บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัวผ่านสายตา ศ. แมนเฟรด คราเมส

เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัวผ่านสายตา ศ. แมนเฟรด คราเมส


ในบรรดาสายตาแห่งความชื่นชมของชาวโลกที่มีต่อพระองค์ สายตาคู่หนึ่งในจำนวนนับล้านนั้นเป็นของศาสตราจารย์แมนเฟรด  คราเมส (Prof. Manfred Krames) ชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งยกย่องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวไทยให้เป็นบรมครูผู้ยิ่งใหญ่

ศาสตราจารย์แมนเฟรด  คราเมส มีความสนใจในปรัชญาแบบตะวันออกและศาสนาพุทธตั้งแต่มีอายุได้ 15 ปี ทั้งที่ได้รับการศึกษาที่ดีและมีอาชีพการงานที่มั่นคงแต่เมื่อมีอายุได้ 19 ปี เขาก็ออกจากบ้าน โดยละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เพื่อเข้าไปพำนักอยู่ในวัดเซน ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 3 ปี ทำให้ไม่เป็นที่พอใจของครอบครัวซึ่งเป็นชาวคริสเตียนอนุรักษ์นิยม และเกือบถึงขั้นถูกตัดขาดออกจากครอบครัว แต่เขาก็ยังคงศึกษาปรัชญาตะวันออกรวมถึงศาสนาพุทธอย่างจริงจังมาจนถึงปัจจุบัน

         เมื่อได้พำนักอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นร่วม 10 ปี เพื่อเรียนภาษาญี่ปุ่นและการบำบัดรักษาแบบจีน ณ กรุงโตเกียว เขาได้กลายเป็นชาวต่างชาติคนแรกเพียงผู้เดียวที่เป็นสมาชิกของสมาคมเพื่อการวิจัยด้านอายุรเวชแห่งญี่ปุ่น (Japan Research Society for Ayurveda) หลังจากนั้นศาสตราจารย์แมนเฟรดได้เดินทางไปพำนักยังประเทศศรีลังกาเป็นเวลา 7 ปี และเปิดคลินิกเพื่อทำการรักษาบำบัดตามแนวทางของอายุรเวช กระทั่งได้เขียนหนังสือเรื่อง “ความจริงเกี่ยวกับวิชาอายุรเวช” ซึ่งได้รับการเผยแพร่ความรู้ทางด้านนี้ไปอย่างกว้างขวาง ทำให้ได้รับการยกย่องเป็น “ศาสตราจารย์กิตติคุณ” จากมหาวิทยาลัยแห่งโคลอมโบ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในประเทศศรีลังกา

         หลังจากเกิดเหตุภัยพิบัติสึนามิได้ไม่นานนักเขาก็อำลาประเทศศรีลังกามาด้วยความหวังว่าจะค้นพบประเทศที่มีสันติสุขและมีชาวพุทธที่เป็นมิตรมากกว่า ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินทางมาพำนักอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย

         ณ ที่แห่งนี้เอง ที่ศาสตราจารย์แมนเฟรดได้รู้จักและเรียนรู้คำสอนทั้งทางตรงและทางอ้อมจากพระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงตนเป็นแบบอย่างอันดีงามของพสกนิกรมาโดยตลอด กระทั่งเขาได้เขียนหนังสือชื่อ “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว : มุมมองของชาวต่างชาติต่อในหลวง” ขึ้นมา ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2549 หลังจากที่เขียนหนังสือเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสด็จยุโรปครั้งที่ 2 ของ “พระพุทธเจ้าหลวง ณ สปาการแพทย์ของเยอรมัน” และหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาชื่อ “Photo Meditation”

         สำหรับใครที่สบโอกาสได้อ่าน “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว : มุมมองของชาวต่างชาติต่อในหลวง” ความรู้สึกที่ตามมาโดยแน่แท้ก็คือ ความชื่นชมและทึ่งในสิ่งที่ชาวต่างชาติคนหนึ่งได้เรียนรู้จากสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเพียรสื่อสารกับพสกนิกรทุกหมู่เหล่ามาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ โดยสิ่งที่ศาสตราจารย์แมนเฟรดได้น้อมนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเขานั้น หาได้เป็นการยกย่องแต่เพียงเพราะพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในสายตาของใครๆ ทว่าเขามีความเข้าใจอันถ่องแท้ไปถึงคุณค่าที่เปล่งประกายออกมาจากภายในของพระองค์ท่าน อย่างที่คนไทยหลายคนอาจจะมิเคยพิจารณาในด้านนี้มาก่อนเลยในชีวิต

         ต่อจากนี้ไปจะเป็นเรื่องราวของชายชาวเยอรมันคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะที่เขาเป็น “ฝรั่ง” หากแต่มองพระองค์ท่านในฐานะของมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง ซึ่งรักและเทิดทูนในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประชาชนชาวไทยคนใดในแผ่นดินนี้เลย

            “ผมรู้สึกเศร้าใจ” เมื่อมีคนตั้งคำถามกับผมว่ารู้สึกอย่างไรเวลาที่ได้ยินคนไทยพูดว่า “เรารักในหลวง” อันหมายความถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผมจะให้คำตอบเช่นนี้ เพราะอะไรน่ะหรือ ลองคิดดูสิว่า ถ้าหากท่านมีลูกที่ไม่เคยเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านเลย ไม่เคยเดินตามแนวทางที่ท่านวางไว้ ไม่เคยต้องการที่จะเรียนรู้จากท่าน สิ่งที่พวกเขาทำนั้นเพียงแค่ก่อปัญหา แล้วก็เรียกร้องให้ท่านยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออยู่เสมอ ในขณะเดียวกันก็พร่ำพูดว่า “ลูกรักพ่อ” ถ้าท่านเป็นพ่อท่านจะรู้สึกอย่างไร

            ผมจึงคิดว่าการดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริและน้อมนำคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้จึงมีความสำคัญมาก เราจะเห็นว่าพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระองค์ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารต่างประเทศนับไม่ถ้วน และหลายต่อหลายครั้งที่พระองค์รวมถึงสมเด็จพระบรมราชินีนาถ โปรดให้นักหนังสือพิมพ์และผู้สื่อข่าวของทั้งต่างประเทศและของไทยเข้าเฝ้าเพื่อสัมภาษณ์

           การบอกเล่าถึงพระราชประวัติของพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงเป็นเพียงการตอกย้ำสิ่งที่ทุกคนโดยเฉพาะคนไทยต่างรู้ดีอยู่แล้ว สิ่งที่เราทั้งหลายควรให้ความสำคัญจึงเป็นสารที่พระองค์ทรงเพียรพยายามจะส่งต่อไปถึงชาวโลก และบทบาทในการสร้างความเข้าใจในระดับนานาชาติรวมไปถึงแนวทางการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาอันงดงามของพระองค์

            อย่างไรก็ดี คำถามมีอยู่ว่าเราในฐานะปัจเจกบุคคลได้ทำอะไรบ้างที่เห็นเป็นรูปธรรมเพื่อทำให้โลกนี้ดีขึ้น โดยยึดแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ

            การสรรเสริญและการแสดงความขอบคุณเป็นคนละเรื่องกัน ผมยังแปลกใจว่า ในเมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระวิริยอุตสาหะที่จะทำให้พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีงาม ผมไม่ทราบว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจและรับรู้ข้อมูลข่าวสารจริงๆ ในสิ่งที่พระองค์ทรงสื่อสารให้ผู้คนได้รับทราบนั้นมากน้อยเพียงใด และจะมีสักกี่คนที่สามารถรวบรวมปัญญา และแนวทางที่พระองค์ทรงพระราชทานให้เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตจริง

            เราไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่าแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นแนวทางที่เกิดขึ้นจากการที่พระองค์ได้ทรงศึกษาจริงและการที่พระองค์ทรงกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการมีพระราชดำรัสต่อพสกนิกรในชาติของพระองค์ หรือบุคคลต่างๆ และแนวทางเพื่อทำให้พสกนิกรเกิดความเข้าใจนั้น พระองค์ทรงกระทำด้วยความอดทนและด้วยทรงเห็นอกเห็นใจในอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่าหากพระองค์มิได้ทรงเป็นกษัตริย์ในช่วงพระชนม์ชีพนี้ พระองค์จะต้องทรงเป็นบรมครูที่มีชื่อเสียงอย่างแน่นอน

            ท่านทราบหรือไม่ว่า ความปรารถนาสูงสุดของครูคืออะไร

            ผมตอบได้ว่า คือการที่เห็นศิษย์เป็นจำนวนมากเต็มใจศึกษาเล่าเรียนและเห็นคุณค่าคำสอนของครู ไม่มีอะไรอื่นอีกที่จะทำให้ครูมีความสุขมากไปกว่าสิ่งที่กล่าวแล้วนั้น ดังนั้น ผมจึงมีความรู้สึกว่าเราควรที่จะเน้นบทบาทของพระองค์เพื่อให้ทรงเป็นครูของเรา แต่โปรดตระหนักไว้เสมอว่า อย่าศึกษาเล่าเรียนเพื่อเอาใจครู แต่จงศึกษาเล่าเรียนเพื่อประโยชน์และความดีงามให้เกิดแก่ตัวท่านเอง การศึกษาเล่าเรียนและรู้จักปรับปรุงตนเองเท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องไปคิดเรื่องไม่เป็นสาระอื่นๆ

            ผมคิดว่า เป็นการไม่รับผิดชอบที่จะนั่งๆ นอนๆ ใช้ชีวิตอย่างสบาย และให้คนๆเดียวทำงานอย่างหนักเพื่อดูแลและแก้ปัญหาของชาติ ท่าทีเช่นนี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงความไม่เคารพต่อพระองค์ ซึ่งแย่ยิ่งกว่าการพูดถึงพระองค์ในทางไม่ดีในสาธารณะ

            ประเทศหลายแห่งในโลกจะดีใจมากที่มีพระมหากษัตริย์เช่นนี้ แต่ท่านเองเป็นคนไทย มีพระองค์เป็นกษัตริย์แต่ไม่ได้นำประโยชน์จากพระองค์มาใช้ในชีวิตเลย ผมคิดว่าน่าละอาย ถ้าหากว่าเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปสู่วาระใหม่และมีกระแสลมแรงมาจากทิศทางอื่น ประเทศหลายแห่งในโลกจะชี้มายังประเทศไทยและดูแคลนว่า… “ดูสิ พวกเขามีครูผู้ยิ่งใหญ่ แต่ได้เรียนรู้จากพระองค์น้อยมาก”

ผมรู้สึกสงสารพระองค์อย่างสุดซึ้ง เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นเพียงบุคคลเพียงคนเดียวที่พยายามจะพัฒนาประเทศชาติ ในขณะที่คนอื่นๆ ในชาติได้แต่เฝ้ารอให้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นโดยที่มิได้ดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ ซึ่งผมคิดว่าการพัฒนาประเทศในรูปแบบนี้ไม่น่าจะนำพาไปสู่ความสำเร็จได้

            ผมมีโอกาสได้อ่านบทความมากมายในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยท่านหนึ่ง ผู้ที่นำพาประเทศไทยเข้าสู่สนามแห่งธุรกิจ เราพบเห็นนักการเมืองส่วนมากในเอเชียที่หลังจากครองอำนาจและได้ผลประโยชน์แล้วก็ไม่ช่วยเหลืออะไรประชาชนเลย นั่นทำให้ผมรู้สึกสงสารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะคำสอนของพระองค์ตรงข้ามกับสิ่งที่นักการเมืองเหล่านั้นกำลังเป็นอยู่ พวกเขาจึงทำให้พระองค์ทรงทุกข์ใจ โดยเสแสร้งว่าซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงการสร้างภาพไม่ใช่ความจริง พวกเขาเพียงแค่ต้องการจะใช้ภาพแห่งความจงรักภักดีนี้เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนเทคะแนนให้ในการเลือกตั้ง และขึ้นสู่อำนาจในเวลาต่อมาเท่านั้น

ประชาชนคนไทยมุ่งหวังว่านักการเมืองจะอุทิศตนเพื่อประเทศชาติเฉกเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแต่พวกเขาทั้งหลายก็ทำให้คนไทยทั้งชาติผิดหวัง พวกเขาไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้ เพราะนักการเมืองไทยได้รับอิทธิพลของแนวคิดแบบตะวันตก และมีหัวใจที่ถูกครอบงำไว้ด้วยธุรกิจ สำหรับผม ในหัวใจของพวกเขาจึงไม่ได้มีความเป็นไทยอีกต่อไปแล้ว

            นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมคนธรรมดาสามัญชนทั้งหลายจึงรู้สึกรับไม่ได้กับการคอร์รัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวง และนักโกหกที่ทำลายประเทศลงด้วยมือของพวกเขาเอง  อย่างไรก็ตามตราบใดที่ไม่มีใครสอนให้นักการเมืองดำเนินรอยตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวความหวังของคนไทยทั้งปวงย่อมจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

            ก่อนที่จะตัดสินใจมาพำนักอยู่ในประเทศไทย ในความคิดของผม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงเป็นที่รู้จักมากนักในต่างประเทศ ชาวต่างชาติรู้แค่เพียงว่าประเทศไทยก็เป็นเพียงประเทศหนึ่งเท่านั้น หลังจากที่ผมย้ายมาพำนักอยู่ในประเทศไทยแล้ว ผมพบว่าประชาชนคนไทยเองก็ไม่ได้สอนอะไรผมมากนักเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกคนเพียงแค่พยายามจะเทิดทูนและยกย่องพระองค์ มีคนไทยเพียงแค่บางคนเท่านั้นที่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการจะสื่อสารและดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์

            หนังสือเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเล่มแรกที่ผมอ่านคือ In his majesty’s footsteps หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นถึงด้านที่เป็นเพียงปุถุชนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงความพยายามของพระองค์ด้วย ผมไม่เคยขอให้ใครอ่านหนังสือเกี่ยวกับพระองค์ที่เป็นภาษาไทยให้ผมฟังเลย เพราะเพื่อนคนไทยของผมบอกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของหนังสือพวกนั้น ล้วนแล้วแต่มีเนื้อหา รูปภาพ และเรื่องราวที่ไม่แตกต่างกัน นั่นจึงไม่ใช่แหล่งข้อมูลที่ผมต้องการ           

            กระทั่งวันหนึ่ง ผมเงยหน้าขึ้นมองพระบรมฉายาลักษณ์ขนาดใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวชั่วขณะหนึ่ง โดยมองตรงเข้าไปในพระเนตรของพระองค์ แล้วทันใดนั้นพระองค์ก็ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนหนังสือ “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว” ขึ้นมา พระองค์ทรงรับสั่งให้ผมเขียนหนังสือเกี่ยวกับพระองค์ท่านขึ้นมาเล่มหนึ่ง การรับสั่งครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในทางรูปกาย หากแต่ผมรับรู้พระประสงค์ของพระองค์ได้ทางจิต เรื่องนี้อาจจะฟังดูเหมือนผมฟั่นเฟือนไปเสียแล้วแต่ทว่าเป็นเรื่องจริง

            สำหรับขั้นตอนในการผลิตหนังสือเล่มนี้ ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครสนับสนุนการทำงานของผมเท่าใดนัก เพราะพวกเขาคิดว่า “ฝรั่ง” ไม่มีทางที่จะเข้าใจในพระมหากษัตริย์ของชาวไทยได้ ไม่มีใครเลยที่กล้าเสี่ยงในการตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ดังนั้น ผมจึงดำเนินการทางการเงินทั้งหมดด้วยตัวผมเอง กระทั่งทุกวันนี้ที่หนังสือได้รับการตีพิมพ์ถึง 3 ครั้งแล้ว ผมก็ไม่ได้หากำไรหรือผลประโยชน์ใดๆ จากหนังสือเล่มนี้ เห็นได้จากราคาขายเพียงเล่มละ 99 บาทเท่านั้น

           ผมไม่ได้ตีพิมพ์หนังสือของผมในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษทั้งที่มีคนไทยจำนวนมากขอให้ผมทำเช่นนั้น

           อันดับแรกชาวไทยควรจะต้องเข้าใจคุณค่าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างถ่องแท้ และผสมผสานแนวทางแห่งพระพุทธศาสนาของพระองค์ลงไปในการดำเนินชีวิตประจำวัน  สิ่งเหล่านี้ควรจะได้รับการสอนในโรงเรียนทุกแห่ง หากเป็นเช่นนั้นได้ชาวต่างชาติและประเทศอื่นๆ ในโลกก็จะปฎิบัติตามแนวทางนี้โดยอัตโนมัติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือ ผมได้เสนอที่จะบรรยายโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นให้กับมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆ ในประเทศ ในหัวข้อ “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว” แต่คนไทยไม่เต็มใจหรือขี้อายเกินกว่าที่จะเชิญผมไปบรรยายพวกเขาไม่เข้าใจด้วยว่าฝรั่งจะรู้เรื่องราวทุกอย่างของพระมหากษัตริย์ของคนไทยได้อย่างไรกัน

           ผมเคยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทยที่กรุงเทพมหานคร ในจดหมายฉบับนั้นบอกเล่าถึงแนวทางการดำเนินชีวิตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และอีกมากมายหลายเรื่อง รวมไปถึงการขอเข้าพบเพื่ออธิบายถึงสิ่งที่ผมได้เรียนรู้และแนวทางการแก้ปัญหา แต่พวกเขาไม่แม้แต่จะตอบกลับมาว่าได้รับจดหมายแล้ว ดังนั้นผมจึงยอมแพ้

           นี่คือผลลัพท์ของค่านิยมตะวันตกและการบริโภคนิยมซึ่งถูกกระตุ้นโดยนักการเมืองไทย


           กล่าวถึงความรู้สึกต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวต่างชาติที่อยู่รอบตัวผม สำหรับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน พวกเขาจะชื่นชมในพระปรีชาสามารถของพระองค์อย่างมาก โดยพื้นฐานแล้วชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในประเทศไทยมีทัศนคติในด้านบวกกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพียงแต่เราไม่ได้เทิดทูนในลักษณะเดียวกับที่คนไทยเป็นอยู่        

           ในโลกนี้มีราชวงศ์มากกว่า 35 ราชวงศ์ แน่นอนว่าเราไม่สามารถโฟกัสไปที่ราชวงศ์ทั้งหมดอย่างทั่วถึงได้ที่สำคัญคือราชวงศ์ส่วนใหญ่มีหน้าที่เพียงแสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของราชวงศ์เท่านั้น แต่อะไรล่ะที่เราจะสามารถเรียนรู้จากบุคคลในราชวงศ์และกษัตริย์แต่ละพระองค์ ได้คำตอบคือไม่มีเลย เพราะพวกเขาไม่ได้ดำรงตนเป็นครูให้กับประชากรของตนเอง อย่างเช่นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น

           เรื่องที่น่าสลดใจก็คือ คนไทยทั้งหลายไม่ตระหนักและยอมรับในสิ่งนี้ ทุกคนภาคภูมิใจในการมีพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดอันเป็นรากฐานของสังคม เศรษฐกิจและการเมือง การเป็นแรงบันดาลใจ ความเป็นตัวอย่างที่ดีและวิถีแห่งการดำเนินชีวิตของพระองค์ ไม่ได้ถูกรับเอามาใช้ในการทางปฏิบัติอย่างเต็มบ่า

           ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเป็นบุคคลที่มีแนวพระราชดำริและกระทำการใดๆโดยใช้หัวใจทั้งสิ้น พระองค์ทรงเข้าใจดีถึงคุณค่าของความรักและความซื่อสัตย์เพราะฉะนั้นคนไทยส่วนใหญ่จึงรู้สึกเชื่อมโยงได้ถึงพระองค์

          อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นสากล เฉกเช่นเดียวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า คนทั่วโลกจึงสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากพระองค์ไปปรับใช้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการศึกษามาจากต่างประเทศ (สวิตเซอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกา) พระองค์ทรงตระหนักว่าการศึกษาแบบตะวันตกนั้นเป็นสิ่งสำคัญแต่ทว่าไม่ใช่ทุกอย่าง พระองค์ทรงสามารถถ่ายทอดแก่ชาวตะวันตกรวมถึงคนไทยถึงเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงและการศึกษาอันชาญฉลาด แต่ความรู้ทั้งหมดทั้งมวลในโลกนี้ย่อมไม่มีประโยชน์อันใดเลยถ้าหากปราศจากการเชื่อมโยงถึงความรู้สึกลึกซึ้งข้างในจิตใจ

         จึงกล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงเป็นทั้งสัญลักษณ์ของความชาญฉลาดแบบตะวันตกและภูมิพลังปัญญาของชาวตะวันตกออกในบุคคลคนเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สมบูรณ์พร้อมอย่างมาก

           ผมเคยได้ยินเป็นประจำที่ชาวต่างชาติหรือเพื่อนผู้หญิงที่เป็นคนไทยพูดว่า “เงินเดือนน้อยที่ทำมาจากชาติตะวันตกสามารถทำให้คนนั้นใช้ชีวิตในประเทศไทยได้อย่างกับพระราชา” ในส่วนอื่นๆ ของโลก “การมีชีวิตอย่างพระราชา” เป็นนัยยะของการอธิบายว่า นั่นคือความสะดวกสบาย การใช้ชีวิตที่สนุกสนาน หรืออาศัยในดินแดนวิมานฉิมพลีอะไรทำนองนั้น

           ด้วยข้อเท็จจริงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงใช้ชีวิตเช่นนั้นก็ย่อมทำได้หากพระองค์จะทรงมีพระราชประสงค์เช่นนั้น เพราะพระองค์ทรงราชสิทธิ์ที่จะสามารถทำได้  แต่พระองค์มิเคยทรงมีพระราชประสงค์เช่นนั้น หากแต่ทรงอุทิศเวลาทั้งหมดตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์โดยมีเป้าหมายอันสูงสุดในการทรงงานหนักเพื่อผู้อื่น เพื่อประชาชนของพระองค์

           ในประเทศศรีลังกาซึ่งผมเคยพำนักอยู่  มีสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า “ถ้าท่านไม่สามารถเป็นพระราชาได้ จงเป็นหมอ”  ชาวตะวันตกส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความหมายของสุภาษิตบทนี้ พวกเขาจะพูดจนติดตลกว่า “ผมเข้าใจแล้ว หากคุณไม่สามารถซึ้อรถโรลส์รอยซ์ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้เป็นรถเบนซ์ และถ้าคุณไม่สามารถมีพระราชวังที่พำนักได้ ก็ขอให้มีคฤหาสน์หลังใหญ่รอบล้อมด้วยนางพยาบาลแสนสวย”

           เมื่อเห็นกษัตริย์หรือราชาธิบดีของประเทศตะวันตกบางพระองค์ว่าทรงมีความเป็นอยู่เช่นไร ผมจึงไม่อาจตำหนิชาวตะวันตกที่เข้าใจผิดในเรื่องนี้ได้

           คนเอเชียเข้าใจสุภาษิตบทนี้ได้ดีกว่าชาวตะวันตก ซึ่งหมายความว่า หากท่านไม่สามารถรักษาดูแลประเทศชาติทั้งหมดได้อย่างเต็มที่เหมือนอย่างพระราชา แต่ท่านอาจสามารถดูแลรักษาคนไข้จำนวนมากได้ในฐานะที่เป็นแพทย์  สุภาษิตที่เรียบง่ายบทนี้ยังมีความหมายที่แสดงให้เห็นถึงข้อแตกต่างเกี่ยวกับกษัตริย์ของประเทศในโลกตะวันตกและตะวันออกอีกด้วย

          ผมขอย้ำเตือนอีกครั้งว่า จงอย่าตำหนิอิทธิพลของต่างประเทศหรือโลกตะวันตก แต่จงดูและเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และในทำนองเดียวกัน ก็ศึกษาให้เข้าใจในคุณค่าของมรดกทางความคิดและความเชื่อซึ่งพระองค์ท่านทรงมีอย่างอุดมสมบูรณ์ รวมไปถึง แนวทางการทำงานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรากตรำพระวรกายและทรงงานหนักมิใช่เพียงเพื่อทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ที่ประเสริฐ  แต่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเป็นตัวอย่างฉันผู้นำทาง และเป็นครูของเรา  ผมไม่สามารถเน้นถึงสิ่งต่างๆ ได้ทั่วถึงอย่างที่เราสามารถหรือควรจะเรียนรู้ได้จากพระองค์ท่านซึ่งมีมากมายมหาศาล

          เมื่อก่อนนี้ผมมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแขวนไว้ในบ้าน รวมถึงพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ด้วย แต่นั่นเป็นเพียงเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนของผม ทุกคนควรจะตระหนักว่าหนทางเดียวที่จะแสดงความเคารพต่อครูก็คือเรียนรู้จากพระองค์เพื่อที่จะนำความรู้นั้นไปช่วยเหลือคนอื่น  ไม่ใช่เพียงแค่แขวนพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ไว้ในบ้าน

           มีหลายครั้งที่ผมได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในความฝัน พระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผมในเรื่องตลก ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับผม แต่ถ้าหากมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระองค์จริงๆ ผมจะกราบทูลต่อพระองค์ว่า ขอขอบพระทัยพระองค์เป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกสิ่งที่ทรงกระทำ

           หากถามว่าคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่องใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตผมได้มากที่สุด ผมคงจะตอบว่าไม่มีใครที่จะสามารถเปลี่ยนใครได้  นอกเสียจากตัวของเขาเอง  ผมเชื่อด้วยว่า อำนาจล่อใจของอิทธิพลทางการเมืองและวัตถุนิยมกำลังเข้มแข็งมากเกินไปในสังคมไทย คำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงกำลังสูญหายไปตลอดกาล หากยังไม่มีใครตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญแห่งคำสอนนั้น

          หากทุกคนช่วยกันเก็บรักษาเจตนารมณ์อันแรงกล้า และคำสอนของพระองค์เอาไว้ให้อยู่สืบต่อไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน ผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่า  พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของทุกคนพระองค์นี้จะอยู่ในหัวใจของคนไทยตลอดกาล

คนไทยจงอย่าใจแคบกับสถาบันกษัตริย์ โดย เฉลิมชัย ยอดมาลัย

คนไทยจงอย่าใจแคบกับสถาบันกษัตริย์ (เขียนให้คิด) 
 นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองในพระราชอาณาจักรไทยเมื่อ พ.ศ. 2475 ประเทศไทยเริ่มก้าวเข้าสู่ฉากที่ 1 ของระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ระบอบปกครองที่คนไทยกลุ่มหนึ่งวาดหวังแทนคนไทยทั้งแผ่นดินว่า ทุกคนจะมีเสรีภาพเท่าเทียมกัน คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองบังอาจขอแบ่งเบาพระราชกิจ ด้วยการแย่งพระราชอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ซึ่งพระองค์ก็พระราชทานให้ เพราะไม่ทรงต้องการเห็นคนไทยฆ่าฟันกันเอง แม้หลายฝ่ายจะกราบบังคมทูลคัดค้านว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมจะก้าวเดินไปบนระบอบประชาธิปไตย

คนไทยขี้ลืมจริงหรือ
 ด้วยพระราชอำนาจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงสละให้พสกนิกรไทยโดยผ่านกลุ่มคนในนามคณะราษฎร์ เป็นผลให้ก่อกำเนิดกลุ่มเผ่าพันธุ์ล้างผลาญประเทศชาติและพระราชอาณาจักรไทย ซึ่งได้รับการขนานนามอย่างไพเราะเกินจริงว่า "นักการเมือง" เผ่าพันธุ์ที่ไม่เคยคิดถึงประโยชน์ของมหาชนชาวสยามมากไปกว่าผลประโยชน์ส่วนตน

 ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมประเทศของเรานับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมาจึงตกต่ำลงเป็นลำดับ เริ่มจากด้านศีลธรรม วัฒนธรรม และท้ายที่สุดก็คือเศรษฐกิจ คนไทยคงลืมไปแล้วว่า ในยุคสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นยุคที่ผู้นำประเทศ คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดธรรมะในการปกครอง ซึ่งถือเป็นกำแพงป้องกันภัยให้ประชาชน แม้พสกนิกรของพระองค์จะต้องลำบากในเชิงเศรษฐกิจบ้าง พระองค์ก็จะทรงยืนเคียงข้างพสกนิกรตลอดเวลา และไม่เคยทรงแสวงหาประโยชน์ส่วนพระองค์บนความลำบากยากแค้นของชาวไทย สิ่งเหล่านี้คนไทยสัมผัสได้จากพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ รวมถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงแสดงให้ประจักษ์ผ่านโครงการพระราชดำริมากมายนานัปการ

 อีกทั้งยังทรงปฏิบัติพระองค์ให้เป็นแบบอย่าง รวมถึงยังได้พระราชทานพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทอันเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ดีงามแก่คนไทยทั้งแผ่นดิน พระมหากรุณาธิคุณเหล่านี้เปรียบเสมือนเฝือกเหล็กกล้าที่ช่วยดามร่างกายของประเทศไทยไม่ให้แตกสลายไป แม้ในภาวะที่เกิดเหตุพิกลพิการทั้งด้านศีลธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ ทั้งหมดนี้คือ น้ำพระราชหฤทัยที่กว้างขวาง และเต็มเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา

 นอกจากนี้ยังทรงดำรงพระองค์อยู่ในธรรมะขั้นสูง จึงทรงเป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรให้มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรคทั้งปวงจนลุล่วงไปได้ ธรรมะที่พระองค์ตรัสสอนคือของจริงและทำได้จริง ต่างกับคำพูดของนักการเมืองที่ดีแต่พล่าม แต่ตัวเองไม่สามารถทำได้ คนไทยลืมเรื่องเช่นนี้ไปแล้วหรือไร

 วันนี้เราทำความดีอะไรให้ประเทศไทยบ้าง
 พวกเราเคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า วันนี้นอกจากกิน นอน ทำงานสารพัดชนิดทั้งถูกและผิดศีลธรรม สุ่มเสี่ยงต่อการผิดศีล สนุกสนานกับชีวิตไปวัน ๆ แต่จะมีสักกี่คนที่คิดว่า แล้วเราให้อะไรกับประเทศของเราบ้าง หากยังไม่เคย หรือคิดว่าทำแล้ว โปรดตอบตัวเองซิว่า พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่ง ประหนึ่งพ่อสอนลูกให้ทำดี เราชาวไทยได้ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดหรือไม่

คงไม่ต้องถามกลุ่มคนในรัฐสภาจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเกียรติยศ ลาภ สรรเสริญ และผลประโยชน์ส่วนตน โดยลืมไปหรือตั้งใจลืมว่า สิ่งที่พวกตนทำล้วนขัดกับศีลธรรมขั้นต่ำ (กฎหมาย) และพระราชปณิธานตามพระบรมราโชวาท ดังนั้น หากเราคนไทยอยากเป็นคนดี และดีให้สุดตามพระราชปณิธานแล้ว พวกเราควรยึดมั่นพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสที่ตรัสสอนพวกเราเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือการแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงมีน้ำพระราชหฤทัยบริสุทธิ์และกว้างใหญ่ไพศาล ทรงมีบุญคุณกับคนไทยมากกว่าที่พวกเราชาวไทยจะประเมินค่าได้ หากเราเป็นคนที่ไม่ลืมบุญคุณผู้มีพระคุณ

 ร่วมกันแสดงน้ำใจกับสถาบันกษัตริย์บ้างได้ไหม
 ปัจจุบันมีคนไทยกลุ่มหนึ่งอ้างว่าคิดใหม่ทำใหม่ แต่อาจคิดผิดทำผิดเสียยิ่งกว่า อีกทั้งยังมีนักวิชาการที่อาจจะมากด้วยสมอง แต่ด้อยและต่ำในด้านจริยธรรม ไปรวมตัวกับคนกลุ่มหนึ่งเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายอาญาว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งมีหลักว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี" พวกเขาเหล่านั้นเรียกร้องหาความเท่าเทียมกันระหว่างมนุษย์โดยวางหลักความคิดว่า "เจ้าก็เป็นคนเหมือนกัน ทำไมจะถูกพูดพาดพิงหมิ่นประมาทไม่ได้ และหากถูกหมิ่นประมาท ทำไมไม่ไปแจ้งความร้องทุกข์เอาเอง"

 แท้ที่จริง กฎหมายอาญามุ่งคุ้มครองสิทธิประชาชนชาวไทยทุกคนอยู่แล้ว โดยประมวลกฎหมายอาญาได้วางหลักไว้ว่า ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม (หมิ่นประมาท) โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือ ถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี (มาตรา 326) และผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน (มาตรา 393) ซึ่งความแตกต่างระหว่างการหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นบุคคลทั่วไป กับ การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็มีหลักสำคัญดังนี้

(1) สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นความมั่นคงของชาติ หากถูกทำลายให้เสียหายและขาดความน่าเชื่อถือจะทำให้ประเทศชาติไม่มั่นคง ดังนั้น โทษจำคุกจึงสูง (3 - 15 ปี)

(2) สถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงเสียสละในการประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อส่วนรวมโดยไม่ได้คำนึงประโยชน์ส่วนพระองค์แม้แต่น้อย และประพฤติพระองค์เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่พสกนิกรชาวไทย การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพน่าจะเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน (เป็นผลกระทบต่อสาธารณะ ซึ่งผู้เสียหายได้แก่พสกนิกรชาวไทยทั้งมวล) จึงไม่ควรต้องให้พระองค์เสด็จฯไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจด้วยพระองค์เอง แต่บุคคลใดที่พบเห็นการกระทำความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสามารถแจ้งความกล่าวโทษผู้กระทำความผิดฐานนี้ได้ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2 (8)

ดังนั้น หากเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว ไม่น่าจะคิดไปในทางอื่นได้นอกเสียจากว่า ผู้เรียกร้องเหล่านั้น ต้องการให้สถาบันดำเนินคดีพวกเขาด้วยพระองค์เองโดยใช้มาตรา 326 และ มาตรา 393 ดังที่กล่าวข้างต้น กล่าวคือ สถาบันต้องลงมาแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจในฐานะผู้เสียหายด้วยพระองค์เอง ซึ่งข้อเรียกร้องของพวกเขาต้องอาศัยหลักความคิดที่ว่า การหมิ่นสถาบันไม่ได้เป็นการกระทบกระเทือนสาธารณะ ซึ่งหมายถึงว่า หากสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศและทั่วโลกถูกหมิ่นประมาทมากกว่า 1 รายขึ้นไป พระองค์ท่านก็ไม่ต้องมีเวลาปฏิบัติพระราชกรณียกิจ แต่ต้องลงไปเตรียมพระองค์ในการเบิกความเป็นพยานในศาลในฐานะผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

การหมิ่นประมาทบุคคลสาธารณะทั่วไป อาทิเช่น นักการเมืองคนหนึ่งๆ ก็ยังพอทำเนาที่จะใช้หลักตามประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยหมิ่นประมาทและดูหมิ่นทั่วๆ ไป เพราะนักการเมืองนั้นแม้อาจจะมีใจกว้างต่อคนไทยบ้างก็คงไม่ได้เท่าเศษธุลีฉลองพระบาทของพระมหากษัตริย์ แต่กับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงให้แต่สิ่งดีและประเสริฐกับพสกนิกรตลอดมา อีกทั้งทรงมีน้ำพระราชหฤทัยที่กว้างใหญ่ไพศาลต่อคนไทย แต่ก็ไม่วายที่จะต้องทรงประสบกับข่าวลือและคำว่าร้ายต่าง ๆ นานา อาทิ "คนในบอกว่า..." หรือ "เขาว่ากันว่า..." หรือแม้แต่ "เขาลือกันว่า..." ทั้ง ๆ ที่ไม่สามารถหาต้นตอข่าวลือได้

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คนไทยยังจะยอมให้พระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเป็นที่รักของเราทุกคนถูกว่าร้ายใส่ความต่อไปอีกหรือ ลำพังแค่คนไทยไม่ช่วยปกป้องพระองค์ท่านให้ดีเท่าที่ควร มันก็เป็นการอกตัญญูมากพออยู่แล้ว แต่นี่ยังจะขอยกเลิกกฎหมายที่ถวายความคุ้มครองต่อพระองค์ เพื่อให้พระองค์ทรงสามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้อย่างราบรื่น ไม่ต้องทรงตรากตรำไปฟ้องคดี ไปเบิกความที่ศาลให้เสียเวลา อันเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ผู้เขียนขอถามตรงๆ ว่า พวกเราใจแคบกับสถาบันกษัตริย์มากเกินไปหรือเปล่า


(ขอบคุณ คุณกัมปนาท ศีลสร ผู้กระตุ้นเตือนความคิดคนไทยให้มีน้ำใจกับสถาบันพระมหากษัตริย์)

เฉลิมชัย ยอดมาลัย

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง