นายศานติ ภักดีคำ นักวิชาการด้านเขมรศึกษา อธิบายถึงประเด็นที่กัมพูชาได้นำ The Royal Ballet of Cambodia เพื่อขอขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ว่า The Royal Ballet of Cambodia ที่เรียกกันว่า ละครพระราชทรัพย์ หรือ ละครหลวง มีหลายประเภท จะมีท่ารำอะไรต่างๆ เรื่องนี้มันจะบอกว่าเป็นของใครคงลำบาก จริงๆแล้วเป็นวัฒนธรรมร่วม แต่หลักฐานที่ปรากฏในฝั่งไทยและฝั่งกัมพูชานำมาใช้อธิบายแตกต่างกัน คือ ฝ่ายไทย เรามีหลักฐานในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการพูดถึงในช่วงที่กษัตริย์กัมพูชา เสด็จเข้ามาประทับในกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องจากเหตุจลาจลการแย่งชิงราชสมบัติภายในราชวงศ์ ทำให้กษัตริย์เหล่านี้ที่เข้ามาอยู่ในไทยซึมซับวัฒนธรรมของราชสำนักกรุงเทพฯ ในเวลานั้น ต่อมาเมื่อกลับไปยังกัมพูชาก็พยายามหาครูละครจากของไทยไปฝึกสอนให้ และเปลี่ยนชื่อเป็นคณะละครหลวงกัมพูชาขึ้นมานี่คือมุมมองในฝ่ายไทย
แต่ถ้ามุมมองในฝ่ายกัมพูชาเขาจะอธิบายว่า เรื่องนี้เป็นการแสดงที่สืบทอดกันมายาวนานตั้งแต่สมัยพระนคร หรือเขมรโบราณ เขาจะไม่มีการพูดถึงความสัมพันธ์กับไทยในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับไทยสัก เท่าไหร่ เพราะฉะนั้นในเรื่องของThe Royal Ballet of Cambodiaมีหลายประเภทด้วยกัน ประเภทที่มีความสำคัญใกล้เคียงกับไทยก็คือ ละครหลวง หากมองในมุมของไทยคือ เขารับวัฒนธรรมจากไทยแล้วเอาไปผสมผสานแล้วเกิดเป็นแบบของเขาขึ้นมา ซึ่งของเราก็เป็นแบบของเรา
อีกอันหนึ่งคือ Sbek Thom,Khmer shadow Theaterหรือหนังใหญ่ หุ่นเงา ทางเขมรใช้คำว่า แสบก ธม คำว่า “แสบก”แปลว่า หนัง ส่วนคำว่า “ธม”แปลว่า ใหญ่ ในเรื่องที่มาหลักฐานจริงๆที่เหลือในปัจจุบันคือ ในช่วงสมัยรัตนโกสินทร์ แต่ในหลักฐานสมัยกรุงศรีอยุธยาเอง มีหลักฐาน ข้อมูลบางอย่างสะท้อนถึงเรื่องความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชา ในแง่ของวัฒนธรรมเรื่องการเล่นหนังใหญ่ ใน สมุทรโฆษคำฉันท์ วรรณคดีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่พูดถึงการแกะสลักตัวหนังใหญ่ที่จะนำมาเล่น ก็เรียกว่า “แสบก” ในบทวรรณคดีที่ระบุว่า “ให้ฉลัก แสบก ภาพอันชระ”คำว่า “แสบกภาพ” นั่นคือตัวหนัง เพราะฉะนั้นเป็นหลักฐานอย่างหนึ่งว่า เป็นไปได้ว่าหนังใหญ่ของไทยมีความสัมพันธ์กับกัมพูชามาแต่โบราณ เพราะเราเรียกตัวหนังว่า “แสบกภาพ”
เป็นวัฒนธรรมของใคร?
จะถามว่าเป็นวัฒนธรรมของใคร ใครเป็นเจ้าของคงบอกยาก จริงๆวัฒนธรรมการเล่นหนังใหญ่ มันมีทั้งในชวา ในอินโดนีเซียมีมาตั้งแต่ยุคโบราณ มีการแลกเปลี่ยนรับกันมา ทั้งความเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ รับเข้ามาดัดแปลงเป็นเอกลักษณ์ของตนเองขึ้นมา คงตอบยากเหมือนกัน ถ้าถามว่าเป็นของใคร เพราะวัฒนธรรมพวกนี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มันมีความสัมพันธ์กันหมด และบ่อเกิดของคำที่นำไปสู่การพัฒนามาเป็นศิลปะแบบนี้ ปฏิเสธถึงความสำคัญและความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมอินเดียได้เหมือนกัน
สรุปว่ามีความเหมือนและความต่างกันอย่างไร
รายละเอียดลึกๆมีความต่างกัน ลักษณะวิธีการเล่น อย่างในละครหลวงของเขา หรือ The Royal Ballet of Cambodia ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นเพลงก็ดี ท่ารำประกอบก็ดี ล้วนเป็นสิ่งที่เราเห็นกันในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นทั้งนั้น เพราะเขานำครูฝึกไปจากไทย
กษัตริย์ของกัมพูชาที่เข้ามาลี้ภัยทางการเมืองและนำครูฝึกจากไทยไปสอนละครหลวงให้กับเขมรมีใครบ้าง
มีหลายองค์ที่มีความสำคัญ องค์แรกที่ปรากฏหลักฐานว่ามีครูละครไปฝึกสอนการละครให้กับเขมร คือ สมเด็จพระอุทัยราชา หรือนักองค์จัน ที่ 2 (ปี พ.ศ. 2349 - พ.ศ.2380) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ได้แบบแผนละครนอก ส่วนในสมัยสมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดี หรือ นักองค์ด้วง (พ.ศ.2348- 2403) จะได้แบบแผนที่เป็นละครในไป และถัดมาสมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ หรือ นักองค์ราชาวดี ซึ่งเป็นทวดของพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดมสีหนุ ทรงได้แบบแผนจากคณะละครของไทยไป จึงมีความสัมพันธ์กันในช่วงรัตนโกสินทร์ และกลายมาเป็นแบบแผนที่ปรากฏอยู่ในราชสำนักของกัมพูชาที่สืบทอดมาจนถึง ปัจจุบัน
ในอนาคตจะส่งผลต่อการอ้างความเป็นเจ้าของมรดกทางวัฒนธรรมไทยหรือไม่
ถ้าถามในเรื่องจะส่งผลหรือเปล่า เป็นเรื่องที่ทางฝ่ายไทยต้องพิจารณาควรต้องมีความพยายามจดทะเบียนเป็นมรดก โลกในขณะเดียวกัน แต่จะส่งผลถึงขั้นห้ามรำ ห้ามร้อง ห้ามเล่น คงไม่เหมือนกันทั้งหมด ถึงแม้ว่าเขาจะมีท่ารำที่คล้ายกับไทย แต่มีความแตกต่าง ลักษณะท่ารำบางอย่างก็ไม่เหมือนกัน ดนตรีถึงจะใกล้เคียงกันแต่บทร้องของเขา เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสมัยก่อนเขาใช้บทร้องภาษาไทย แต่ตอนหลังมีการแปลเป็นภาษาเขมร และนำมาร้องแม้จะมีทำนองที่คล้ายคลึงกันแต่มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป ถ้าพูดในภาครวมคือ มันมีลักษณะร่วมในการร่วมกันอยู่ แต่ในลักษณะเฉพาะของแต่ละประเทศ คิดว่ามีลักษณะเด่น เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ตรงนี้เราควรชี้ให้เห็น อธิบายให้ง่ายๆ
“ผมว่าประเด็นสำคัญมันอาจจะไม่ได้อยู่ที่ความเป็น เจ้าของอะไรอย่างไร แต่อยู่ที่คนไทยน่าจะตระหนัก กระตุ้นสังคมไทยในเรื่องวัฒนธรรมของไทยให้มากขึ้น โดยการให้ความสนใจ ศึกษา และเผยแพร่ความรู้ทางวัฒนธรรมของไทยไปสู่สากลมากน้อยแค่ไหน ในขณะที่กัมพูชาเองตื่นตัวพยายามเสนอวัฒนธรรมของเขาสู่สังคมโลกสากล ให้เป็นที่ยอมรับ แต่ขณะที่ประเทศไทยเป็นเพียงการศึกษาเฉพาะกลุ่มที่ศึกษาภายในประเทศเท่า นั้น”เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมองว่าเป็นประเด็นปลุกกระแสรักษ์ชาติหรือไม่
กัมพูชาพยายามที่จะรวบรวมวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ หรือมรดกทางวัฒนธรรมแบบนี้ ตั้งแต่ปี 2003-2004 หลายปีมาแล้ว เหตุผลเข้าใจว่านโยบายความเป็นชาติในเชิงอัตลักษณ์ ความเป็นตัวตนของคนกัมพูชา เกิดมาจากการที่กัมพูชาตกอยู่ภายใต้สภาวะสงครามนานนับ 30 ปี เพราะฉะนั้น จึงมีผลทำให้วัฒนธรรมสูญหาย ล้มตายจำนวนมาก เมื่อเขาฟื้นฟูประเทศรวบรวมวัฒนธรรมที่หลงเหลืออยู่จัดให้เป็นระบบจึงกลาย เป็นประเด็นที่แตกต่างกับทางบ้านเรา ที่ถามว่าเป็นกระแสชาตินิยมหรือไม่ ในกัมพูชาอาจจะไม่ได้ถึงขนาดนั้น แต่เป็นการปลุกกระแสในความพยายามรักษาอัตลักษณ์ Identity และคุณลักษณะเฉพาะของความเป็นกัมพูชา แน่นอนว่าเขาปฏิเสธคำอธิบายบางอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทาง วัฒนธรรมกับไทย เพราะกัมพูชาพยายามเน้นว่าเป็นของเขาแท้ๆ ของเขาจริงๆ
“ไทยไม่ได้ล้าหลังตามก้นกัมพูชาหรอก แต่คิดว่าคนไทยไม่ค่อยตื่นตัวในเรื่องการใส่ใจทางวัฒนธรรม ประเด็นคือ ถ้าเราพยายามใส่ใจนำเสนอวัฒนธรรมต่างๆเหล่านี้สู่สังคมโลกและส่งเสริมใน สังคมไทยมันคงจะดีกว่านี้ อยู่ในเรื่องกระแสความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา จึงถูกหยิบยกขึ้นมา จริงๆประเด็นนี้นักวิชาการด้านกัมพูชาศึกษาพูดถึงเรื่องนี้กันมาพอสมควร แต่ไม่ค่อยเป็นที่รับรู้ในสังคมไทยเท่านั้นเอง”
ท้ายที่สุดแล้วเป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราต้องมากระตุ้นเรื่องการศึกษา วัฒนธรรมในระดับกว้างและระดับลึก จัดระบบให้เป็นหมวดหมู่ นำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ให้เผยแพร่วงกว้างมากขึ้น ในระดับลึกสังคมไทยต้องเปิดพื้นที่ให้กับวัฒนธรรมไทยให้มากขึ้นด้วย สื่อต่างๆควรให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมให้มากกว่านี้ เพราะปัจจุบันเรามองเป็นเรื่องของกระแส มองเป็นเรื่องพาณิชย์ ซึ่งวัฒนธรรมไทยไม่ใช่วัฒนธรรมในเชิงพาณิชย์แล้วในปัจจุบัน ประเด็นสำคัญคือ ต้องหาวิธีพัฒนาไปข้างหน้า พร้อมๆไปกับการพัฒนาสังคม และอนุรักษ์แบบแผนดั้งเดิมไว้ด้วย เพื่อบ่งบอกความเป็นคนไทย