บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

โฉนดชุมชน หมอประเวศ-อานันท์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดย ไกรก้อง กูนอรลัคขณ์

โฉนดชุมชน หมอประเวศ-อานันท์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์


  • ไกรก้อง กูนอรลัคขณ์

ไกรก้อง กูนอรลัคขณ์ ชวนประเวศ วะสี อานันท์ ปันยารชุณ และชนชั้นนำทั้งหลายที่พูดถึงนโยบายโฉนดชุมชนอย่างสวยหรูให้เริ่มต้นโดยการนำที่ดินที่ตัวเองและเครือญาติ หรือคนในส่วนแวดวงตนเองมีอยู่มาปฏิรูปเป็นตัวอย่าง





การเคลื่อนไหวของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย เพื่อให้มีการกระจายการถือครองไม่ให้มีการกระจุกตัวของที่ดินทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด และได้เสนอทางเลือกในการจัดการที่ดินในรูปแบบใหม่”โฉนดชุมชน” ซึ่งไม่เน้นความเป็นกรรมสิทธิ์ของปัจเจกชนและกรรมสิทธิ์ของรัฐแต่ให้ความสำคัญกับการจัดการที่ดินโดยกลุ่ม โดยชุมชน
ประเวศ วะสี และอานันท์ ปันยารชุณ หัวหน้าคณะกรรมการปฏิรูปฯ ก็ได้เสนอให้มีการจำกัดการถือครองที่ดิน
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เองก็เคยประกาศนโยบายที่จะเก็บภาษีที่ดินที่ก้าวหน้า และโฆษณาประชาสัมพันธ์ในการทำโฉนดชุมชนที่มี สื่อทีพีบีเอส เป็นกระบอกเสียง เสมือนว่า มีการทำโฉนดชุมชนเกิดทั่วขอบเขตประเทศไทย ทั้งๆทำได้น้อยนิดมาก เป็นการหลอกลวงคนดูโดยสื่อเสรีก็ว่าได้
เนื่องเพราะไม่พูดข้อเท็จจริงทั้งหมดตามแบบอย่างที่สื่อมักทำเป็นประจำ หรือพูดเพียงน้อยนิดให้เป็นน้ำจิ้มมากกว่าเจาะลึก หรือแฉการโกหกมดเท็จของรัฐบาล
ดูเหมือนทุกอย่างลงตัว ดูเหมือนใครๆก็เห็นด้วยกับการปฏิรูปที่ดิน กระจายการถือครองที่ดิน จำกัดการถือครองที่ดิน
แต่ทำไม เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ได้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ร่วมแรมเดือน อดตาหลับขับตานอน ตากแดดตากฝน อดทนกับความยากลำบาก เพื่อต่อสู้ให้บรรลุเป้าหมาย
ในด้านหนึ่ง อาจบอกได้ว่า เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยทวงสัญญาที่นายกรัฐมนตรีรับปาก แต่ไม่กระทำการณ์
หรือนายกรัฐมนตรีก็ใช้สำนวนโวหารเหมือนที่เป็นมาในหลายเรื่องหลายราวแต่ไม่ปฏิบัติจริงสักที
หรือนายกฯใช้ภาษาที่นิ่มนวล บุคคลิกที่ดูดี แต่ธาตุแท้อาจจะคนละเรื่องก็ได้ ต้องพิสูจน์การที่ปฏิบัติจริงรูปธรรมที่เป็นจริง
เหมือนดั่งป้ายประท้วงของเครือข่ายปฎิรุปที่ดินแห่งประเทศไทยที่ว่า
‘โฉนดชุมชน เพื่อคนจน รัฐบาลตอแหลไม่แน่จริง”
“ประชาธิปโฉด อภิชั่ว รับปากมั่ว ทำไม่ได้จริง”
“แก้ปัญหาที่ดิน โดยจับชาวนาเข้าคุก”
ใครหลายคนก็เคยเห็น ประเวศ วะสี และอานันท์ ปันยารชุณ เสนออะไรดีๆ เพ้อๆ ฝันๆต่อสังคมในการแถลงข่าว ในห้องสัมนนา ณโรงแรมหรูๆ ใช้งบประมาณไม่พอเพียงเป็นแน่
ครั้งนี้ประเวศ และอานันท์ ก็มีข้อเสนอให้มีการจำกัดการถือครองที่ดินต่อรัฐบาลที่ทั้งสองหนุนช่วยหนุนหลังอยู่ แม้จะเพิ่งผ่านโศกนาฎกรรมสังหารหมู่ประชาชนคนเสื้อแดงก็ตาม และไม่เคยเคลื่อนไหวเลยให้หาคนฆ่าคนสั่งฆ่ามาดำเนินการตามกฎหมายให้เกิดความยุติธรรมที่เขาทั้งสองชอบท่องเอ่ยต่อสังคมเป็นประจำ
แต่ข้อเสนอก็คงว่างเปล่า รัฐบาลไม่ดำเนินการตามข้อเสนอ และ ประเวศ วะสี และอานันท์ ปันยารชุณ ก็คงหาเรื่องใหม่ๆมาทำ พร้อมเสนอต่อรัฐบาลอีกครา และแน่นอนว่า งบประมาณทั้งหลายนั้นต้องมาจากรัฐบาลเป็นแน่แท้ในการกระทำการ
อันที่จริง ประเวศ วะสี อานันท์ ปันยารชุณ ก็น่าจะเริ่มต้นเป็นตัวอย่างให้ใครต่อใคร โดยการนำที่ดินที่ตัวเองและเครือญาติ หรือคนในส่วนแวดวงตนเอง ที่มีใกล้ชิดอยู่ มาปฏิรูปเป็นแบบอย่างให้ใครต่อใครจะดีไหมละ ?
มิใช่วันๆด่า เอาแต่พวกนักการเมือง และควรเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินต่อสาธารณะเหมือนเช่นนักการเมือง น่าจะตรงไปตรงมาดี ?ในฐานะนักการเมืองที่ไม่ชอบลงเลือกตั้ง

ส่วนกระผมคิดเห็นว่า การกระจายการถือครองที่ดิน ย่อมแยกไม่ออกกับการพัฒนาประชาธิปไตยในบ้านเรา สังคมยิ่งเป็นประชาธิปไตย การกระจายการถือครองที่ดินย่อมมีมากขึ้น
เนื่องเพราะว่า “ความเป็นประชาธิปไตย” ย่อมต้องเปิดเผยข้อมูล ย่อมต้องไม่ปกปิด ย่อมทำให้เห็นความแตกต่างความเหลือ่มล้ำของผู้มีอำนาจกับผู้ไร้อำนาจ ย่อมทำให้มีการตรวจสอบ ย่อมทำให้ไม่ปิดบัง ย่อมทำให้ไม่มีอภิสิทธิ์ชนใดๆ
“ความเป็นประชาธิปไตย” จึงเป็นอนาคตในการปฏิรูปที่ดิน กระจายการถือครองที่ดินเหมือนเฉกเช่นการจำกัดการถือครองที่ดินที่เกิดขึ้นจริงในประเทศต่างๆ บนโลกใบนี้

โฉนดชุมชน หมอประเวศ-อานันท์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดย ไกรก้อง กูนอรลัคขณ์

โฉนดชุมชน หมอประเวศ-อานันท์ และรัฐบาลอภิสิทธิ์

ไกรก้อง กูนอรลัคขณ์


ไกรก้อง กูนอรลัคขณ์ ชวนประเวศ วะสี อานันท์ ปันยารชุณ และชนชั้นนำทั้งหลายที่พูดถึงนโยบายโฉนดชุมชนอย่างสวยหรูให้เริ่มต้นโดยการนำที่ดินที่ตัวเองและเครือญาติ หรือคนในส่วนแวดวงตนเองมีอยู่มาปฏิรูปเป็นตัวอย่าง



การเคลื่อนไหวของเครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย เพื่อให้มีการกระจายการถือครองไม่ให้มีการกระจุกตัวของที่ดินทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด และได้เสนอทางเลือกในการจัดการที่ดินในรูปแบบใหม่”โฉนดชุมชน” ซึ่งไม่เน้นความเป็นกรรมสิทธิ์ของปัจเจกชนและกรรมสิทธิ์ของรัฐแต่ให้ความสำคัญกับการจัดการที่ดินโดยกลุ่ม โดยชุมชน
ประเวศ วะสี และอานันท์ ปันยารชุณ หัวหน้าคณะกรรมการปฏิรูปฯ ก็ได้เสนอให้มีการจำกัดการถือครองที่ดิน
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เองก็เคยประกาศนโยบายที่จะเก็บภาษีที่ดินที่ก้าวหน้า และโฆษณาประชาสัมพันธ์ในการทำโฉนดชุมชนที่มี สื่อทีพีบีเอส เป็นกระบอกเสียง เสมือนว่า มีการทำโฉนดชุมชนเกิดทั่วขอบเขตประเทศไทย ทั้งๆทำได้น้อยนิดมาก เป็นการหลอกลวงคนดูโดยสื่อเสรีก็ว่าได้
เนื่องเพราะไม่พูดข้อเท็จจริงทั้งหมดตามแบบอย่างที่สื่อมักทำเป็นประจำ หรือพูดเพียงน้อยนิดให้เป็นน้ำจิ้มมากกว่าเจาะลึก หรือแฉการโกหกมดเท็จของรัฐบาล
ดูเหมือนทุกอย่างลงตัว ดูเหมือนใครๆก็เห็นด้วยกับการปฏิรูปที่ดิน กระจายการถือครองที่ดิน จำกัดการถือครองที่ดิน
แต่ทำไม เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย ได้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ร่วมแรมเดือน อดตาหลับขับตานอน ตากแดดตากฝน อดทนกับความยากลำบาก เพื่อต่อสู้ให้บรรลุเป้าหมาย
ในด้านหนึ่ง อาจบอกได้ว่า เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทยทวงสัญญาที่นายกรัฐมนตรีรับปาก แต่ไม่กระทำการณ์
หรือนายกรัฐมนตรีก็ใช้สำนวนโวหารเหมือนที่เป็นมาในหลายเรื่องหลายราวแต่ไม่ปฏิบัติจริงสักที
หรือนายกฯใช้ภาษาที่นิ่มนวล บุคคลิกที่ดูดี แต่ธาตุแท้อาจจะคนละเรื่องก็ได้ ต้องพิสูจน์การที่ปฏิบัติจริงรูปธรรมที่เป็นจริง
เหมือนดั่งป้ายประท้วงของเครือข่ายปฎิรุปที่ดินแห่งประเทศไทยที่ว่า
‘โฉนดชุมชน เพื่อคนจน รัฐบาลตอแหลไม่แน่จริง”
“ประชาธิปโฉด อภิชั่ว รับปากมั่ว ทำไม่ได้จริง”
“แก้ปัญหาที่ดิน โดยจับชาวนาเข้าคุก”
ใครหลายคนก็เคยเห็น ประเวศ วะสี และอานันท์ ปันยารชุณ เสนออะไรดีๆ เพ้อๆ ฝันๆต่อสังคมในการแถลงข่าว ในห้องสัมนนา ณโรงแรมหรูๆ ใช้งบประมาณไม่พอเพียงเป็นแน่
ครั้งนี้ประเวศ และอานันท์ ก็มีข้อเสนอให้มีการจำกัดการถือครองที่ดินต่อรัฐบาลที่ทั้งสองหนุนช่วยหนุนหลังอยู่ แม้จะเพิ่งผ่านโศกนาฎกรรมสังหารหมู่ประชาชนคนเสื้อแดงก็ตาม และไม่เคยเคลื่อนไหวเลยให้หาคนฆ่าคนสั่งฆ่ามาดำเนินการตามกฎหมายให้เกิดความยุติธรรมที่เขาทั้งสองชอบท่องเอ่ยต่อสังคมเป็นประจำ
แต่ข้อเสนอก็คงว่างเปล่า รัฐบาลไม่ดำเนินการตามข้อเสนอ และ ประเวศ วะสี และอานันท์ ปันยารชุณ ก็คงหาเรื่องใหม่ๆมาทำ พร้อมเสนอต่อรัฐบาลอีกครา และแน่นอนว่า งบประมาณทั้งหลายนั้นต้องมาจากรัฐบาลเป็นแน่แท้ในการกระทำการ
อันที่จริง ประเวศ วะสี อานันท์ ปันยารชุณ ก็น่าจะเริ่มต้นเป็นตัวอย่างให้ใครต่อใคร โดยการนำที่ดินที่ตัวเองและเครือญาติ หรือคนในส่วนแวดวงตนเอง ที่มีใกล้ชิดอยู่ มาปฏิรูปเป็นแบบอย่างให้ใครต่อใครจะดีไหมละ ?
มิใช่วันๆด่า เอาแต่พวกนักการเมือง และควรเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินต่อสาธารณะเหมือนเช่นนักการเมือง น่าจะตรงไปตรงมาดี ?ในฐานะนักการเมืองที่ไม่ชอบลงเลือกตั้ง

ส่วนกระผมคิดเห็นว่า การกระจายการถือครองที่ดิน ย่อมแยกไม่ออกกับการพัฒนาประชาธิปไตยในบ้านเรา สังคมยิ่งเป็นประชาธิปไตย การกระจายการถือครองที่ดินย่อมมีมากขึ้น
เนื่องเพราะว่า “ความเป็นประชาธิปไตย” ย่อมต้องเปิดเผยข้อมูล ย่อมต้องไม่ปกปิด ย่อมทำให้เห็นความแตกต่างความเหลือ่มล้ำของผู้มีอำนาจกับผู้ไร้อำนาจ ย่อมทำให้มีการตรวจสอบ ย่อมทำให้ไม่ปิดบัง ย่อมทำให้ไม่มีอภิสิทธิ์ชนใดๆ
“ความเป็นประชาธิปไตย” จึงเป็นอนาคตในการปฏิรูปที่ดิน กระจายการถือครองที่ดินเหมือนเฉกเช่นการจำกัดการถือครองที่ดินที่เกิดขึ้นจริงในประเทศต่างๆ บนโลกใบนี้

สุเทพ-มาร์ค คู่หู มารดำ-ขาว !! โดย...ก้อนกรวด

เกาะกระแส
โดย...ก้อนกรวด

 ถือว่าใกล้ “สติแตก”เข้าไปทุกทีแล้ว สำหรับรัฐบาล “หล่อ-ลวง-แหล” เพราะทนไม่ได้ที่ถูกพันธมิตรฯ เปิดโปงกระชากหน้ากากออกมาให้ชาวบ้านได้เห็น “ธาตุแท้” อยู่ทุกวัน ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่ต้องกดดันให้ ตำรวจเล่น “บทโหด” เตรียม “รื้อส้วม” ของผู้ชุมนุม เป้าหมายก็เพื่อกดดัน บีบคั้นทุกทาง ซึ่งเป็นมาตรการในเชิงจิตวิทยา หลังจากก่อนหน้านี้ได้ผลักดันและยึดพื้นที่ถนนคู่ขนานจำนวน 2 เลน หน้ากระทรวงศึกษาได้สำเร็จไปแล้ว

 การรุกคืบเข้ามาดังกล่าวก็เป็นไปตามความต้องการของ “สองคู่หู-มารดำขาว” อภิสิทธิ์-สุเทพ ที่สั่งการให้ตำรวจทำอย่างไรก็ได้ แต่ต้องทำให้พันธมิตรฯ สลายการชุมนุมพ้นไปจากพื้นที่ใกล้ทำเนียบฯ-สภา เพราะถ้ายังถูกจับ “แก้ผ้า” แบบนี้อยู่ทุกวัน ต่อไปก็เหลือแต่ตัว “ล่อนจ้อน” แน่

 ขณะเดียวกันหากนับจากวันนี้ก่อนถึงวันที่ 12 มีนาคม ก็เหลือเวลาอีกไม่กี่วันที่ “ม็อบเสื้อแดง” กำหนดนัดชุมนุมใหญ่ แม้ว่า “เหลือง-แดง” จะรวมกันไม่ได้ เพราะเป้าหมาย และเหตุผลคนละอย่างก็ตาม แต่เฉพาะหน้าก็คือ “ไม่เอามาร์ค” เหมือนกัน นี่แหละคือสาเหตุที่ต้องรีบเร่งจัดการเพื่อ “บั่นทอน” เอาไว้ก่อน

00 นาทีนี้ เริ่มได้ “กลิ่นเลือกตั้ง” โชยมาแตะจมูกแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ละพรรคต่างทยอยเปิดตัวผู้สมัคร โดยเฉพาะในระบบเขต แต่ถึงอย่างไรต้องยอมรับความเป็นจริง เป็นการแข่งขันกันระหว่าง ประชาธิปัตย์ กับเพื่อไทย ซึ่งถ้าพูดแบบไม่เกรงใจก็ต้องบอกว่า “ฝ่ายแม้ว” ยังเหนือกว่า และยิ่งบรรยากาศข้าวของแพงหูฉี่แบบนี้ ก็ยิ่งเป็นใจ นำไปตีกินหาเสียงได้สบาย และมีโอกาส “แลนสไลด์” เสียด้วยซี อย่ามองข้ามเป็นอันขาด !!

 ขณะเดียวกัน คำถามที่จะต้องเกิดขึ้นตามมาก็คือ “ถ้าไม่ใช่มาร์ค แล้วจะเอาใคร” จะดังออกมาเรื่อยๆ เพราะถือว่านี่คือแทกติก ระดับ “มารแปลงร่าง” ที่ต้องเร่งขยายผล คิดว่าจะ “เบรกอารมณ์” และกระแส “เบื่อมาร์ค-ปชป.” ลงได้ หากนำไปเปรียบเทียบกับฝ่ายตรงข้าม แต่อีกมุมหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกัน มาร์ค-สุเทพ-แม้ว-มิ่งขวัญ-เฉลิม นาทีนี้ ไม่ต่างกัน ถือว่า “ราคาเดียวกัน” หมด ดังนั้นเมื่อมีคำถามข้างต้นออกมา ก็ต้องตอบกลับไปว่า “ไม่ต้องห่วง” จะไปสนใจทำไม ในเมื่อราคาเดียวกัน มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลก หากมีใครสักคนจะขึ้นมาเป็นนายกฯ ในวันหน้าที่มาตามกระบวนการ ตามขั้นตอน อย่าไปติดกับดักตื้นๆ ของพวก “เขี้ยวลากดิน” ในพรรคประชาธิปัตย์ เพราะหากใครก็ตาม ที่ขึ้นมาแล้ว “ทำชั่ว-ขายชาติ” มันก็ต้องไล่ไปให้พ้นอีก มันต้องพัฒนาการไปเรื่อยๆ ด้วยตัวของมันเอง เหมือนกับก่อนหน้านี้เคยถามกันว่า “ถ้าไม่เอาแม้ว แล้วจะเอาใคร” ก็ถึงได้มาร์ค อยู่นี้ไงล่ะ ไอ้โง่ !!

น่าเห็นใจที่สุดเวลานี้ก็คงจะหนีไม่พ้น “วีระ สมความคิด” กับ "ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์" ที่ยังคาอยู่ในคุกเขมร และทำท่าจะ “ลากยาว” เสียด้วย เพราะเรามีนายกฯ “ห่วยแตก” ขาดความรับผิดชอบ ล่าสุดฉวยโอกาสอ้างบรรยากาศความสัมพันธ์สองประเทศไม่ปกติ ทำให้ช่วยเหลือลำบาก พร้อมกับโยนให้ครอบครัวเป็นคนตัดสินใจว่า จะยื่นอุทธรณ์ หรือ ขออภัยโทษ สรุปว่าเมื่อตัวเอง “ไม่มีน้ำยา” จะช่วยเหลือ พอได้จังหวะก็“ลอยแพ” ชิ่งหนีมันเสียดื้อๆ

 ไม่น่าเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากเป็น ผบ.ทบ.ไม่นาน ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป ตอนแรกก็ดูดี ท่าทางขึงขัง เอาจริงเอาจัง แต่พอผ่านไปสักพัก มันก็เห็นอะไรบางอย่าง ดูแล้วไม่ต่างจากคนที่ถูก“ครอบงำ” จาก “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จนทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง การวางบทบาทจึงขาดๆ เกินๆ และนับวันยิ่ง “บ้อท่า” ลงไปเรื่อยๆ ในระยะยาวถือว่าน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะในสถานการณ์ชายแดนไทย-เขมร ในฐานะผู้นำกองทัพบก ทำให้ “น้องๆ” ผิดหวังไม่น้อย นอกจากนี้ ยังมีสถานการณ์ชายแดนใต้ ก็ยัง “ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน” ทำให้เริ่มถูกจับตามองกันบ้างแล้วว่าจะไปได้ “สักกี่น้ำ” !

ผู้ช่วยรัฐมนตรี ที่มา: เดลินิวส์

ผู้ช่วยรัฐมนตรี


เมื่อแรกเริ่มที่จะมีตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยนั้น เกิดจากรัฐมนตรีหลายคนปรารภว่าการที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ลดจำนวนรัฐมนตรีทั้งคณะจาก 49 คน เหลือ 36 คน ทำให้ไม่พอแก่การทำงาน บางกระทรวงงานล้นมือ รัฐมนตรีต้องเดินทางไปเจรจาความเมืองต่างประเทศบ่อย ม็อบก็มากันจริง นายกฯ ยังจะขยันเรียกประชุมหัวไม่ได้วาง หางไม่ได้เว้น รัฐมนตรีช่วยก็ไม่มี เพราะโควตาครบ 36 คนเสียแล้ว

ต่อมาเสียงบ่นเป็นว่าเวลาเราไปเมืองนอกเขาก็จัดให้แค่ผู้ช่วยรัฐมนตรีมาต้อนรับ ของเราเวลาผู้ช่วยรัฐมนตรีเขามา รัฐมนตรีช่วยว่าการเขามา ต้องเดือดร้อนถึงรัฐมนตรีทุกทีไป ไหนจะต้อนรับ ไหนจะนั่งโต๊ะเจรจา ไหนจะพาไปเลี้ยง มันเป็นภาระไปโหม้ด!

ว่าแล้วก็มีการทวงถามขึ้นกลาง ครม. ว่าทำไมเราจึงไม่มีผู้ช่วยรัฐมนตรีบ้าง นายกฯ ทักษิณชี้มาที่ผมว่าให้ไปดูว่าทำอย่างไรถึงจะมีได้

ผมปรึกษากับผู้รู้หลายคนเห็นว่าตามระบบและโดยกฎหมายของเราไม่อาจทำได้ แต่ที่จะพออนุโลมใกล้เคียงโดยมีกฎหมายรองรับที่สุดก็คือการให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินตั้งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิทำนองเดียวกับที่ปรึกษาหรือคณะกรรมการต่าง ๆ แต่ให้เรียกว่ากรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี

เมื่อเป็นกรรมการก็ต้องมีการประชุมกันในรูปของคณะกรรมการ แต่ยามใดไม่มีการประชุม นายกฯ อาจมอบหมายให้กรรมการแต่ละคนไปช่วยงานกระทรวงต่าง ๆ ได้

ผมเป็นคนยกร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีซึ่งใช้มาจนบัดนี้ร่วม 5 รัฐบาลแล้ว สาระสำคัญคือกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีต้องไม่ตั้งจากข้าราชการประจำ และไม่ตั้งจาก ส.ส. ส.ว. เพราะเจตนาให้มาช่วยงานจริง ๆ ไม่ใช่มาเป็นไม้ประดับหรือเป็นเกียรติยศ และไม่ได้ต้องการให้เป็นที่ปรึกษาเพราะมีอยู่ต่างหากแล้ว

งานจริง ๆ ของกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีคือให้ช่วยรับแขก ให้ช่วยรับปัญหาร้องทุกข์ ไปบรรยายหรือเปิดงานปิดงานแทนรัฐมนตรี ช่วยเจรจาเบื้องต้นที่ไม่ผูกมัด กระทรวง รัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรี เวลาตั้งไม่ต้องโปรดเกล้าฯ และเข้าประชุมสภาหรือ ครม.ไม่ได้ รัฐมนตรีตัวจริงจะได้เอาเวลาไปทำเรื่องที่เป็นชิ้นเป็นอันกว่าการยืนเกาะโพเดียม ตัดริบบิ้น หรือเก๊กท่าถ่ายรูปหมู่ ในระเบียบที่ว่านั้นเขียนไว้ด้วยว่าห้ามผู้ช่วยรัฐมนตรีแทรกแซงราชการประจำ ห้ามก้าวก่ายการบริหารราชการแผ่นดินและนโยบาย และห้ามเรียกข้าราชการประจำมาสั่งงาน

ส่วนค่าตอบแทนให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ซึ่งผมไม่นึกเลยว่ากระทรวงการคลังเกิดจะมือเติบให้ค่าตอบแทนกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีเดือนละหลายหมื่นบาทต่อคน

ผมเคยส่งเรื่องไปขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้อำนาจตามกฎหมายกำหนดให้ตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินเสียด้วย แต่ท่านตอบมาว่ายังไม่จำเป็น!

คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยตีความแล้วว่าแม้ผู้ช่วยรัฐมนตรีจะไม่ใช่ข้าราชการการเมือง แต่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ผู้ช่วยรัฐมนตรีจึงเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจไม่ได้

จากวันนั้นถึงวันนี้การตั้งผู้ช่วยรัฐมนตรีดูจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว และแบ่งโควตากันตามพรรคร่วมรัฐบาลเสียด้วย ผู้ช่วยรัฐมนตรีบางคนบางสมัยทำตัวเป็นรัฐมนโททั้งที่ลำดับอาวุโสต่ำกว่ารัฐมนตรีช่วยหรือปลัดกระทรวง เช่น ทำบัญชีโยกย้ายในกระทรวงและรัฐวิสาหกิจ เรียกข้าราชการมาพินอบพิเทา ให้สัมภาษณ์รายวัน บางคนก้าวลงไปถึงเรื่องนโยบาย ที่สำคัญคือไม่เคยประชุมประเมินผลงานร่วมกันทั้งที่ตำแหน่งจริง ๆ คือคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี แต่ผู้ช่วยรัฐมนตรีบางคนก็มือถึงจริง ๆ จนน่าจะตั้งให้เป็นรัฐมนตรีตัวจริงเสียเลยแล้วเอารัฐมนตรีลงมาเป็นผู้ช่วยคอยเปิดงานปิดงานแจกถ้วยรางวัล

ไหน ๆ จะยอมให้มีแล้ว ใครก็ได้ช่วยทำกฎหมายว่าด้วยผู้ช่วยรัฐมนตรีทีเถอะครับ กำหนดคุณสมบัติ ค่าตอบแทนและหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินไว้ด้วย รวมทั้งช่วยเขียนหน้าที่ วินัย และโทษสำหรับพวกเข้ามาแสวงหาประโยชน์หรือทำผิดหน้าที่ให้ชัดเจน เรื่องพวกนี้กำหนดไว้ในระเบียบสำนักนายกฯ ไม่ได้ จึงต้องตราเป็นกฎหมาย ถ้าทำไม่ได้ก็ยกเลิกผู้ช่วยรัฐมนตรีเสีย

ไหน ๆ ก็จะปฏิรูปการเมืองกันแล้ว ผมว่าเรื่องนี้น่าทำกว่าสูตรพรรคไหนได้คะแนนปาร์ตี้ ลิสต์มากกว่าก็ให้เป็นคนตั้งรัฐบาลเสียอีก.

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง