ/บันทึกการแสดงสดดำเนินการผลิตถ่ายทำ/บันทึกการแสดงสด และอุปกรณ์กล้อง บริษัท บั้งไฟ การถ่ายทำ/บันทึกการแสดง จำกัด กลุ่มธุรกิจโฆษณา บริษัท บั้งไฟ โชว์ จำกัด และสตูดิโอบันทึกเสียงดำเนินธุรกิจสตูดิโอบันทึกเสียง บริษัท บั้งไฟ การดนตรี จำกัด

ธุรกิจวีซีดีและดีวีดีดำเนินการและรับผิดชอบผลิตวีซีดีและดีวีดี บริษัท บั้งไฟ วีดีโอ จำกัด บริษัท บั้งไฟ ดีวีดี จำกัด ธุรกิจโรงภาพยนตร์-ฟิล์มดำเนินการและรับผิดชอบผลิตฟิล์มและโรงภาพยนตร์ บริษัท บั้งไฟ ซีนีเพล็กซ์ กรุ๊ป จำกัด บั้งไฟ ฟิล์มแลบ ธุรกิจเพลงมิวสิควีดีโอเพลง  บริษัท ลำน้ำชี จำกัด และธุรกิจสถานีวิทยุดำเนินการและรับผิดชอบสถานีวิทยุเครือบั้งไฟ เรดิโอ 99.44 FM บริษัท เครือบั้งไฟ เรดิโอ 99.44 FM จำกัด

บริษัททั้งหมดคุณหม่ำเป็นผู้บริหารเอง จะเห็นได้ว่า มีคุณสมบัติเหนือกว่าอภิสิทธิ์ทุกขุม

ดังนั้นเมื่อแม่ยกอภิสิทธิถามว่า ไม่เอาอภิสิทธิ์แล้วจะเอาใคร ผมยกตัวอย่างมาแล้วคือ หม่ำ จ๊กม๊ก แล้วช่วยตอบว่า อภิสิทธิ์มีคุณสมบัติข้อไหนที่เหนือกว่าคุณหม่ำบ้าง

โครงสร้างระบบการเมืองไทย ดร.ไก่ Tanond

รัฐศาสตร์วันละนิดจิตแจ่มใสนะขอรับ มาดูโครงสร้างการเมืองไทยกัน เข้าใจตรงนี้เมื่อไหร่ จะสามารถตอบทุกคำถามได้เลยขอรับ



>>>>>>>>>>>>[สถาบันพระมหากษัตริย์]<<<<<<<<<<<<<
                                  รัฐธรรมนูญ

                              โครงสร้างส่วนบน

input >      1.[บริหาร] 2.[นิติบัญญัติ] 3.[ตุลาการ]    > out put
ข้อเรียกร้อง           4. [ข้าราชการส่วนกลาง]          1.นโยบาย
ข้อสนับสนุน                    V                       2.พรบ /พรก/พรฏ
                   [ทหาร]          V                       3.คำพิพากษา
                                         V                      4.กฏกระทรวง/กรม
                             โครงสร้างส่วนกลาง

              [กลุ่มกดดัน] [กลุ่มผลประโยชน์] [สื่อมวลชน]
                           [ข้าราชการส่วนภูมิภาค]
                                         V
                                         V
                                  [ประชาชน]
                [องค์กรปกครอง/ข้าราชการส่วนท้องถิ่น]

                            โครงสร้างสร้างส่วนล่าง

 
‎1.พรรคและนักการเมืองไทย
    1.1 โดยหลักการที่ถูกต้องแล้ว พรรคการเมืองต้องอยู่ในโครงสร้างส่วนล่าง
    1.2 นักการเมืองส่วนใหญ่แล้ว ก็ควรอยู่ที่ส่วนล่างนี้เช่นเดียวกัน แต่ๆๆๆ

สำหรับของไทยนั้น กลับมีบุคคล/องค์กรในกลุ่มผลประโยชน์(ธุรกิจต่างๆ) เป็นตัวขับเค...ลื่อน กำหนดเป้าหมาย ด้วยความเป็นระบอบธนาธิปไตย โครงสร้างส่วนบนทั้ง1.และ2. จึงไม่ใช่ตัวแทนปวงชนอย่างแท้จริง
 
 
‎2.พันธมิตร อยู่ที่ไหน? ทำอะไร? ภายในโครงสร้างนี้
   2.1 พันธมิตร ก็คือ แกนหลักที่ขับเคลื่อนภาคประชาชน อยู่ในกลุ่มกดดัน
   2.2 ข้อเรียกร้อง 3 ข้อของพันธมิตร ก็คือ ข้อเรียกร้องที่เข้าไปใน input
   2.3 ข้อเรียกร้อง จึงพุ่งตรงไปที่ 1.บริหาร และ2.นิติบัญญั...ติ(ส.ส.) ที่แก้รัฐธรรมนูญโดยพลการ
   2.4 ทุกอย่างที่ทำเป็นไปแบบในระบบ ส่วนใครหน้าไหน?มาบอกว่าการเมืองข้างถนน ย่อมแสดงว่าเขาผู้นั้น ไม่เคยเห็น ไม่เข้าใจโครงสร้างนี้
 
‎3.เผด็จการรัฐสภา เป็นผลพวงโดยตรง ของมติพรรค! ในโครงสร้างส่วนบน ข้อ1.(บริหาร)และ2.(ส.ส.) เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อ  ข้อ2.มีพรรคเสียงข้างมาก ก็เข้าไปมีอำนาจในข้อ1.(บริหาร) ฝ่ายบริหารต้องการให้แก้ ให้ออกกฎหมายอะไร เช่นไร ก็เพียงใช้มติพรรคให้2.ยกมือสนับสนุน ผ่านกฎหมายนั้นๆ
 
‎4.ระบอบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ คือ การมีผู้นำอยู่โครงสร้างส่วนบ น กุมอำนาจในทุกโครงสร้าง กระทั่งประชาชนด้วย ยุคสมัยทักษิณนั่น กินส่วนบนไปเกือบหมด เหลือตุลาการอยู่ โครงสร้างส่วนกลาง กลุ่มผลประโยชน์ ธุรกิจใหญ่ๆก็ซัดเองทั้งนั้นที่เหลือก็ต่างเป็นพรรคพวกเขาทั้ง สื่อก็ซื้อมา กลุ่มกดดันก็มีเสื้อแดง โครงสร้างส่วนล่าง ประชาชนคนเหนือ-อีสาน-กรุงเทพฯ ก็ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ขืนอยู่ต่ออีกเทอม หมดแน่ๆกระทั่งสถาบันที่อยู่เหนือโครงสร้าง
 
 
ขอขอบคุณ ดร.ไก่ Tanond 

โฉนดชุมชน เรื่องวิบัติที่ต้องคัดค้านอย่างถึงที่สุด โดย ดร.โสภณ พรโชคชัย

โฉนดชุมชน เรื่องวิบัติที่ต้องคัดค้านอย่างถึงที่สุด

ดร.โสภณ พรโชคชัย


การปล้นแผ่นดินที่เป็นสมบัติของคนไทยทั้งชาติ เพื่อคน (อยาก) จน จำนวนหนึ่ง และเพื่อการหาเสียงของนักการเมือง ที่จะสร้างความวิบัติแก่ชาติในระยะยาว


ในช่วงที่ผ่านมา มีข่าวว่ารัฐบาลจะออก ‘โฉนดชุมชน’ ผมเห็นว่าแนวคิดนี้เป็นเรื่องวิบัติที่จะสร้างปัญหาอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศชาติในอนาคต เปรียบเสมือนการออกโฉนดชนเผ่าแบบประเทศด้อยพัฒนา ทั้งที่ประเทศไทยก็มีโฉนดที่ดินให้บุคคลและนิติบุคคลถือครองมานับร้อยปีอยู่แล้ว และถือเป็นการแก้ปัญหาผิดจุดเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงขออนุญาต ‘มองต่างมุม’ เพื่อช่วยกันคิดและมองให้รอบคอบก่อน ‘โฉนดชุมชน’ จะสร้างปัญหาให้กับประเทศชาติ ผมขอคัดค้านด้วยเหตุผลเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้:

1. ป่าเสื่อมโทรมนั้น ไม่ควรให้ใครไปอ้างสิทธิ์เอาแผ่นดินของส่วนรวมไปครอบครองเป็นส่วนตัวอย่างเด็ดขาด จะอ้างความจนมาปล้นแผ่นดินไม่ได้ เราควรเอาป่าเสื่อมโทรม มาปลูกป่าในเชิงพาณิชย์เพื่ออนาคตของประเทศชาติในอีก 50-100 ปีข้างหน้า ไม่ใช่กลายเป็น ‘ของโจร’ มา ‘แบ่งเค้ก’ กันไปโดยคนที่อยู่ใกล้ ๆ ถ้าปลูกป่าแล้วมีคนบุกรุก หรือทุกวันนี้มีคนพยายามทำลายป่าสมบูรณ์ให้กลายเป็นป่าเสื่อมโทรม ก็ต้องป้องปราม ไม่ใช่ ‘ยกประโยชน์ให้จำเลยไป’ หรือกลับไปคิดให้คนบุกรุกดูแลป่า ซึ่งเท่ากับ ‘ฝากปลาไว้กับแมว’

2. คนจนในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ไม่ควรทำไร่-นา เพราะไม่มีระบบชลประทาน น้ำท่าก็ไม่สมบูรณ์ ปกติคนชนบทส่วนมากก็มีรายได้จากเกษตรกรรมเป็นรอง รายได้นอกภาคเกษตรกรรมเป็นหลักอยู่แล้ว การให้แต่ละครอบครัวครอบครองกันคนละ 5-30 ไร่ ขึ้นอยู่กับการจับจองตามอำเภอใจ คงเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ทุกวันนี้ บ้านชนบท ก็ไม่ค่อยได้ประกอบการอะไรมาก อยู่แต่เด็กและคนแก่เป็นจำนวนมาก และกลายเป็นเสมือน ‘รีสอร์ท’ ให้ญาติพี่น้องที่มาทำงานตามเมืองใหญ่ กลับไป ‘ชาร์ตแบตฯ’ เป็นครั้งคราวอยู่แล้ว

3. ถ้าคนในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม ไม่ค่อยมีรายได้และยากจน รัฐบาลก็ควรหาทางสร้างงานทางอื่น ไม่ใช่ปล่อยให้ไปครอบครองที่ดินกันครอบครัวละมากบ้างน้อยบ้าง ซึ่งอาจเป็นงานในภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และอื่น ๆ จะสงวนให้พวกเขาอยู่ตามอัตภาพเช่นนี้ในสภาพที่ไม่เหมาะสมและเป็นการไม่ควร สาธารณูปโภค สาธารณูปการ เช่น โรงเรียนประถม สถานีอนามัย ก็ต้องขยายออกไปอย่างไม่สิ้นสุด สิ้นเปลืองทรัพยากร เพราะคนใช้บริการก็น้อย สมมติให้ครอบครัวหนึ่งหาของป่าออกมาได้ 200 บาทต่อครัวเรือน และหากนับรวมค่ากินอยู่จากสิ่งที่หาได้ในป่าแล้ว เป็นเงินครัวเรือนละ 5,000 บาท หรือปีละ 60,000 บาท หากชุมชนชาวเขาหนึ่งมี 50 หลังคาเรือน ก็จะเป็นเงิน 3 ล้านบาท เชื่อว่าในปีหนึ่ง ๆ ความสูญเสียของป่าไม้เพื่อการยังชีพของพวกเขา คงมหาศาลกว่านี้ หากจ้างให้พวกเขาอยู่เฉย ๆ ไม่ทำลายป่า คงเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมกว่านี้

4. กรณีชาวเขา ที่มักนำมาอ้างว่าไม่ได้ทำลายป่าจากการปลูกไร่เลื่อนลอย (หมุนเวียน) นั้น คงเป็นชาวเขากลุ่มเล็ก ๆ แต่เดี๋ยวนี้ชาวเขามีมากมาย ป่าไม้คงไม่พอให้พวกเขาหาเลี้ยงชีพ คนชาวเขาจำนวนมากก็ทำงานในเมือง เช่นคนชนบททั่วไป ชาวเขาที่หาของป่า จับสัตว์ป่ามาขาย ควรหรือที่จะทำเช่นนี้ และนี่หรือคือคนที่จะพิทักษ์ป่า บางทีการจ้างให้พวกเขาให้อยู่เฉย ๆ ไม่ให้บุกรุกป่า และทำหน้าที่ช่วยรักษาป่า ยังดีกว่าปล่อยให้พวกเขาบุกรุกป่าเช่นนี้

5. กรณีป่าสงวนออกมาทับซ้อนกับที่ดินของผู้ที่ครอบครองไว้ก่อน ก็เป็นปัญหาในบางพื้นที่เท่านั้นที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะแก้ไข ก็คงมีเพียงบางพื้นที่เท่านั้น จะถือมาเป็นข้ออ้างเพื่อสุมให้ดูมีปัญหามากมาย เพื่อจะได้ออกกฎหมายป่าชุมชน เป็นสิ่งที่ต้องทบทวน ถือเป็นเล่ห์เพทุบายที่ไม่ตรงไปตรงมา สำหรับคนที่อยู่ป่ามาก่อนประกาศเป็นเขตป่า รัฐบาลก็ยินดีออกเอกสารสิทธิ์ให้อยู่แล้ว หรือสามารถต่อสู้เรียกร้องเพื่อความเป็นธรรมได้ แต่ผู้ที่มาบุกรุกภายหลัง ถือว่าเป็นผู้บุกรุก ไม่ควรให้อยู่ หาไม่ใครต่อใครก็จะมาอ้างสิทธิ์ไม่สิ้นสุด

6. ผู้สนับสนุนเรื่องโฉนดชุมชน ยังอ้างว่า คนจนที่บุกรุกอยู่ในเมือง ก็ควรจะได้รับโฉนดชุมชนเช่นกัน ทั้งที่ในความเป็นจริง ผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนแออัดส่วนมาก ไม่ได้เป็นคนจน และโดยเฉพาะชุมชนประเภทบุกรุกอยู่ฟรีบนที่ดินของคนอื่นมา 2 ชั่วคนแล้ว ทำผิดกฎหมายและได้ประโยชน์มาโดยตลอด ยังจะถือโอกาสจะอ้างสิทธิ์ให้มีโฉนดชุมชนอีกหรือ ในขณะที่ชาวบ้านทั่วไปที่ก่อร่างสร้างฐานะขึ้นมา ต้องไปซื้อบ้านชานเมืองไกล ๆ ตอนเช้าก็ออกจากบ้านตอนตีห้าเพื่อเลี่ยงรถติด กว่าจะกลับถึงบ้านก็สองทุ่ม ส่วนคนที่บุกรุกอยู่ใจกลางเมือง ยิ่งถ้าใกล้รถไฟฟ้า ยิ่งสบายใหญ่ แถมรัฐบาลยังจะให้สิทธิ์อยู่ฟรีไปอีกไม่สิ้นสุด อย่างนี้คงไม่เป็นธรรมต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศ

7. มีตัวอย่างชุมชนแออัดแห่งหนึ่งที่หลายฝ่ายที่ไม่รู้ก็ยกย่องว่าเป็นชุมชนที่ดี โดยรัฐบาลอนุญาตให้คนเหล่านี้ที่บุกรุกที่ดินของส่วนรวมอยู่ฟรีมา 2 ชั่วคน ได้รับสิทธิเช่าอยู่แบบถูก ๆ แบบถูกกฎหมาย แถมจัดระเบียบบ้านให้ดูสวยงาม มีสวนหย่อมน่ารัก แล้วสุดท้ายก็สรุปว่าชุมชนประเภทนี้ทำดี เป็นชุมชนพอเพียง ทั้งที่นี่คือการ ‘ปล้น’ สมบัติของชาติและส่วนรวมไปใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง

8. เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวกับองค์กรชุมชนบางคนถึงขนาดเขียนบทความสนับสนุนโฉนดชุมชนว่า ชาวบ้านที่บุกรุกที่ดินของเอกชนควรได้รับโฉนดชุมชนบนที่ดินที่ตนบุกรุกอยู่โดยไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ หรือเป็นที่ดินที่เป็นหนี้กับสถาบันการเงินต่าง ๆ นี่เป็น ‘อาชญากรรม’ การปล้น การละเมิดสิทธิของผู้อื่นอย่างเห็นได้ชัด การปล้นไม่ใช่การทวงถามความเป็นธรรม จึงเป็นบาป หากมีโฉนดที่ดินในลักษณะนี้ก็เท่ากับสร้างอนาธิปไตยให้เกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย แผ่นดินนี้ก็จะลุกเป็นไฟ ประเทศก็จะมีแต่ความวิบัติ บรรพบุรุษของเรา ตั้งแต่ระดับกษัตริย์ ข้าราชการ (ที่ดี) และประชาชนที่สละชีพเพื่อปกป้องแผ่นดินไทย ก็คงต้องเสียใจกันขนานใหญ่แน่นอน การไปเบียดบังสมบัติของแผ่นดิน ที่หลวง มาเป็นของตนเองโดยถือว่าอยู่ใกล้ เหยียบย่ำเอาตามใจชอบ มันเป็นบาปที่ปฏิเสธไม่ได้ และอาจเป็นเพราะเหตุนี้จึงไม่เป็นมงคลต่อชีวิต ทำมาค้าขายอะไรก็ไม่ขึ้น และยังอาจเป็นบาปติดตัวไปถึงลูกหลาน บาปมาหรือน้อย ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็จะดีกว่าทำบาปต่อไป หรือถ้าได้ทำบาปไปแล้ว ก็ต้องรู้จักลด ละ เลิก ไม่เช่นนั้น จะไม่พบกับบั้นปลายที่ดีงาม

9. กรณีบ้านสระพัง ต.บางเสาธง อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราชที่ชาวบ้านครอบครองที่ดิน 1,600 ไร่มาตั้งแต่ปี 2491 นั้น รัฐบาลก็ควรแก้ไขปัญหาเฉพาะที่นี้ ไม่ใช่กลายเป็นต้นแบบการทำโฉนดชุมชนในบริเวณอื่น ทำให้ปัญหายิ่งซับซ้อนไปใหญ่ ทางราชการมีโฉนดตราครุฑ แต่ที่นี่มี ‘โฉนดช้างดำ’ ถ้ามองให้ลึกซึ้งถือเป็นการท้าทายอำนาจรัฐซึ่งเป็นของประชาชนคนส่วนใหญ่ชอบกล ในหลาย ๆ กรณีเช่นนี้ รัฐบาลก็สามารถให้ชาวบ้านเช่าที่ดินได้ในระยะยาว พวกเขาจะได้เอาที่ดินไปจำนองหรือทำนิติกรรมต่าง ๆ เช่นกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรได้ด้วย

10. ถ้าหน่วยงานของรัฐบางหน่วยจะเข้าไปช่วยเหลือ เช่น กรณีชาวบ้านบุกรุกป่าสงวน ต.ศรีสะเกษ อ.นาน้อย จ.น่าน นั้น ไม่ควรไปเพียงสร้างผลงาน และกลายเป็นการกึ่งรับรองสิทธิ์ของการบุกรุกไปเสีย เพราะการแก้ไขปัญหาในภายหลัง จะทำได้ยากขึ้น แต่กรณีใดที่สมควรประชาชนได้เช่าให้ถูกต้อง หรือให้หนังสือแสดงการครอบครอง ก็อาจเป็น สปก.4-01 ให้ได้เช่นกัน

11. ในบางกรณีถึงกับมีการอ้างอิงการแก้ปัญหาที่ดินชายฝั่งทะเลอันดามัน ภายหลังเกิดสึนามิ นั้น แต่เดิมชาวบ้านทั่วไปก็มีเอกสารสิทธิ์อยู่แล้ว ส่วนผู้บุกรุก ก็ควร ‘พอ’ เสียที ไม่ใช่ยังจะอ้างสิทธิ์ที่ไม่พึงได้ต่อไปอีก นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่ากรณีสึนามิที่มีองค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์กร NGO และองค์กรอาสาสมัครต่าง ๆ เข้าไปมากมายนั้น เชื่อว่างบประมาณที่ใส่เข้าไป อาจรวมเป็นนับพันนับหมื่นล้านไปแล้ว แต่ก็แทบไม่ได้เห็นโภคผลอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน และจนบัดนี้ก็ยังมีเรื่องให้ทำไม่มีวันจบสิ้น ประหนึ่งเป็นการ ‘หากิน’ กับสึนามิชอบกล

12. ในการแก้ไขปัญหานั้น ควรแก้เป็นจุด ๆ ไม่ใช่เหวี่ยงแหออกกฎหมายใช้ไปทั่ว ที่ไหนประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ต้องต่อสู้อย่างสันติ เช่น กรณียายไฮ ไม่ใช่เห็นนายทุนปล้นชาติ คน (อยาก) จน ก็จะปล้นชาติบ้าง กรณีออกกฎหมายคลุมไปทั่วนั้น อาจเปิดช่องให้เกิดการทุจริตและประพฤติมิชอบได้ คล้ายกรณี สปก.4-01 ที่ถือโอกาสแจกที่ดินให้คนรวยไปด้วย หรือการออกกฎหมายโฉนดชุมชนนี้คือการปูทางสู่การปล้นแผ่นดินดังกล่าว

13. แม่น้ำหนองบึงในย่านชุมชน ก็ล้วนเป็นของส่วนรวม แต่ไม่ใช่ของชุมชนใดชุมชนหนึ่ง เพราะถ้าเช่นนั้น ชุมชนอื่น ก็อาจไม่ได้รับสิทธิ์ในการใช้สอยด้วย กลายเป็นการสร้างปัญหามากกว่าการแก้ปัญหา ของหลวงหรือของส่วนรวม คือสมบัติของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ให้ใครอยู่ใกล้ทรัพยากร ก็มือใครยาว สาวได้สาวเอา เราต้องคิดเสียใหม่ว่า ของที่ไม่ใช่ของเรา ไม่ควรถือครอง ไม่ว่าตนจะเป็นคนรวยหรือคนจน ของส่วนรวม ของหลวงก็คือของที่ต้องรักษาไว้เพื่อทุกคน

14. การให้คนมีที่ดินเป็นของตนเอง ควรพ้นสมัยได้แล้ว มีที่ดีก็ไม่ใช่ว่าจะดีเสมอไป บางคนพอได้ที่ดินเป็นของตนเอง ก็เอาไปขาย เพราะพวกเขาไม่เคยอาบเหงื่อต่างน้ำจนหาซื้อมาเองได้ แต่ได้จากการแจก พวกเขาจึงขาด Sense of Belonging จึงขายไป แสดงว่าเราไม่ควรแจกที่ดินให้ใคร และการแจกที่ดินไม่ใช่ทางออกของปัญหา และขนาดที่ดินของตนเองยังรักษาไว้ไม่ได้ โฉนดชุมชนก็คงหาคนรักษาได้ยาก อาจกลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า หรือหากเป็นกรณีผู้นำชุมชนที่ทุจริต ในอนาคตก็อาจได้เห็นภาพที่เอาโฉนดชุมชนไปให้คนอื่นหรือนายทุนเช่าต่อไปก็ได้ กลายเป็นที่ตั้งโรงสี โรงเลื่อยหรือโรงงานอะไรไป รายได้ก็เข้าทำนอง ‘วัดครึ่งหนึ่ง กรรมการครึ่งหนึ่ง’ อย่างที่เห็นอยู่ทั่วไป

15. เมื่อ 50 ปีที่แล้ว แทบไม่มีหมู่บ้านชาวเขาอยู่บนเขาเลย แต่เดี๋ยวนี้มีมากมาย บุกรุกกันเพิ่มแทบทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี จึงคงเป็นไม่ได้ได้ที่จะให้ขยายตัวอย่างนี้ บางแห่งกลายเป็น อบต. กลายเป็นเมืองไปแล้ว อย่างนี้จะบอกว่าชาวเขาอยู่อย่างพอเพียงไม่ขยายตัวได้อย่างไร เราจึงควรจัดหาที่อยู่ให้ใหม่ ในเวียดนามเมื่อปลายเดือนกันยายน 2552 ก็อพยพย้ายคนนับแสน ๆ เพื่อหนีพายุ คนนับล้านที่อาจต้องย้ายออกจากป่า ถ้าทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบร้อนแบบหนีพายุ ก็น่าจะสามารถทำได้ เชื่อว่า ในจีน ลาว เขมร เวียดนามหรือมาเลเซีย เขาคงไม่ปล่อยให้มีการบุกรุกป่ากันตามอำเภอใจเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา เราอาจต้องไปดูงานการจัดการป่าไม้ของประเทศเพื่อนบ้านมากกว่าไปดูงานที่ยุโรปและอเมริกาเสียแล้ว

16. ในการจัดการปัญหาของชาตินั้น ทางราชการต้องดำเนินการโดยเด็ดขาดโดยไม่เลือกปฏิบัติ จะย่อหย่อนจนปัญหาลุกลามเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ คนที่รับราชการมาจนได้ดิบได้ดีใหญ่โต ได้ลาภยศมากมาย แต่กลับปล่อยให้แผ่นดินไทยถูกปล้นชิงโดยเสมือนไร้ขื่อแป สมควรได้รับการประณามเป็นอย่างยิ่ง เราต้องปกครองกันโดยกฎหมายให้เคร่งครัด ไม่ใช่ให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย พวกมากลากไป เสียงดังไว้ก่อน หรือมือใครยาว สาวได้สาวเอา

17. ในประเทศสังคมนิยม ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน เวียดนาม เขาก็เลิกระบบนารวมกันไปแล้ว เรายังจะย้อนยุคไปถึงโฉนดชุมชนเสียอีก การแก้ไขปัญหาของชาตินั้น แน่นอน เราก็ควรฟังเสียงของผู้สูญเสียผลประโยชน์ และหากเขาได้รับผลกระทบ ก็ต้องชดเชยกันให้เต็มที่ แต่จะฟังแต่คนเดือดร้อน โดยไม่นำพาประโยชน์ของคนส่วนใหญ่และประเทศชาติ ก็เท่ากับเรานำพาแต่กฎหมู่ ในมาเลเซีย หากรัฐบาลมีโครงการพัฒนาใด ๆ ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะไม่เห็นด้วยกับค่าทดแทนที่จ่ายให้ เพราะเขาต้องการให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรม แต่จะมาโหวกเหวกโวยวายไม่เห็นด้วยกับโครงการ ไมได้เด็ดขาด แต่ของไทย หากจะทำอะไรแต่ละที กลับไปถามแต่ผู้สูญเสียประโยชน์ส่วนน้อย อีกไม่ช้าประเทศไทยต้องด้อยกว่าเพื่อนบ้าน (ยกเว้นพม่า) อย่างแน่นอน

แล้วใครได้ ใครเสีย ประชาชนทุกคนผู้เสียภาษี และประเทศชาติคือผู้เสีย เสียงบประมาณโดยใช่เหตุ เสียอนาคตที่จะอยู่กันอย่างอุ่นใจโดยมีขื่อแปและกฎหมายที่เท่าเทียมกันมาคุ้มครอง เสียโอกาสการพัฒนาประเทศ และทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน ลัทธิอนาธิปไตยจะครอบงำประเทศเหนือระบอบประชาธิปไตย เพราะเกิดปรากฏการณ์ที่กลายเป็นว่า ใครอยู่ใกล้ทรัพยากรของชาติที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ ก็สามารถเอาไปใช้เป็นของส่วนตัว ของหมู่เหล่าเฉพาะของตน โดยที่ประชาชนผู้ยากไร้แท้ ๆ ที่ไม่มีกระทั่งที่ซุกหัวนอน ก็ยังไม่สามารถเข้าไปร่วมด้วยได้

พวกอนาธิปไตย พยายามเบื่อเมาให้ประชาชนเพิกเฉยต่อการ ‘ปล้น’ หรือ ‘ฉกชิง’ ทรัพยากรของชาติ โดยให้ถือเป็น “ธุระไม่ใช่” หรือ “หมูเขาจะหาม อย่าเอาคานไปสอด” อีกทั้งยังอ้างความ (อยาก) จน หรืออ้างว่า “ทีใครทีมัน” คนรวยยังทำผิดกฎหมายได้ คนจนก็ต้องทำได้เช่นกัน การถือมาตรฐานอนาธิปไตยเช่นนี้ เป็นความผิดบาปที่เราไม่ถือความถูกต้องตามกฎหมายและศีลธรรม ปล่อยให้การแย่งชิงทรัพยากรเป็นเรื่อง “มือใครยาวสาวได้สาวเอา” สังคมก็จะไร้ขื่อแป และสุดท้ายประเทศชาติจะต้องแตกสลาย ยังความเศร้าสลดทั้งต่อคนไทยวันนี้และบรรพบุรุษที่หลั่งเลือดสร้างชาติมา

เราจะปล่อยให้การปล้นชิงทรัพยากรของชาติ ที่หลวง ในนามของคน (อยาก) จน กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมายไม่ได้ สำหรับคนจนจริง ๆ สังคมต้องไม่ทอดทิ้ง และให้การช่วยเหลือกันตามอัตภาพ แต่ไม่ใช่ว่าคนจนเป็นคนที่วิจารณ์ไม่ได้ แตะต้องไม่ได้ ทำผิดไม่ได้ เข้าทำนอง Untouchable หรือ Can Do No Wrong!

โดยสรุปแล้ว โฉนดชุมชนนั้นเป็น “ปาหี่” หาเสียงของนักการเมือง ที่ทำยังไงก็ไม่มีทางสำเร็จ แต่ทำรัฐก็อาจปล่อยให้ “ของเล่น” ชิ่นนี้ได้ลองทำ ลองพูดอภิปรายกันใหญ่โต แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่ทางออกการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นองค์รวมได้ โครงการจะทำนำร่อง 30 แห่ง เอาเข้าจริง มีเพียง 5 แห่งที่พอทำได้ ทำแล้วก็เป็นแค่ข้อยกเว้น ไม่ใช่สามารถนำไปใช้ได้ในพื้นที่อื่นทั่วไป รัฐบาลทำโครงการโฉนดชุมชนก็เพื่อหาเสียงว่าได้ทำอะไรแก่คนจนบ้าง แต่ไม่ได้หวังผลเข้าทำนอง “ไฟไหม้ฟาง”

หนทางแก้ปัญหาการกระจายที่ดินต้องใช้ระบบการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในทางสากล เขาเก็บกันประมาณ 2% ของมูลค่าจริง และไม่มีการยกเว้นใด ๆ เมื่อเก็บภาษีจริงจัง เจ้าที่ดินรายใหญ่ก็ต้องคายที่ดินออกมาโดยการขาย หรือไม่อาจกักตุนที่ดินเพื่อการเก็งกำไรกันง่าย ๆ อย่างแต่ก่อน ราคาที่ขายก็จะว่ากันตามท้องตลาด ไม่ได้โก่งราคาเหมือนยามเก็งกำไร ประชาชนก็จะสามารถซื้อหาที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหรืออื่น ๆ ได้

ในท้ายสุดของบทความนี้ ขอยกความเห็นของท่านผู้อ่านบทความที่ผมได้ทดลองเผยแพร่ไว้ก่อน มาร่วมตั้งข้อสังเกตถึงความวิบัติของโฉนดชุมชน ได้ดังนี้:

“เลิกมันซะที กับความหน้าด้าน ที่อ้างความยากจนบังหน้า หัดเคารพตนเองบ้าง หัดเคารพตนเองที่ไม่โลภอยากจะได้ของๆใคร หัดเคารพตนเองที่จะไม่โลภ บุกยึดที่ป่า มาเป็นของตน
- คนที่เคารพตนเองนั้น ขนาดกล้วยไม้ ในป่าก็ต้องไม่ไปเอามันออกมา ต้องปล่อยเอาไว้เยี่ยงนั้น
- คนที่เคารพตนเอง ต้องไม่ยิงแม่นก ต้องไม่ยิงลิงหรือยิงหมียิงแม่เสือเพื่อที่จะเอาลูกของมันมาขาย
- คนที่เคารพตนเอง ต้องรังเกียจ การค้าสัตว์ป่า หรือแม้นกระทั่งการกินอาหารป่า ไม่ว่าจะเอามาทำเป็นยาบ้าบอคอแตกอะไรทั้งสิ้น
- คนที่เคารพตนเอง ถ้าจะเอาต้นไม้ในป่ามาใช้ ก็ต้องเลือกเอาเฉพาะกิ่งที่มันหักโค่นเท่านั้น ไม่ใช่ไปลักตัดต้นไม้ในป่า
- คนที่เคารพตนเองต้องไม่เผาป่าเพื่อบุกรุกหรือต้องไม่แผ้วถางป่าเพื่อบุกรุก

ทุกคนสามารถที่จะเคารพตนเองได้ ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะยากดีมีจนอย่างไร และพึงระลึกเสมอว่า ความยากจนนั้นสามารถที่จะแก้ไขให้หายยากจนได้ ถ้าหากมีความพยายาม หมั่นเพียร ไม่ตั้งในความประมาท นั่นคือไม่ตั้งอยู่ในสิ่งที่ผิดกฎหมายและผิดศีลธรรม ไม่เคยมีคนขยันและเอาจริงที่อดตาย และที่สำคัญที่สุด ต้องให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่มีข้อยกเว้น และต้องมีกฎหมายที่ควบคุมการผูกขาด และกฎหมายที่ควบคุมไม่ให้มีการถือครองที่ดินที่มากเกินไป นั่นคือระดับร้อยไร่ มันก็น่าที่จะพอแล้ว”

ที่มาของภาพ: http://pics.manager.co.th/ShowImage.html?Image=%2fImages%2f554000002032302.JPEG&Width=400&Height=266
จากข่าว
นายกฯมอบโฉนดชุมชนสหกรณ์บ้านคลองโยง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กุมภาพันธ์ 2554 16:30 น. http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000019109

เมื่อชาวบ้านเห็นธาตุแท้ “อภิสิทธิ์” ก็โดดเดี่ยว !!

เมื่อชาวบ้านเห็นธาตุแท้ “อภิสิทธิ์” ก็โดดเดี่ยว !!


เมื่อชาวบ้านเห็นธาตุแท้ “อภิสิทธิ์” ก็โดดเดี่ยว !!

ผ่าประเด็นร้อน

นาทีนี้หากพิจารณากันตามความเป็นจริงอย่างละเอียด ก็จะพบได้ทันทีว่านายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ภาวะที่กำลัง “หมดสภาพ” เข้าไปทุกที
นับวันกลายเป็นบุคคลที่ล้มละลายทางความเชื่อถือเข้าไปทุกทีแล้ว กลายเป็นคนที่โกหกหลอกลวง หาความจริงไม่ได้ หรือมีคำพูดที่สวยหรูแต่ปฏิบัติไม่ได้

และที่สำคัญไร้อำนาจแท้จริง กลายเพียงแค่ “หุ่นเชิด” ของ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ สุเทพ เทือกสุบรรณ กับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งคนหลังยังควบตำแหน่งหัวหน้า “พรรคทหาร” ที่ใช้ “เด็กๆ” ในกองทัพกดดันรัฐบาลผ่านทาง สุเทพ นั่นเอง

ดังนั้นถ้าให้สรุปความให้เห็นภาพในตอนนี้ก็จะพบว่าคนที่มีอำนาจ “สั่งการ”แท้จริงก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพราะภาพที่ปรากฏก็คือ ไม่ต่างจาก “ขาใหญ่” ที่มีอิทธิพลบงการอยู่ข้างหลัง ขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ “สยบยอม” เพราะเป้าหมายของตัวเองเพียงแต่ “อยากเป็น” นายกรัฐมนตรี “ให้นานที่สุด” เท่านั้น โดยไม่ไปสนใจว่าคนรอบข้างจะทุจริตอย่างไร พรรคร่วมรัฐบาลจะกิน “ค่าหัวคิว” สร้างความล้มเหลวในการบริหารบ้านเมืองอย่างไรก็ตาม

อย่างไรก็ดีเมื่อต้องสรุปให้เหนือขึ้นมาอีกชั้นมันก็ต้องชี้หน้ามาที่นายกรัฐมนตรีอยู่ดี เพราะเป็นผู้บริหารสูงสุด แม้ว่าแท้ที่จริงจะเป็นแค่หุ่นเชิดไร้ความหมายก็ตาม แต่ก็ต้องรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด

สำหรับการยื่นญัตติของเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านคราวนี้ มันก็เป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วว่าเขาจะต้องโดนหนักกว่าคนอื่น เพราะหากคว่ำได้นั่นก็ย่อมหมายความว่ารัฐบาลก็ต้องพ้นไปทั้งคณะ

หากแยกพิจารณาเฉพาะบางคนในรัฐบาลที่ตกอยู่ในเป้าหมายการซักฟอกคราวนี้ นอกเหนือจาก นายกฯอภิสิทธิ์ แล้ว ก็ย่อมตามมาด้วย รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ส่วนที่เหลืออีก 8 คน แม้ว่าในความเป็นจริงจะต้องกล่าวถึงเรียงตัว แต่นาทีนี้จะข้ามไปก่อน เพราะ อภิสิทธิ์ ถือว่าเป็นต้นตอของความ “ฉิบหาย” ของบ้านเมืองในวันนี้

สำหรับ นายกฯ อภิสิทธิ์ ที่ถูกฝ่ายค้านยื่นซักฟอกและยื่นถอดถอนรวมแล้วหลายข้อหา สรุปรวมๆก็คือ บริหารงานล้มเหลว ทำให้เกิดความเสียหายกับบ้านเมือง

อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตามความเป็นจริง ถือว่าข้อกล่าวหาในญัตติของฝ่ายค้านไม่ถูกต้อง เพราะแท้ที่จริงแล้ว นายกฯอภิสิทธิ์ ไม่ได้บริหารงานล้มเหลว แต่ “ไม่ได้บริหาร” หรือ “บริหารไม่ได้” ต่างหาก เพราะเขาเป็นแค่ “หุ่นเชิด” แลกกับการได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไปวันๆเท่านั้น

พิสูจน์ให้เห็นก็ได้อย่างกรณีการทุจริตคอร์รัปชั่น กลายเป็นว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มีการโกงมากที่สุด ซึ่งมีข้อเท็จจริงยืนยันประจักษ์เป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้ว ไม่ต้องอธิบายซ้ำซาก ทั้งที่ในช่วงที่ก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯใหม่ก็มีการตั้งกฎเหล็กเอาไว้ 9 ข้อ จนได้รับการชื่นชม และถูกตั้งความหวังไว้ว่าบ้านเมืองน่าเดินไปในเส้นทางใหม่เสียที แต่เมื่อผลออกมาเป็นตรงกันข้าม มันก็เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ทำอะไรตามที่พูด ตามที่สัญญาเอาไว้ กลายเป็นว่าเป็นการ “สร้างภาพ” หลอกต้มบรรดา “แม่ยก” ให้ “กรี๊ดกราด” เท่านั้นเอง

กรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา จนนำไปสู่การเสียดินแดนจากกรณีกอดเอ็มโอยู 43 เพื่อปกปิดความผิดให้กับพวกพ้อง และนายทหารบางกลุ่มที่ทำธุรกิจเถื่อนตามแนวชายแดนเท่านั้น เขาทำได้ทุกอย่าง โดยไม่ลังเล

หรืออย่างกรณีล่าสุดที่กำลังเกิดขึ้นสดๆร้อนๆกรณี “วิกฤติน้ำมันปาล์ม” หรือข้าวของแพงอยู่ในเวลานี้ก็ล้วนมาจากความไม่เอาไหนของนายกฯที่ชื่อ อภิสิทธิ์ ถามว่าเวลานี้ปัญหาการขาดแคลนน้ำมันปาล์มและมีราคาแพงยังคงมีอยู่หรือไม่ ก็ต้องตอบว่ายังคุมไม่อยู่ ถามว่าปัญหาที่เกิดขึ้นปะทุรุนแรงมานานกว่า 3 เดือน ทำไมเพิ่ง “ตาลีตาเหลือก” ลงมาแก้ไข ที่ผ่านมาชาวบ้านเขาก็รู้ว่ามีการ “กักตุน-ปั่นราคา” โดยกลุ่มทุนของพรรคการเมืองของใครก็รู้ๆกันอยู่

สภาพที่นายกรัฐมนตรีเดินตรวจสินค้าตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ จึงดูไม่ต่างจาก “เจ้าหน้าที่” กรมการค้าภายในคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ลักษณะของนักบริหารจัดการที่ชอบพูดให้ได้ยินอยู่เสมอ

ปัญหาสินค้าแพงและขาดตลาดไม่ใช่มีแต่เฉพาะน้ำมันปาล์ม แต่ยังลามไปถึง น้ำมันถั่วเหลือง น้ำตาล นมผง สารพัด แม้ว่าต้องยอมรับความเป็นจริงว่าส่วนหนึ่งมันมีต้นตอมาจากราคาน้ำมันแพง อาจเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ แต่ถามว่าปัจจัยภายในล่ะ ทำไมถึงบริหารจัดการไม่ได้ และล่าชาไม่ทันการจนเกิดความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

นาทีนี้เมื่อชาวบ้านเขาเห็นธาตุแท้ว่า นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่ “ของจริง” เป็นแค่ “หุ่นเชิด” หรือเด็กละอ่อนที่อยากเป็นนายกฯเท่านั้น โดยไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะทำความเลว ทุจริตอย่างไร เมื่อความจริงปรากฏให้เห็นกับตาแบบนี้ ก็อย่าได้แปลกใจที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวนี้เขาจะรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน เพราะศัตรูก็ยังเป็นกลุ่มเดิมมิหนำซ้ำยังเข้มแข็งเพิ่มขึ้น เพราะความหน่อมแน้มของเขานั่นเอง ขณะที่คนที่เคยเอาใจช่วยก็ไม่เอาด้วย

ดังนั้นศึกซักฟอกเที่ยวนี้ อาจจะเป็นศึกครั้งสุดท้ายของเขา เพราะหลังจากนี้อาจจะต้องไปแล้วไปลับ เพราะเมื่อความจริงถูกเปิดเผยเขาก็เหมือนคนเปลือยกายล่อนจ้อนนั่นเอง !!

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง