บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

คนไทยจงอย่าใจแคบกับสถาบันกษัตริย์ โดย เฉลิมชัย ยอดมาลัย

คนไทยจงอย่าใจแคบกับสถาบันกษัตริย์ (เขียนให้คิด) 
 นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองในพระราชอาณาจักรไทยเมื่อ พ.ศ. 2475 ประเทศไทยเริ่มก้าวเข้าสู่ฉากที่ 1 ของระบอบประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ระบอบปกครองที่คนไทยกลุ่มหนึ่งวาดหวังแทนคนไทยทั้งแผ่นดินว่า ทุกคนจะมีเสรีภาพเท่าเทียมกัน คณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองบังอาจขอแบ่งเบาพระราชกิจ ด้วยการแย่งพระราชอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ซึ่งพระองค์ก็พระราชทานให้ เพราะไม่ทรงต้องการเห็นคนไทยฆ่าฟันกันเอง แม้หลายฝ่ายจะกราบบังคมทูลคัดค้านว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมจะก้าวเดินไปบนระบอบประชาธิปไตย

คนไทยขี้ลืมจริงหรือ
 ด้วยพระราชอำนาจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงสละให้พสกนิกรไทยโดยผ่านกลุ่มคนในนามคณะราษฎร์ เป็นผลให้ก่อกำเนิดกลุ่มเผ่าพันธุ์ล้างผลาญประเทศชาติและพระราชอาณาจักรไทย ซึ่งได้รับการขนานนามอย่างไพเราะเกินจริงว่า "นักการเมือง" เผ่าพันธุ์ที่ไม่เคยคิดถึงประโยชน์ของมหาชนชาวสยามมากไปกว่าผลประโยชน์ส่วนตน

 ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมประเทศของเรานับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นต้นมาจึงตกต่ำลงเป็นลำดับ เริ่มจากด้านศีลธรรม วัฒนธรรม และท้ายที่สุดก็คือเศรษฐกิจ คนไทยคงลืมไปแล้วว่า ในยุคสมัยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นยุคที่ผู้นำประเทศ คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดธรรมะในการปกครอง ซึ่งถือเป็นกำแพงป้องกันภัยให้ประชาชน แม้พสกนิกรของพระองค์จะต้องลำบากในเชิงเศรษฐกิจบ้าง พระองค์ก็จะทรงยืนเคียงข้างพสกนิกรตลอดเวลา และไม่เคยทรงแสวงหาประโยชน์ส่วนพระองค์บนความลำบากยากแค้นของชาวไทย สิ่งเหล่านี้คนไทยสัมผัสได้จากพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ รวมถึงพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงแสดงให้ประจักษ์ผ่านโครงการพระราชดำริมากมายนานัปการ

 อีกทั้งยังทรงปฏิบัติพระองค์ให้เป็นแบบอย่าง รวมถึงยังได้พระราชทานพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทอันเป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ดีงามแก่คนไทยทั้งแผ่นดิน พระมหากรุณาธิคุณเหล่านี้เปรียบเสมือนเฝือกเหล็กกล้าที่ช่วยดามร่างกายของประเทศไทยไม่ให้แตกสลายไป แม้ในภาวะที่เกิดเหตุพิกลพิการทั้งด้านศีลธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ ทั้งหมดนี้คือ น้ำพระราชหฤทัยที่กว้างขวาง และเต็มเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา

 นอกจากนี้ยังทรงดำรงพระองค์อยู่ในธรรมะขั้นสูง จึงทรงเป็นมิ่งขวัญของพสกนิกรให้มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับอุปสรรคทั้งปวงจนลุล่วงไปได้ ธรรมะที่พระองค์ตรัสสอนคือของจริงและทำได้จริง ต่างกับคำพูดของนักการเมืองที่ดีแต่พล่าม แต่ตัวเองไม่สามารถทำได้ คนไทยลืมเรื่องเช่นนี้ไปแล้วหรือไร

 วันนี้เราทำความดีอะไรให้ประเทศไทยบ้าง
 พวกเราเคยถามตัวเองบ้างหรือไม่ว่า วันนี้นอกจากกิน นอน ทำงานสารพัดชนิดทั้งถูกและผิดศีลธรรม สุ่มเสี่ยงต่อการผิดศีล สนุกสนานกับชีวิตไปวัน ๆ แต่จะมีสักกี่คนที่คิดว่า แล้วเราให้อะไรกับประเทศของเราบ้าง หากยังไม่เคย หรือคิดว่าทำแล้ว โปรดตอบตัวเองซิว่า พระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่ง ประหนึ่งพ่อสอนลูกให้ทำดี เราชาวไทยได้ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดหรือไม่

คงไม่ต้องถามกลุ่มคนในรัฐสภาจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเกียรติยศ ลาภ สรรเสริญ และผลประโยชน์ส่วนตน โดยลืมไปหรือตั้งใจลืมว่า สิ่งที่พวกตนทำล้วนขัดกับศีลธรรมขั้นต่ำ (กฎหมาย) และพระราชปณิธานตามพระบรมราโชวาท ดังนั้น หากเราคนไทยอยากเป็นคนดี และดีให้สุดตามพระราชปณิธานแล้ว พวกเราควรยึดมั่นพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสที่ตรัสสอนพวกเราเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และที่สำคัญที่สุดคือการแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงมีน้ำพระราชหฤทัยบริสุทธิ์และกว้างใหญ่ไพศาล ทรงมีบุญคุณกับคนไทยมากกว่าที่พวกเราชาวไทยจะประเมินค่าได้ หากเราเป็นคนที่ไม่ลืมบุญคุณผู้มีพระคุณ

 ร่วมกันแสดงน้ำใจกับสถาบันกษัตริย์บ้างได้ไหม
 ปัจจุบันมีคนไทยกลุ่มหนึ่งอ้างว่าคิดใหม่ทำใหม่ แต่อาจคิดผิดทำผิดเสียยิ่งกว่า อีกทั้งยังมีนักวิชาการที่อาจจะมากด้วยสมอง แต่ด้อยและต่ำในด้านจริยธรรม ไปรวมตัวกับคนกลุ่มหนึ่งเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายอาญาว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งมีหลักว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี" พวกเขาเหล่านั้นเรียกร้องหาความเท่าเทียมกันระหว่างมนุษย์โดยวางหลักความคิดว่า "เจ้าก็เป็นคนเหมือนกัน ทำไมจะถูกพูดพาดพิงหมิ่นประมาทไม่ได้ และหากถูกหมิ่นประมาท ทำไมไม่ไปแจ้งความร้องทุกข์เอาเอง"

 แท้ที่จริง กฎหมายอาญามุ่งคุ้มครองสิทธิประชาชนชาวไทยทุกคนอยู่แล้ว โดยประมวลกฎหมายอาญาได้วางหลักไว้ว่า ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม (หมิ่นประมาท) โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือ ถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี (มาตรา 326) และผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ผู้นั้นต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน (มาตรา 393) ซึ่งความแตกต่างระหว่างการหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นบุคคลทั่วไป กับ การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็มีหลักสำคัญดังนี้

(1) สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นความมั่นคงของชาติ หากถูกทำลายให้เสียหายและขาดความน่าเชื่อถือจะทำให้ประเทศชาติไม่มั่นคง ดังนั้น โทษจำคุกจึงสูง (3 - 15 ปี)

(2) สถาบันพระมหากษัตริย์ ทรงเสียสละในการประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อส่วนรวมโดยไม่ได้คำนึงประโยชน์ส่วนพระองค์แม้แต่น้อย และประพฤติพระองค์เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่พสกนิกรชาวไทย การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพน่าจะเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน (เป็นผลกระทบต่อสาธารณะ ซึ่งผู้เสียหายได้แก่พสกนิกรชาวไทยทั้งมวล) จึงไม่ควรต้องให้พระองค์เสด็จฯไปแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจด้วยพระองค์เอง แต่บุคคลใดที่พบเห็นการกระทำความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสามารถแจ้งความกล่าวโทษผู้กระทำความผิดฐานนี้ได้ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2 (8)

ดังนั้น หากเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว ไม่น่าจะคิดไปในทางอื่นได้นอกเสียจากว่า ผู้เรียกร้องเหล่านั้น ต้องการให้สถาบันดำเนินคดีพวกเขาด้วยพระองค์เองโดยใช้มาตรา 326 และ มาตรา 393 ดังที่กล่าวข้างต้น กล่าวคือ สถาบันต้องลงมาแจ้งความร้องทุกข์ที่สถานีตำรวจในฐานะผู้เสียหายด้วยพระองค์เอง ซึ่งข้อเรียกร้องของพวกเขาต้องอาศัยหลักความคิดที่ว่า การหมิ่นสถาบันไม่ได้เป็นการกระทบกระเทือนสาธารณะ ซึ่งหมายถึงว่า หากสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศและทั่วโลกถูกหมิ่นประมาทมากกว่า 1 รายขึ้นไป พระองค์ท่านก็ไม่ต้องมีเวลาปฏิบัติพระราชกรณียกิจ แต่ต้องลงไปเตรียมพระองค์ในการเบิกความเป็นพยานในศาลในฐานะผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

การหมิ่นประมาทบุคคลสาธารณะทั่วไป อาทิเช่น นักการเมืองคนหนึ่งๆ ก็ยังพอทำเนาที่จะใช้หลักตามประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยหมิ่นประมาทและดูหมิ่นทั่วๆ ไป เพราะนักการเมืองนั้นแม้อาจจะมีใจกว้างต่อคนไทยบ้างก็คงไม่ได้เท่าเศษธุลีฉลองพระบาทของพระมหากษัตริย์ แต่กับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงให้แต่สิ่งดีและประเสริฐกับพสกนิกรตลอดมา อีกทั้งทรงมีน้ำพระราชหฤทัยที่กว้างใหญ่ไพศาลต่อคนไทย แต่ก็ไม่วายที่จะต้องทรงประสบกับข่าวลือและคำว่าร้ายต่าง ๆ นานา อาทิ "คนในบอกว่า..." หรือ "เขาว่ากันว่า..." หรือแม้แต่ "เขาลือกันว่า..." ทั้ง ๆ ที่ไม่สามารถหาต้นตอข่าวลือได้

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คนไทยยังจะยอมให้พระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงเป็นที่รักของเราทุกคนถูกว่าร้ายใส่ความต่อไปอีกหรือ ลำพังแค่คนไทยไม่ช่วยปกป้องพระองค์ท่านให้ดีเท่าที่ควร มันก็เป็นการอกตัญญูมากพออยู่แล้ว แต่นี่ยังจะขอยกเลิกกฎหมายที่ถวายความคุ้มครองต่อพระองค์ เพื่อให้พระองค์ทรงสามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจได้อย่างราบรื่น ไม่ต้องทรงตรากตรำไปฟ้องคดี ไปเบิกความที่ศาลให้เสียเวลา อันเป็นการระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท ผู้เขียนขอถามตรงๆ ว่า พวกเราใจแคบกับสถาบันกษัตริย์มากเกินไปหรือเปล่า


(ขอบคุณ คุณกัมปนาท ศีลสร ผู้กระตุ้นเตือนความคิดคนไทยให้มีน้ำใจกับสถาบันพระมหากษัตริย์)

เฉลิมชัย ยอดมาลัย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง