บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

ทวิภาคีแดนไทย-เขมรบรรลุตกลง7ข้อ

คมชัดลึก

ถกทวิภาคีชายแดนไทย-กัมพูชาที่เสียมราฐ บรรลุ 7 ข้อ เน้นความมั่นคงตามแนวชายแดน ทำความเข้าใจชาวบ้านเคารพข้อปฏิบัติตาม MOU43 เครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทยจัดเวที ห้ามถอนทหาร ไล่อุทยานพ้นชายแดนเหตุ 2 มาตรฐาน จับคนไทยแต่ปล่อยเขมรรุกดินแดน ไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก
4มี.ค.2555 เว็ปไซต์ฟิฟทีนมูฟ รายงานผลการประชุมกรมกิจการชายแดนทวิภาคี ไทย-กัมพูชา วันที่ 28 - 29 ก.พ. 2555 ที่เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา โดยมี พล.ท.วรวิทย์ ดรุณชู เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย และฝ่ายกัมพูชานำโดย พล.ท.เซียก โซะเจียต เจ้ากรมกิจการชายแดน กองบัญชาการกองทัพแห่งชาติกัมพูชา ร่วมประชุมโดยได้นำร่างบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือเพื่อสร้างเสถียรภาพ รักษาสันติภาพในพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28กุมภาพันธ์ ขึ้นพิจารณา โดยสองฝ่ายได้ให้ความเห็นชอบร่วมกันในร่างบันทึก 7 ประเด็น คือ


1. ความร่วมมือในการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนนั้น ทั้งสองฝ่ายต้องผลักดันให้ผู้บัญชาการที่ดูแลหน่วยประจำการตามแนวชายแดน และคณะทำงานที่เกี่ยวข้องกับชายแดนไทยและกัมพูชา ทุกระดับชั้น กระชับความสัมพันธ์และสร้างมิตรไมตรีที่ดี โดยในประเด็นแรกนี้ สองฝ่ายสนับสนุนให้มีการใช้เครื่องมือคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ไทย-กัมพูชา นอกเหนือจากการประชุม เพื่อนำมาซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพชายแดน

2. สองฝ่ายต้องเพิ่มการสนับสนุนและความร่วมมือในการสกัดกั้นและปราบปรามอาชญากรรมข้ามแดนและสิ่งผิดกฎหมายทุกประเภท 3. ทั้งสองฝ่ายเพิ่มการสนับสนุนการให้ข้อมูลความรู้แก่เจ้าหน้าที่และประชาชนของสองประเทศ หลีกเลี่ยงการกระทำผิดกฎหมายในพื้นที่ชายแดน ระมัดระวังการเกี่ยวข้องกับผู้ไม่ประสงค์ดี นอกจากนี้ ต้องเผยแพร่ข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่และประชาชนของสองประเทศ ให้เคารพต่อบันทึกข้อตกลงฯ (MOU 43) ระหว่างราชอาณาจักรไทยและกัมพูชา เกี่ยวกับการตรวจสอบและจัดทำหลักเขตแดนทางบก มาตรา5 ที่ได้ลงนามเมื่อ 14 มิถุนายน 2553

4. สองฝ่ายเห็นชอบร่วมกันจัดให้มีการตรวจพื้นที่ภูมิประเทศตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระหว่างคณะทำงานของกรมกิจการชายแดนของสองประเทศ โดยมีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมด้วย 5. สองฝ่ายเห็นชอบจัดให้มีการประชุมร่วมระหว่างเจ้ากรมกิจการชายแดนสองประเทศ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมด้วยทุก 6 เดือน ต่อข้อเสนอของกัมพูชาที่ขอให้มีการประชุมร่วมกันทุก 3 เดือน สำหรับสำนักงานความสัมพันธ์ชายแดน และทุก 1 เดือน สำหรับคณะทำงานด่านพรมแดน เพื่อสรุปเหตุการณ์โดยหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ ฝ่ายไทยยืนยันว่าเห็นชอบนำเรื่องเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องฝ่ายไทย เพื่อให้มีการตัดสินใจเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว

6. ฝ่ายกัมพูชายินดีต่อการปฏิบัติการร่วมที่มีกับฝ่ายไทย ในการสกัดกั้นและป้องกันไม่ให้มีการล่วงล้ำน่านน้ำไทยของกลุ่มประมงผิดกฎหมาย และกลุ่มอาชญากรรมข้ามแดนทางทะเล 7. ฝ่ายกัมพูชาต้อนรับต่อการปฏิบัติการร่วมป้องกันไม่ให้มีการลักลอบเข้าตัดไม้ในดินแดนประเทศไทย โดยทำการอบรมให้ความรู้ประชาชนและจัดมาตรการเพิ่มเติมแก่กลุ่มเจ้าหน้าที่กระชับความร่วมมือระหว่างกันให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ส่วนประเด็นอื่น ๆ ฝ่ายกัมพูชาได้เสนอให้ฝ่ายไทยพิจารณาเปิดจุดผ่านแดนทมอดูน ต.โคกมอน และด่านจุบโกกี ต.อำปึล อ.บันเตียอำปึล จ.อุดรมีชัย ซึ่งฝ่ายไทยได้รับเรื่องเพื่อเสนอกระทรวงมหาดไทยพิจารณาให้ความเห็นชอบ ส่วนผลการประชุม ฝ่ายไทยเห็นว่าเป็นโอกาสดีในการสร้างความใกล้ชิดระหว่างทั้งสองประเทศ และได้แถลงขอบคุณต่อประธานร่วมฝ่ายกัมพูชาที่นำการประชุมจนประสบผลสำเร็จอย่างดียิ่ง

สำหรับความร่วมมือในการป้องปรามการลักลอบตัดไม้ในเขตไทยของชาวกัมพูชานั้น ทางเจ้าหน้าที่กัมพูชายินดีให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ โดยล่าสุดในวันที่ 3 มี.ค. มีรายงานว่า ชุดลาดตระเวนของไทยพบได้ควบคุมตัวชาวบ้านกัมพูชา 33 คนที่กำลังลักลอบตัดไม้พะยูง ได้ยึดหลักฐานของกลางไว้ได้ ประกอบด้วย เครื่องเลื่อยโซ่ยนต์พร้อมอะไหล่ไว้ได้ วิทยุเอเชียเสรีภาคภาษาเขมร รายงานว่าเจ้าหน้าที่ อ.ตรอเปียงปราสาท จ.อุดรมีชัย ติดกับ อ.จอมกะสานต์ จ.พระวิหาร กัมพูชา ได้วางมาตรการตามจุดผ่านแดนกัมพูชา-ไทยอย่างเข้มงวด เพื่อยับยั้งไม่ให้ชาวกัมพูชาลักลอบข้ามแดนโดยผิดกฎหมายเข้าตัดไม้พะยูงในเขตไทย ซึ่งเป็นการเสี่ยงชีวิตและถูกทหารไทยยิงเสียชีวิตหลายกรณีต่อเนื่อง



เครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินร้องห้ามถอนทหาร

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่วัดเก่าบ้านภูมิซรอล ม.2 ตั้งอยู่โรงเรียนบ้านภูมิซรอล ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย อีสานใต้ - ตะวันออก ประมาณ 100 คน ได้เปิดเวทีปราศรัยให้ความรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งอ่านแถลงการณ์ให้อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารยุติบทบาทในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ คืนที่ทำกินตามแนวชายแดนให้กับชาวบ้านที่ประสบปัญหาขาดแคลนที่ทำกินหลังจากถูกประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารทับที่ทำกินมานาน พร้อมทั้งได้ร่วมประกาศเจตนารมณ์ห้ามกองทัพถอนทหารออกจากพื้นที่และไม่ยินยอมให้อินโดนีเซียส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามาในพื้นที่พิพาทชายแดนโดยเด็ดขาด

น.พ.ประทีป ตลับทอง ผอ.รพ.บัวเชด จ.สุรินทร์ ประธานเครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์ขณะนี้ประเทศไทยเรามีความสุ่มเสี่ยงที่จะเสียดินแดน เพราะจากข้อมูลหลักฐานที่เห็นมาประเทศไทยแสดงออกท่าทีว่าจะยอมรับอำนาจของศาลโลก ซึ่งโดยปกติแล้วประเทศไทยไม่ได้เป็นสมาชิกของศาลโลกมา 50 กว่าปีแล้ว ดังนั้นศาลโลกไม่มีสิทธิ์และไม่มีอำนาจในการที่บังคับคดีหรือมีอำนาจในการที่สั่งการอะไรในพื้นที่ประเทศไทย นอกจากนี้ไทยมีสิทธิ์ที่จะไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกได้โดยสมบูรณ์

ส่วนการเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมคนใหม่จะมีผลอะไรต่อเรื่องเขตแดนหรือไม่ น.พ.ประทีป กล่าวว่า เรื่องนี้ตนคิดว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ควรจะไตร่ตรองให้ดีว่าพล.อ.สุกำพล เข้ามารับตำแหน่งนี้แล้วจะต้องทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติเช่นเดียวกับประชาชนไทยทุกคน ซึ่งเรื่องนี้ทางเครือข่ายเราจะร่วมทำการตรวจสอบการทำงานของท่านอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะทำหน้าที่ปกป้องผืนแดนดินไทยเราให้ได้มากที่สุด ด้วยการให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์กับคนไทย

ด้านนายวิสิทธิ์ ดวงแก้ว อายุ 48 ปี แกนนำชาวบ้านที่เดือดร้อนจากปัญหาการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารทับที่ทำกิน กล่าวว่า เรื่องชายแดนขณะนี้จะต้องเริ่มต้นจากคำว่าไม่ถอนทหารก่อน เพราะการถอนทหารจะทำให้เราเสียดินแดน เพราะเขมรมีนโยบายคือรุกอย่างเดียว แต่ชาวบ้านจะรุกก็ไม่ได้เพราะเราเป็นประชาชน จริง ๆเราไม่อยากจะเสียพื้นที่ทำกิน แต่ชาวบ้านที่นี่เดือดร้อนมานานตั้งแต่มีการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร เราจึงได้ปรึกษากับชาวบ้านว่าควรจะมีการเพิกถอนอุทยานแห่งชาติแห่งนี้เพื่อที่จะให้ชาวบ้านมีโอกาสเข้าไปทำกินตามเขตชายแดนเพราะเป็นรั่วป้องกันอีกชั้นหนึ่ง เพราะถ้าอุทยานฯยังอยู่เราทำอะไรไม่ได้เลย เราขึ้นไปก็ถูกกฎหมายบังคับ ขณะที่ต่างเข้ามาบุกรุกอุทยานฯก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้นอกจากทหารเท่านั้นที่จะผลักดัน แต่อุทยานฯมีแต่กีดกั้นประชาชนคนไทย

“ป่าสมบูรณ์ก็คงจะให้เป็นป่าที่สมบูรณ์ต่อไป แต่พื้นที่รกร้างหรือป่าเสื่อมโทรมที่เคยเป็นพื้นที่ทำกินชาวบ้านตามแนวชายแดน เราอยากให้อุทยานฯคืนที่ตรงนั้นให้กับชาวบ้านจะได้ไปเป็นรั่วอย่างดีให้กับประเทศชาติ ” นายวิสิทธ์ กล่าว

จากนั้นเวลาประมาณ 14.00 น. แกนนำได้ประกาศบนเวทีว่า กรรมาธิการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาทั้งหมดของชาวบ้านที่มาวันนี้ ได้นัดให้ตัวแทนนำเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นไปพูดคุยในรายละเอียดในปลายเดือนมี.ค.นี้ ชาวบ้านที่มาชุมนุมจึงพอใจเวทีปราศรัยจึงได้ยุติลง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง