บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

บทบรรณาธิการแนวหน้า : สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย




ความหมายของคำว่า "พระมหากษัตริย์" นั้นมีรากศัพท์ที่มาจากอินเดียตั้งแต่ยุคโบราณกาลในภาษาบาลีใช้คำว่า" ขัตติยะ" แปลว่านักรบ ส่วนภาษาสันสกฤตจะใช้คำว่า"กษัตริย์" หมายถึงนักรบหรือผู้ป้องกันภัยจากข้าศึกศัตรู ตามรูปศัพท์จากวัฒนธรรมจากอินเดียเมื่อ 2,500 ปีที่แล้วนั้นหมายถึงนักรบผู้ที่ยิ่งใหญ่

    พระมหากษัตริย์ก็คือ พระเจ้าแผ่นดินมีคำเรียกพระมหากษัตริย์หลายคำเช่น พระราชา หรือราชันหมายถึงผู้ชุบน้อมจิตใจของผู้อื่นไว้ด้วยธรรม จักรพรรดิ หมายถึง ผู้ปกครองที่ปวงชนพึงใจและเป็นผู้มีคุณธรรมสูง และใกล้เคียงกับคำว่า ธรรมราชา หมายถึง ผู้รักษาและปฏิบัติธรรมทั้งเป็นต้นเหตุแห่งความยุติธรรมทั้งปวง

    คำว่าพระเจ้าอยู่หัว หมายถึง พระผู้เป็นผู้นำ หรือประมุขของประเทศ และคำว่า "พระเจ้าแผ่นดิน" หมายถึงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินไม่ว่าจะเลือกใช้คำใด คำว่า "ราชา" "กษัตริย์" "จักรพรรดิ" โดยความหมายแล้วน่าจะใช้เหมือนๆกัน อย่างไรก็ดีในสังคมไทยเรียกพระมหากษัตริย์ว่า "ในหลวง" "พ่อหลวง" "พ่อของแผ่นดิน" ความหมายก็คือเป็นผู้ปกครองที่เปรียบเหมือนพ่อผู้ทรงอยู่เหนือเกล้าเหนือชีวิต

    รัฐไทยเป็นพระราชอาณาจักรที่ถือกำเนิดมานับเนื่องยาวนานนับพันๆปีมีหลักฐานเชื่อได้ว่ารัฐไทยมีถิ่นฐานครั้งแรกเป็นอาณาจักรมีชื่อว่าอ้ายลาว หลังจากนั้นก็มีแคว้นเพงาย แคว้นน่านเจ้าหรือเจ้าทางใต้ของราชอาณาจักรจีนตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 5 หลังจากนั้นก็มีอาณาจักรโยนกในรัฐฉานของพม่าและทางเหนือของไทยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12

    ปี 1731 ขอมเข้ามารุกรานอาณาจักรโยนก ต่อมาพระเจ้าพรหมมหาราชกู้เอกราชเผ่าไทยจากขอมหลังจากนั้นในปี 1792 เกิดอาณาจักรสุโขทัยตามด้วยอาณาจักรล้านนาไทย อู่ทอง พระนครศรีอยุธยา กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์หรือกรุงเทพมหานคร ราชอาณาจักรไทยมีพระมหากษัตริย์หลายราชวงศ์รวมกันมากกว่า 100 พระองค์

    ผู้ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพพระมหากษัตริย์จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นที่ทราบกันว่านับตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน ใน 5 ปีที่ผ่านมามีขบวนการพยายามโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์และมีผู้ถูกดำเนินคดีเพราะความผิดดังกล่าวเป็นจำนวน 22 ราย

    เรื่องที่น่าเป็นห่วงมากก็คือประชาชนทั่วประเทศกำลังถูกขบวนการของกลุ่มคนที่ไม่หวังดีและมีความพยายามที่จะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย คนเหล่านี้มีบรรพบุรุษที่มาจากต่างประเทศที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์แต่กลับเหิมเกริมคิดล้มล้างสถาบัน  

   จึงเป็นหน้าที่ของชาวไทยผู้รักชาติทั้งปวงจะต้องรวมพลังกันออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพรักอย่างเต็มที่ไม่ให้ใครมาบังอาจดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้อีก

ฟ้าหญิงฯ มีพระดำรัสกับคณะคนไทยในเซี่ยงไฮ้ เมืองไทยมี 3 ดี "ชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์" ต้องหวงแหน ปกป้องไม่ให้ใครทำลาย ทรงดำริเด็กต่ำกว่า 20 ปีไม่รู้ว่า "ในหลวง" ทรงงานเพื่อชาติหนัก



เมื่อวันที่ 23 เมษายน เวลา 17.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของ สาธารณรัฐประชาชนจีน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จฯ ยังห้องฟินิกซ์  โรงแรมที่ประทับ พระราชทานพระวโรกาสให้นายเปี่ยมศักดิ์ มิลินทจินดา เอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง นำข้าราชการและเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ พร้อมด้วยชาวไทยที่อาศัยอยู่ในนครเซี่ยงไฮ้เข้าเฝ้าฯ อย่างใกล้ชิด

            ในการนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงกู่เจิงพระราชทานแก่คณะผู้เข้าเฝ้าฯ ในเพลงเมฆตามพระจันทร์ พร้อมทรงขับร้องเพลงลั่วฟาเฟย ที่ฮ่องเต้หลี่ยู่แห่งราชวงศ์ถังเป็นผู้ประพันธ์เนื้อร้อง โอกาสนี้ มีพระดำรัสถึงผู้ประสบภัยพิบัติในพื้นที่ภาคใต้ และมีพระดำรัสถึงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าทรงพระสำราญขึ้นมาก แต่ยังคงทรงงานหนักอย่างเช่นเคยปฏิบัติเพื่อประชาชนชาวไทย

             "ประเทศไทยมีดี 3 ดี คือ ชาติดี ศาสนาดี พระมหากษัตริย์ดี และของอะไรที่มันดีอยู่แล้ว ถ้าเป็นของของเรา เราย่อมต้องหวงแหนเอาไว้ ปกป้องเอาไว้ เก็บเอาไว้อย่างดี ไม่ให้ใครมาทำลาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เท่าที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่านมาตั้งแต่เด็ก เห็นทรงงานมาตั้งแต่ข้าพเจ้าเด็ก ๆ และเท่าที่ข้าพเจ้าจำได้ ข้าพเจ้าเริ่มออกตามเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุ 14 โดยข้าพเจ้าทำงานอยู่ในหน่วยแพทย์พระราชทาน ข้าพเจ้าเห็นว่าทรงงานหนักเพียงไร ท่านทรงดูทั้งเรื่องสุขภาพพลานามัยของประชาชน เรื่องอาชีพ ปากท้อง การเกษตรกรรม การชลประทาน การศึกษา ท่านดูครบทุกอย่าง"

             สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ มีพระดำรัสอีกว่า จริง ๆ แล้วถ้าเป็นคนที่อายุ 40  ขึ้นไปก็คงพอจะนึกออกถึงภาพพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน แต่น่าเสียดายที่เด็กที่อายุต่ำกว่า  20  ปี ลงไป จะไม่รู้เลย เพราะมาโตตอนที่พระองค์ทรงพระชราแล้ว ทรงหมดกำลังแล้ว แต่ขนาดทรงหมดกำลัง ไม่ได้เสด็จฯ  ออกไปตรากตรำอย่างเดิม ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่ใส่พระทัย ทรงใส่พระทัยตลอดเวลา ทรงเรียกงานมาทำ เรียกงานมาดู แม้แต่ประทับอยู่ รพ.ศิริราช ทุกวันนี้ ราชเลขาฯ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องก็ยังเข้าเฝ้าฯ ถวายงานให้ทรงมีพระราชวินิจฉัย ไม่ใช่เฉพาะงานในกรุงเทพฯ เท่านั้น แต่เป็นงานของต่างจังหวัดด้วย ซึ่งท่านใช้วิธีใช้ลูกทำแทนเท่าที่ทำได้ อย่างตัวข้าพเจ้าเองรับในแง่ของ พอ.สว. ซึ่งสมเด็จย่าเป็นผู้ริเริ่ม และข้าพเจ้าคิดว่าจะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง