บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สุวิทย์รับถกเขาพระวิหารยังไม่มีข้อสรุป

รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับเจราจา "พระวิหาร"ยังไม่มีข้อยุติ  ยันจะยังคงเสนอเจรจา 2 ฝ่าย พร้อมเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งที่ 36
นายสุวิทย์ คุณกิตติ  รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวภายหลังการเดินทางกลับจากการประชุมเจรจาปัญหามรดกโลก ระหว่างคณะผู้แทนไทยและกัมพูชา ที่ประเทศฝรั่งเศส โดยยอมรับว่า การประชุมทั้ง 3 วันที่ผ่านมา ยังไม่มีข้อยุติตามที่ไทยต้องการให้เลื่อนการพิจารณาจัดการแผนปราสาทเขาพระ วิหาร ครั้งที่ 35 ที่ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 19 - 29 มิ.ย.นี้ แม้กระบวนการเจรจาของทั้ง 2 ฝ่าย ที่ผ่านมา มีความพยายามกันอย่างมาก และทางผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโกเอง ก็อยากให้ยุติปัญหา
         
อย่าง ไรก็ตาม นายสุวิทย์ กล่าวว่า ขั้นตอนจากนี้จะต้องมีการประชุมเจรจากันอีกครั้ง ก่อนที่การประชุมครั้งที่ 35 จะเกิดขึ้น รวมถึงการพิจารณาเรื่องการปักปันเขตแดน เพื่อให้ปัญหาชายแดนมีข้อยุติ นอกจากนี้กัมพูชาเอง ก็ยังมี 2 - 3 ประเด็น ที่ต้องการให้แก้ไข ทำให้กระบวนการในการพิจารณายังไม่จบสิ้น
         
ทั้ง นี้ นายสุวิทย์ ยืนยันว่า จะยังคงเสนอให้มีการประชุม 2 ฝ่าย เพื่อนำไปสู่การเลื่อนการประชุม และยังเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งที่ 36 ในปี 2012 ซึ่งขณะนี้ มีอีก 2 ประเทศ ที่ร้องขอ คือ รัสเซีย กัมพูชา ด้วย

“ไพศาล” แย้งกระทรวงการต่างประเทศ การไปยอมรับอำนาจศาลคือการขายชาติ

นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้เผยกับสื่อมวลชนเมื่อเช้าวันนี้ แย้งความเห็นของรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศว่าการไปขึ้นศาลโลกคือกระบวนการ ขายชาติ ที่ตระเตรียมกันมาไว้อย่างดี

     นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่ารองปลัดกระทรวงการต่างประเทศท่านหนึ่งได้เขียนบทความเผยแพร่ชี้แจง เหตุผลว่าต้องไปขึ้นศาลโลกว่า เป็นเรื่องที่เขมรขอตีความและบังคับตามคำตัดสินเดิมของศาลโลก หากไม่ไปขึ้นศาลจะเสียเปรียบว่ามีการปกปิดความจริงและบิดเบือนความจริงหลาย ประการ 

     นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่าก่อนอื่นจะต้องเข้าใจเรื่องประเด็นพิพาทเดิมก่อน ว่าเขมรฟ้องไทยเรื่องอะไร ซึ่งในเรื่องนี้ไม่พูดถึงกันเลย ในฐานะที่ตนทราบเรื่องนี้ดีและมีเอกสารสำคัญอยู่ในมือ ขอบอกว่าในคดีเดิมนั้นเขมรฟ้องไทยเป็น 2 ตอน คือ

     ตอนที่หนึ่ง ยื่นฟ้องไทยเรียกเอาตัวปราสาทพระวิหาร อ้างว่าเป็นของเขมร รัฐบาลไทยยอมรับอำนาจศาลเข้าไปต่อสู้คดี ซึ่งถ้าหากไม่ยอมรับ ศาลโลกก็ไม่สามารถตัดสินให้ผูกพันรัฐบาลไทยได้ นี่คือปฐมบทแห่งความโง่ของรัฐบาลไทยและทำให้กระบวนการขายชาติยุคนั้นเดิน หน้าไปได้

     ตอนที่สอง หลังจากยื่นฟ้องและรัฐบาลไทยให้การต่อสู้คดีแล้ว เขมรได้ยื่นคำฟ้องเพิ่มเติมเรียกเอาดินแดนรอบปราสาทพระวิหารว่าเป็นของเขมร ด้วย ในขั้นตอนที่สองนี้รัฐบาลไทยในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ลงมติตามความเห็นของพระยาอรรถการีนิพนธ์และนายบุศย์ ขันธวิทย์ อดีตประธานกรรมการสำนักงานกฎหมายธรรมนิติ ให้คัดค้านการขอเพิ่มเติมฟ้อง เป็นผลให้ศาลโลกพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่าเมื่อรัฐบาลไทยคัดค้านการเพิ่มเติมคำ ฟ้องในส่วนที่เรียกเอาดินแดน ศาลโลกจึงไม่มีอำนาจพิจารณา จึงยกคำร้อง และเขมรก็ยอมรับคำสั่งศาลตลอดมากว่า 50 ปีแล้ว

     ดังนั้นคดีที่ต่อสู้กันในศาลโลกจึงคงเหลือแต่เรื่องตัวปราสาท และธรรมนูญของศาลโลกก็เหมือนกับธรรมนูญศาลทั้งหลายในโลก คือศาลมีอำนาจพิจารณาเฉพาะประเด็นที่พิพาทกันตามคำฟ้อง คำให้การเท่านั้น ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษานอกเหนือไปจากประเด็นที่พิพาทกัน นั่นคือศาลโลกไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาในเรื่องดินแดนซึ่งรัฐบาลไทยไม่ยอม รับมาตั้งแต่ต้น ประเด็นนี้รัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศทำเป็นโง่งมงายประหนึ่งไม่รู้ ไม่เห็นประหนึ่งว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น  ดังนั้นคำตัดสินของศาลโลกที่เคย ตัดสินมาจึงตัดสินเฉพาะเรื่องของตัวปราสาทว่าอยู่ในอำนาจอธิปไตยของเขมร เพราะศาลโลกไม่มีอำนาจตัดสินเกี่ยวกับดินแดนและมิได้ตัดสินเกี่ยวกับดินแดน หลังจากศาลโลกตัดสินแล้วรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เห็นว่าพฤติกรรมของศาลโลกเป็นแค่ศาลการเมืองที่อาศัยพวกมากลากไป ไม่ประสาธน์ความยุติธรรมให้แก่ประเทศไทย ป่วยการที่จะเป็นภาคีของศาลแบบนี้ จึงถอนตัวออกจากการเป็นภาคีของศาลโลก นับแต่บัดนั้นประเทศไทยจึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับศาลโลกและศาลโลกก็ไม่มี อำนาจที่จะพิจารณาตัดสินคดีใด ๆ ให้ผูกพันประเทศไทยได้อีก เว้นแต่ประเทศไทยจะหน้าโง่เสือกเข้าไปยอมรับอำนาจศาลอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งวันนี้ขบวนการขายชาติแกล้งทำเป็นหน้าโง่เข้าไปยอมรับอำนาจศาลอีกแล้ว ไม่สำนึกและตระหนักในสิ่งที่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ได้ทำไว้ จึงทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในความเสี่ยงทำให้เสียดินแดนครั้งมโหฬาร เพราะอย่าคิดว่าเกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องเก่า เนื่องจากหากไทยแพ้คดีครั้งนี้ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เขมรฟ้องเรียกดินแดน ตาม MOU 2543 คือ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบพระวิหาร 1.8 ล้านไร่ ตลอดแนวชายแดน 7 จังหวัดและอ่าวไทย 1 ใน 3 จำนวน 27 ล้านตารางกิโลเมตรต่อไปอีก

     นายไพศาล พืชมงคล กล่าวว่าเขมรจะไปขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาไม่ได้อีกแล้ว เพราะเวลาล่วงเลยมานานกว่า 50 ปี และได้ยอมรับปฏิบัติกันมาจนเป็นปกติแล้ว จะไปอธิบายขยายความไม่ได้ นอกจากนั้นศาลโลกก็ไม่มีอำนาจพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องดินแดน ซึ่งในคดีเดิมนั้นไม่มีประเด็นพิพาทมาตั้งแต่ต้น จะมาตัดสินเพิ่มเติมหรือตัดสินขยายความเพิ่มเติมจากเดิมไม่ได้ เพราะคำอธิบายคำพิพากษาต้องไม่เกินคำตัดสินเดิม และไปแตะต้องเรื่องดินแดนไม่ได้

พื้นที่ขัดแย้งไทย-เขมร






พื้นที่ขัดแย้งไทย-เขมร

สังเกตุดูวันเดือนปี ที่จัดสรรเขตสัมปทานกันให้ดีนะขอรับ ประเทศไทยนั้นเมื่อปี พ.ศ.2511?(1968) เขมร2540?(1997) และถึงแม้มันจะดูทับซ้อนกันหมด ทั้ง 1.พื้นที่ๆต่างคนต่างอ้าง รวมไปถึง 2. บ.พลังงาน ที่ได้รับสัมปทานไปแล้วทั้ง 2 ฝ่าย ทว่าวันนี้ปริศนาได้ถูกไขแล้ว เมื่อพบว่า บ.พลังงานทั้งหมด มีพ่อคนเดียวกันที่ชื่อ Standard Oil of USA ครับผม ส่วนBP มาขุดถ่านชนิดพิเศษ(ที่ทำได้เจ้าเดียว)ให้กับขาใหญ่เขา โดย: ดร.ไก่ Tanond

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง