บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

เอกสารด่วนที่สุดของสำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน ถึง(นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) เมื่อ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๓

Thepmontri Limpaphayom คำอธิบาย: เอกสารด่วนที่สุดของสำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน ที่ ผผ ๐๗/๕๘ มีไปถึงนายกรัฐมนตรี(นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๓ มีทั้งหมด ๕ หน้าและหนังสือส่งไปก่อนการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ ๓๕ ที่ปารีส

ผมตัดส่วนเฉพาะที่เห็นว่าเกี่ยวข้องกับพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารที่ผู้ตรวจการแผ่นดินลงความเห็นว่า รัฐบาลควรพิจารณาผลักดันกัมพูชาให้พ้นจากเขตแดนโดยเร็ว(อ่านรายละเอียดได้ตามรูปภาพ) แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมผลักดันจนทำให้เขมรได้ทีนำคำตัดสินไปตีความ หากในเวลานั้นทำการพลักดัน สถานการณ์อาจไม่เป็นเช่นนี้ ทำไม คุณอภิสิทธิ์ไม่ผลักดันกัมพูชาเพราะกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในดินแดนประเทศไทย ละเมิด MoU43 ไหนล่ะที่บอกว่า MOU มีประโยชน์ ท่านก็ไม่เคารพ MOU43 ที่พรรคปชป.ไปจัดทำกับเขมรมาไหนล่ะหลักนิติรัฐของท่าน

เอกสารนี้ได้มาจากเจ้าหน้าที่ระดับสูง สำนักผู้ตรวจการแผ่นดิน รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์เป็นสาเหตุที่ทำให้เขมรอยู่ยาวด้วยครับ ถ้าเป็นความเห็นของภาคประชาชนท่านอาจปฏิเสธได้ แต่นี่คือความเห็นของผู้ตรวจการแผ่นดิน ไฉนเลยท่านไม่รู้จักปฏิบัติ

นอกจากนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังวินิจฉัยว่าพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทยครับ กระทรวงการต่างประเทศของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ก็ยืนยันว่าพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย ให้ทหารถืออาวุธขึ้นมารอบตัวปราสาทได้


ขอบคุณภาพและข้อความจากอ. เทพมนตรี ลิมปพยอม

.......................................

บันทึกภาคประชาชนเรื่องผลการแลกเปลี่ยนกับนายกรัฐมนตรีที่ ช่อง 11by Parnthep Pourpongpan on Tuesday, 10 August 2010 at 15:00

บันทึกนี้จัดทำขึ้นโดย ศ.ดร.สมปอง, มล.วัลย์วิภา, อ.เทพมนตรี, อ.วีรพันธุ์, ดร.สุวันชัย, วีระ สมความคิด และปานเทพ: แถลงข่าวเมื่อวันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ณ โรงแรมปริ๊นเซส ถ.หลานหลวง ห้องราชดำเนิน ดังนี้

บันทึกเครือข่ายภาคประชาชน กรณีข้อเท็จจริงกรณีปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ

ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้จัดเวลาในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับภาคประชาชน โดยการถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ระหว่างเวลา 10.00 น. – 13.00 น.นั้น เครือข่ายภาคประชาชนซึ่งติดตามเรื่องปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบขอประกาศจุดยืนดังต่อไปนี้

1. เราขอบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยอมรับและยืนยันว่าไทยยึดหลักสันปันน้ำตามทิวเขาดงรักเป็นเส้นเขตแดนอย่างเคร่งครัด

ยืนยันว่าเฉพาะปราสาทพระวิหารเท่านั้นที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิพากษาว่าตั้งอยู่บนพื้นที่ที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และไทยได้โต้แย้งและสงวนสิทธิ์เอาไว้แล้วตามหนังสือกระทรวงการต่างประเทศ เลขที่ (0601) 22239/2505 ลงวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ดังนั้นฝ่ายไทยจึงยังถือว่าพื้นที่ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่นั้น อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของไทย

ยอมรับว่าฝ่ายกัมพูชาได้รุกล้ำและยึดครองดินแดนไทยในบริเวณพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารนั้นเป็นความจริง

ยืนยันว่าจะดำเนินการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำอธิปไตยด้วยมาตรการการทูตและการทหาร

ยืนยันว่าไทยจะไม่เข้าร่วมกับคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ (ICC) ที่จะทำหน้าที่อนุรักษ์อย่างยั่งยืนที่ตัวปราสาทพระวิหารในการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

ยืนยันจะคัดค้านการขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหารของกัมพูชาเป็นมรดกโลกต่อไปอย่างต่อเนื่อง และจะคัดค้านแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกด้วย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนยันว่าในช่วงที่เป็นฝ่ายค้านได้ขอให้มีการถอนแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งเป็นเอกสารประกอบกรอบการเจรจาออกจากการขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ยืนยันว่ายูเนสโกได้ละเมิดอำนาจหน้าที่ของตัวเอง ตามธรรมนูญของยูเนสโกในข้อ 1 วรรค 3 ว่าห้ามมิให้ยูเนสโกแทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิก

ยืนยันว่าเอกสารและการดำเนินการที่จะผูกพันระหว่างไทย-กัมพูชาจะต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนอีกครั้ง ก่อนขอความเห็นชอบจากรัฐสภา เช่น พิจารณาเห็นชอบหรือรับรองรายงานการประชุมลับของรัฐสภาเรื่องกรอบการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551, ร่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชากับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร, ฯลฯ
https://www.facebook.com/note.php?note_id=132572256785549


Annie Handicraft

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

นายกฯไฟเขียวตั้งคณะทำงาน ถกปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา


นายกฯ ไฟเขียว ถกคณะทำงานฯ ตามมติคุ้มครองของศาลโลก ผบ.สส. ลั่นต้องคุยโดยไม่ให้เสียอธิปไตย เสนอรื้อกำหนดจุดของศาลโลก ยันคุยเขมรในฐานะเพื่อนสนิท เห็นด้วยแนวคิดพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน วิน-วินทั้งคู่ แต่ต้องทำตามกติกา ...

วันที่ 13 มี.ค. พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.ทหารสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้าของคณะทำงานเพื่อปฏิบัติตามมติคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก ในปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา (JWG ) ว่า นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่งแต่งตั้งแล้ว ทางเจ้ากรมกิจการชายแดนทหารได้ไปกัมพูชาเพื่อพูดคุยในเรื่องนี้ เพื่อแจ้งให้ทราบขั้นตอนตามกฎหมายของไทยเป็นอย่างไร หลังจากนั้นก็จะเชิญมาหารือกัน คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา ซึ่งการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ จีบีซี ครั้งล่าสุด ทางกัมพูชายอมทำตามทุกอย่างแล้ว โดยเฉพาะขั้นตอนตามกฎหมายของไทย ทางฝ่ายกัมพูชายอมรับได้ในเรื่องนี้

“ทั้งนี้ต้องยึดหลักพื้นฐาน ในการไม่เสียอธิปไตย ความโปร่งใส และเท่าเทียม ไม่ใช่ใครได้เปรียบ หรือเสียเปรียบ เมื่อศาลโลกได้กำหนดจุดออกมา เมื่อความสัมพันธ์เริ่มดีขึ้นเป็นเพื่อนกัน เจ้าหน้าที่ระดับล่างได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน ตอนนี้ถือว่าสงบอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เมื่อมาคุยกันก็ยินดีที่จะทำให้ชายแดนสงบ อะไรที่เป็นปัญหา ก็ละวางไว้ แล้วก้าวไปข้างหน้า เพื่อให้ วิน-วิน ด้วยกันทั้งคู่ ขณะนี้พื้นที่เงียบไม่มีปัญหาอะไร ผมไปตรวจเยี่ยมโบกมือให้ทางฝั่งโน้น ซึ่งไม่มีปัญหา สิ้นเดือนนี้ผมจะไปประชุม ผบ.ทหารสูงสุดอาเซียน จะได้พบกับ ผบ.ทหารสูงสุดกัมพูชา และนายกรัฐมนตรี กัมพูชา ซึ่งความจริงเราเป็นเพื่อนสนิทกัน เพราะประเทศอยู่ใกล้กัน ก็จะคุยกัน” พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าว

พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดคิดนโยบายไม่ได้ แต่ด้วยความรู้สึกคือ ตอนแรกก็อยู่กันดีๆ แล้วมาขีดเส้น ทางฝั่งกัมพูชาเป็นหน้าผา โดยปกติมนุษย์ก็ไม่อยู่ ฝั่งเราจะเป็นพื้นที่ราบวันนี้ยังไม่มีใครบอกได้ว่าใครเป็นคนชี้จุดตรงนี้ การตั้งคณะทำงานฯเพื่อจะได้พูดกัน ซึ่งเป้าหมายของศาลโลกอยากให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ พูดกันรู้เรื่องตกลงกันได้จริงอยากให้อยู่อย่างสันติ ถ้าหยุดเรื่องที่มีปัญหามาร่วมกัน สิ่งที่ดีก็จะเกิด แต่ถ้าไม่ร่วมกัน ระบบเศรษฐกิจของสองประเทศจะเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่คงตอบไม่ได้ว่า จะเป็นรูปธรรมเมื่อไหร่เราพร้อมปฏิบัติ

เมื่อถามถึง กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯเคยระบุว่า ไทยจะเสียเปรียบทางกัมพูชา พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้ฟัง ในส่วนของทหารรับผิดชอบจะไม่ให้เสียเปรียบ สำหรับข้อเสนอของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการพัฒนาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นพื้นที่พัฒนาร่วมเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมหรือไม่ นั้น พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าวว่า อะไรที่ทำร่วมกันก็ดีทั้งนั้น เมื่อมีปัญหาและทะเลาะกันก็ไม่มีใครได้อะไรทั้งคู่ แต่ถ้านำจุดที่มีปัญหามาทำให้ไม่มีปัญหา และพัฒนาให้ดีขึ้น ก็จะได้ทั้งคู่ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เหมาะสมสำหรับข้อกังวลเรื่องผลการพิพากษาของศาลโลกนั้น คงต้องใช้เวลาดูว่าผลจะออกมาอย่างไร ระหว่างที่ยังไม่ตัดสิน เรามีมาตรการคุ้มครองชั่วคราวอยู่ว่าจะทำอย่างไรให้อยู่ร่วมกันได้ แต่การจะมีผู้สังเกตการณ์เข้ามานั้นก็ต้องเข้าตามกฎหมายกติกา อย่างไรก็ตามอย่าไปกังวลต่อผลการวินิจฉัยของศาลโลก เพราะส่วนที่รับผิดชอบก็มีมาตรการรองรับอยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร

“คณะทำงานฯ ยังไม่ได้ประชุมกันว่า ทางอินโดนีเซียจะเข้ามาอย่างไร ผมได้เจอ ผบ.ทหารสูงสุด อินโดนีเซีย เขาก็บอกว่าอยากให้คุยกัน เขามั่นใจว่าเราจะคุยกันได้ แต่ถ้าร้องขอเขาจึงจะเข้ามาสังเกตการณ์ ซึ่งการร้องขอต้องทำทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอ ดังนั้น ต้องรอคณะทำงานฯ เจรจา เมื่อได้ผลแล้วจึงจะมาเข้าคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) และนำเรื่องเสนอรัฐบาล ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนของ ม.190 ตามรัฐธรรมนูญ จึงจะมีผลบังคับใช้ ทุกอย่างมีขั้นตอน ประเทศไทยเป็นของทุกคน ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง ที่จะไปพูดตกลงได้” พล.อ.ธนะศักดิ์ กล่าว

Tweet


ไทยรัฐ

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

ทวิภาคีแดนไทย-เขมรบรรลุตกลง7ข้อ

คมชัดลึก

ถกทวิภาคีชายแดนไทย-กัมพูชาที่เสียมราฐ บรรลุ 7 ข้อ เน้นความมั่นคงตามแนวชายแดน ทำความเข้าใจชาวบ้านเคารพข้อปฏิบัติตาม MOU43 เครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทยจัดเวที ห้ามถอนทหาร ไล่อุทยานพ้นชายแดนเหตุ 2 มาตรฐาน จับคนไทยแต่ปล่อยเขมรรุกดินแดน ไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก
4มี.ค.2555 เว็ปไซต์ฟิฟทีนมูฟ รายงานผลการประชุมกรมกิจการชายแดนทวิภาคี ไทย-กัมพูชา วันที่ 28 - 29 ก.พ. 2555 ที่เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา โดยมี พล.ท.วรวิทย์ ดรุณชู เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และฝ่ายกัมพูชานำโดย พล.ท.เซียก โซะเจียต เจ้ากรมกิจการชายแดน กองบัญชาการกองทัพแห่งชาติกัมพูชา ร่วมประชุมโดยได้นำร่างบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือเพื่อสร้างเสถียรภาพ รักษาสันติภาพในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28กุมภาพันธ์ ขึ้นพิจารณา โดยสองฝ่ายได้ให้ความเห็นชอบร่วมกันในร่างบันทึก 7 ประเด็น คือ


1. ความร่วมมือในการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนนั้น ทั้งสองฝ่ายต้องผลักดันให้ผู้บัญชาการที่ดูแลหน่วยประจำการตามแนวชายแดน และคณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับชายแดนไทยและกัมพูชา ทุกระดับชั้น กระชับความสัมพันธ์และสร้างมิตรไมตรีที่ดี โดยในประเด็นแรกนี้ สองฝ่ายสนับสนุนให้มีการใช้เครื่องมือคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ไทย-กัมพูชา นอกเหนือจากการประชุม เพื่อนำมาซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพชายแดน

2. สองฝ่ายต้องเพิ่มการสนับสนุนและความร่วมมือในการสกัดกั้นและปราบปรามอาชญากรรมข้ามแดนและสิ่งผิดกฎหมายทุกประเภท 3. ทั้งสองฝ่ายเพิ่มการสนับสนุนการให้ข้อมูลความรู้แก่เจ้าหน้าที่และประชาชนของสองประเทศ หลีกเลี่ยงการกระทำผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน ระมัดระวังการเกี่ยวข้องกับผู้ไม่ประสงค์ดี นอกจากนี้ ต้องเผยแพร่ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่และประชาชนของสองประเทศ ให้เคารพต่อบันทึกข้อตกลงฯ (MOU 43) ระหว่างราชอาณาจักรไทยและกัมพูชา เกี่ยวกับการตรวจสอบและจัดทำหลักเขตแดนทางบก มาตรา5 ที่ได้ลงนามเมื่อ 14 มิถุนายน 2553

4. สองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันจัดให้มีการตรวจพื้นที่ภูมิประเทศตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างคณะทำงานของกรมกิจการชายแดนของสองประเทศ โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมด้วย 5. สองฝ่ายเห็นชอบจัดให้มีการประชุมร่วมระหว่างเจ้ากรมกิจการชายแดนสองประเทศ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมด้วยทุก 6 เดือน ต่อข้อเสนอของกัมพูชาที่ขอให้มีการประชุมร่วมกันทุก 3 เดือน สำหรับสำนักงานความสัมพันธ์ชายแดน และทุก 1 เดือน สำหรับคณะทำงานด่านพรมแดน เพื่อสรุปเหตุการณ์โดยหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ ฝ่ายไทยยืนยันว่าเห็นชอบนำเรื่องเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องฝ่ายไทย เพื่อให้มีการตัดสินใจเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว

6. ฝ่ายกัมพูชายินดีต่อการปฏิบัติการร่วมที่มีกับฝ่ายไทย ในการสกัดกั้นและป้องกันไม่ให้มีการล่วงล้ำน่านน้ำไทยของกลุ่มประมงผิดกฎหมาย และกลุ่มอาชญากรรมข้ามแดนทางทะเล 7. ฝ่ายกัมพูชาต้อนรับต่อการปฏิบัติการร่วมป้องกันไม่ให้มีการลักลอบเข้าตัดไม้ในดินแดนประเทศไทย โดยทำการอบรมให้ความรู้ประชาชนและจัดมาตรการเพิ่มเติมแก่กลุ่มเจ้าหน้าที่กระชับความร่วมมือระหว่างกันให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ส่วนประเด็นอื่น ๆ ฝ่ายกัมพูชาได้เสนอให้ฝ่ายไทยพิจารณาเปิดจุดผ่านแดนทมอดูน ต.โคกมอน และด่านจุบโกกี ต.อำปึล อ.บันเตียอำปึล จ.อุดรมีชัย ซึ่งฝ่ายไทยได้รับเรื่องเพื่อเสนอกระทรวงมหาดไทยพิจารณาให้ความเห็นชอบ ส่วนผลการประชุม ฝ่ายไทยเห็นว่าเป็นโอกาสดีในการสร้างความใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศ และได้แถลงขอบคุณต่อประธานร่วมฝ่ายกัมพูชาที่นำการประชุมจนประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง

สำหรับความร่วมมือในการป้องปรามการลักลอบตัดไม้ในเขตไทยของชาวกัมพูชานั้น ทางเจ้าหน้าที่กัมพูชายินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ โดยล่าสุดในวันที่ 3 มี.ค. มีรายงานว่า ชุดลาดตระเวนของไทยพบได้ควบคุมตัวชาวบ้านกัมพูชา 33 คนที่กำลังลักลอบตัดไม้พะยูง ได้ยึดหลักฐานของกลางไว้ได้ ประกอบด้วย เครื่องเลื่อยโซ่ยนต์พร้อมอะไหล่ไว้ได้ วิทยุเอเชียเสรีภาคภาษาเขมร รายงานว่าเจ้าหน้าที่ อ.ตรอเปียงปราสาท จ.อุดรมีชัย ติดกับ อ.จอมกะสานต์ จ.พระวิหาร กัมพูชา ได้วางมาตรการตามจุดผ่านแดนกัมพูชา-ไทยอย่างเข้มงวด เพื่อยับยั้งไม่ให้ชาวกัมพูชาลักลอบข้ามแดนโดยผิดกฎหมายเข้าตัดไม้พะยูงในเขตไทย ซึ่งเป็นการเสี่ยงชีวิตและถูกทหารไทยยิงเสียชีวิตหลายกรณีต่อเนื่อง



เครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินร้องห้ามถอนทหาร

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่วัดเก่าบ้านภูมิซรอล ม.2 ตั้งอยู่โรงเรียนบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย อีสานใต้ - ตะวันออก ประมาณ 100 คน ได้เปิดเวทีปราศรัยให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งอ่านแถลงการณ์ให้อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารยุติบทบาทในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ คืนที่ทำกินตามแนวชายแดนให้กับชาวบ้านที่ประสบปัญหาขาดแคลนที่ทำกินหลังจากถูกประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารทับที่ทำกินมานาน พร้อมทั้งได้ร่วมประกาศเจตนารมณ์ห้ามกองทัพถอนทหารออกจากพื้นที่และไม่ยินยอมให้อินโดนีเซียส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาในพื้นที่พิพาทชายแดนโดยเด็ดขาด

น.พ.ประทีป ตลับทอง ผอ.รพ.บัวเชด จ.สุรินทร์ ประธานเครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์ขณะนี้ประเทศไทยเรามีความสุ่มเสี่ยงที่จะเสียดินแดน เพราะจากข้อมูลหลักฐานที่เห็นมาประเทศไทยแสดงออกท่าทีว่าจะยอมรับอำนาจของศาลโลก ซึ่งโดยปกติแล้วประเทศไทยไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลโลกมา 50 กว่าปีแล้ว ดังนั้นศาลโลกไม่มีสิทธิ์และไม่มีอำนาจในการที่บังคับคดีหรือมีอำนาจในการที่สั่งการอะไรในพื้นที่ประเทศไทย นอกจากนี้ไทยมีสิทธิ์ที่จะไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกได้โดยสมบูรณ์

ส่วนการเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่จะมีผลอะไรต่อเรื่องเขตแดนหรือไม่ น.พ.ประทีป กล่าวว่า เรื่องนี้ตนคิดว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ควรจะไตร่ตรองให้ดีว่าพล.อ.สุกำพล เข้ามารับตำแหน่งนี้แล้วจะต้องทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติเช่นเดียวกับประชาชนไทยทุกคน ซึ่งเรื่องนี้ทางเครือข่ายเราจะร่วมทำการตรวจสอบการทำงานของท่านอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะทำหน้าที่ปกป้องผืนแดนดินไทยเราให้ได้มากที่สุด ด้วยการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์กับคนไทย

ด้านนายวิสิทธิ์ ดวงแก้ว อายุ 48 ปี แกนนำชาวบ้านที่เดือดร้อนจากปัญหาการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารทับที่ทำกิน กล่าวว่า เรื่องชายแดนขณะนี้จะต้องเริ่มต้นจากคำว่าไม่ถอนทหารก่อน เพราะการถอนทหารจะทำให้เราเสียดินแดน เพราะเขมรมีนโยบายคือรุกอย่างเดียว แต่ชาวบ้านจะรุกก็ไม่ได้เพราะเราเป็นประชาชน จริง ๆเราไม่อยากจะเสียพื้นที่ทำกิน แต่ชาวบ้านที่นี่เดือดร้อนมานานตั้งแต่มีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เราจึงได้ปรึกษากับชาวบ้านว่าควรจะมีการเพิกถอนอุทยานแห่งชาติแห่งนี้เพื่อที่จะให้ชาวบ้านมีโอกาสเข้าไปทำกินตามเขตชายแดนเพราะเป็นรั่วป้องกันอีกชั้นหนึ่ง เพราะถ้าอุทยานฯยังอยู่เราทำอะไรไม่ได้เลย เราขึ้นไปก็ถูกกฎหมายบังคับ ขณะที่ต่างเข้ามาบุกรุกอุทยานฯก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้นอกจากทหารเท่านั้นที่จะผลักดัน แต่อุทยานฯมีแต่กีดกั้นประชาชนคนไทย

“ป่าสมบูรณ์ก็คงจะให้เป็นป่าที่สมบูรณ์ต่อไป แต่พื้นที่รกร้างหรือป่าเสื่อมโทรมที่เคยเป็นพื้นที่ทำกินชาวบ้านตามแนวชายแดน เราอยากให้อุทยานฯคืนที่ตรงนั้นให้กับชาวบ้านจะได้ไปเป็นรั่วอย่างดีให้กับประเทศชาติ ” นายวิสิทธ์ กล่าว

จากนั้นเวลาประมาณ 14.00 น. แกนนำได้ประกาศบนเวทีว่า กรรมาธิการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาทั้งหมดของชาวบ้านที่มาวันนี้ ได้นัดให้ตัวแทนนำเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นไปพูดคุยในรายละเอียดในปลายเดือนมี.ค.นี้ ชาวบ้านที่มาชุมนุมจึงพอใจเวทีปราศรัยจึงได้ยุติลง

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

รุกเปิดเวที “เขาวิหาร” ต้านศาลโลก ค้านถอนทหาร-ห้ามอินโดฯจุ้น

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ภูมิภาค

ศรีสะเกษ - เครือข่ายฯปกป้องแผ่นดินไทยอีสานใต้-ตะวันออก รุกชายแดนเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ เปิดเวทีต้านไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ค้านกองทัพไทยถอนทหารพ้นเขาพระวิหาร และไม่ยอมให้อินโดฯเข้ามาจุ้นเด็ดขาด จี้ เพิกถอนเขตอุทยานฯเขาพระวิหาร เปิดทางให้ชาวบ้านเข้าทำกินในที่ดินเดิมตามแนวชายแดน เพื่อเป็นรั้วของชาติ สกัดจิ้งจอกเขมรบุกรุกดินแดนไทยอย่างยั่งยืน

วันนี้ (4 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดเก่าบ้านภูมิซรอล หมู่ 2 ใกล้โรงเรียนบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย อีสานใต้-ตะวันออก ได้เปิดเวทีปราศรัยให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก คัดค้านกองทัพถอนกำลังทหารไทยออกจากพื้นที่ และไม่ยินยอมให้ประเทศอินโดนีเซีย ส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาในพื้นที่เขาพระวิหารชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเด็ดขาด

รวมทั้งออกแถลงการณ์เรียกร้องให้อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ยุติบทบาทในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติอันล้มเหลว โดยคืนที่ดินทำกินเดิมตามแนวชายแดนให้กับชาวบ้านที่ประสบปัญหาขาดแคลนที่ดินทำกิน หลังจากถูกประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารทับที่ทำกินมานาน เพื่อทำหน้าที่เป็นแนวกันชนปกป้องแผ่นดินไทยจากการบุกรุกของประเทศเพื่อนบ้าน

นพ.ประทีป ตลับทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบัวเชด อ.บัวเชด จ.สุรินทร์ ประธานเครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์ขณะนี้ประเทศไทยเรามีความสุ่มเสี่ยงที่จะสูญเสียดินแดน เพราะจากข้อมูลหลักฐานที่เห็นมา ประเทศไทยโดยรัฐบาลของเราแสดงออกท่าทีว่าจะยอมรับอำนาจของศาลโลก ซึ่งโดยปกติแล้วประเทศไทยไม่ได้เป็นภาคีสมาชิกศาลโลกมากว่า 50 ปีแล้ว ดังนั้น ศาลโลกไม่มีสิทธิ และไม่มีอำนาจในการที่บังคับคดี หรือมีอำนาจในการที่สั่งการอะไรในพื้นที่ประเทศไทย และประเทศไทยมีสิทธิที่จะไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกได้โดยสมบูรณ์

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการะทรวงกลาโหม คนใหม่ จะมีผลอะไรต่อเรื่องเขตแดนโดยเฉพาะด้านชายแดนไทย-กัมพูชา หรือไม่ นพ.ประทีป กล่าวว่า เรื่องนี้ตนคิดว่า พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการะทรวงกลาโหม ควรจะไตร่ตรองให้ดีว่าเข้ามารับตำแหน่งนี้แล้ว จะต้องทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติเช่นเดียวกับประชาชนไทยทุกคน ซึ่งเรื่องนี้ทางเครือข่ายฯ เราจะร่วมทำการตรวจสอบการทำงานของท่านอย่างใกล้ชิด เพื่อทำหน้าที่ปกป้องผืนแดนดินไทยเราให้ได้มากที่สุด ด้วยการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์กับคนไทย

ด้าน นายวิสิทธิ์ ดวงแก้ว อายุ 48 ปี แกนนำชาวบ้านที่เดือดร้อนจากปัญหาการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารทับที่ทำกิน กล่าวว่า เรื่องของชายแดนเขาพระวิหาร ขณะนี้ต้องเริ่มต้นจากคำว่าไม่ถอนทหารก่อน เพราะการถอนทหารจะทำให้ไทยเราเสียดินแดน เพราะเขมรมีนโยบาย คือ รุกอย่างเดียว แต่ชาวบ้านคนไทยจะรุกก็ไม่ได้ เพราะเราเป็นประชาชน จริง ๆเราไม่อยากเสียพื้นที่ทำกิน แต่ชาวบ้านที่นี่เดือดร้อนมานานตั้งแต่มีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร

เราจึงได้ปรึกษากับชาวบ้านว่า ควรจะมีการเพิกถอนเขตอุทยานแห่งชาติแห่งนี้ เพื่อให้ชาวบ้านมีโอกาสเข้าไปทำกินตามเขตชายแดนและเป็นรั้วป้องกันเขตแดนไทยอีกชั้นหนึ่ง เนื่องจากหากอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารยังอยู่เราจะทำอะไรไม่ได้เลย เราขึ้นไปก็ถูกกฎหมายบังคับ ขณะที่ต่างชาติได้เข้ามาบุกรุกอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร แต่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ มีเพียงทหารเท่านั้นที่จะผลักดันผู้รุกล้ำเขตแดนไทยออกไป ส่วนอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารก็มีแต่คอยกีดกั้นประชาชนคนไทยด้วยกันเองเท่านั้น

“สำหรับหลักการการจัดสรรที่ทำกินตามเขตชายแดนให้ชาวบ้านผู้เดือดร้อนไร้ที่ทำกินนั้น ในส่วนป่าสมบูรณ์ก็ให้เป็นป่าที่สมบูรณ์อีกต่อไป แต่พื้นที่รกร้าง หรือป่าเสื่อมโทรมที่เคยเป็นพื้นที่ทำกินเดิมของชาวบ้านตามแนวชายแดน เราอยากให้อุทยานฯ คืนที่ตรงนั้นให้กับชาวบ้านจะได้ไปปักหลักทำกินเป็นรั้วอย่างดีให้กับประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป” นายวิสิทธิ์ กล่าว

ต่อมาเวลาประมาณ 14.00 น.วันเดียวกันนี้ (4 มี.ค.) แกนนำเครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย ได้ประกาศบนเวทีว่า ตัวแทนหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาทั้งหมดของชาวบ้านที่มาวันนี้ ได้นัดให้ตัวแทนนำเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นไปพูดคุยในรายละเอียดในปลายเดือน มี.ค.นี้ ชาวบ้านที่มาชุมนุมจึงพอใจ และเวทีปราศรัยได้ยุติลงด้วยความสงบเรียบร้อย

AC_FL_RunContent( 'codebase','http://download.macromedia.com/pub/shockwave/cabs/flash/swflash.cab#version=7,0,19,0','width','600','height','100','src','/home/images/bn_myfirst6','quality','high','pluginspage','http://www.macromedia.com/go/getflashplayer','wmode','transparent','movie','/home/images/bn_myfirst6' ); //end AC code

ที่มา : http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrview.aspx?NewsID=9550000028766

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง