ฟิฟทีนมูฟ – สื่อเขมรเปิดข้อโต้แย้งฝ่ายเขมร
ระบุไทยพยายามขัดขวางอย่างหนักมิให้มีการตีความคำตัดสิน พ.ศ. ๒๕๐๕
เพราะอันตรายกับไทย ระบุตีโต้ได้ในทุกประเด็น
ไทยบอกเขมรเริ่มโจมตีก่อนแล้วทำไมไทยไม่ยอมรับกลไกลแก้ปัญหาโดยสันติวิธี
เรื่อง MOU43 เขมรซัดใส่ไม่ใช่เรื่องปักปันเขตแดนซึ่งเสร็จแล้วตามแผนที่
เขมรเห็นด้วยเพราะแค่จะปักหลักเขตร่วมกัน
ย้ำศาลมีอำนาจเพราะไทยกับเขมรตีความคำตัดสินไม่เหมือนกัน
และมาตรการชั่วคราวจำเป็นสำหรับพระวิหาร
เพราะขณะที่ปะทะที่ตาเมือนและตาควาย
ไทยยังบินล่วงล้ำพระวิหารซ้ำยังยิงปืนใหญ่ใส่ปราสาทด้วย
คณะผู้แทนกัมพูชาในการเปิดรับฟังคำร้องขอมาตรการชั่วคราว ที่ศาลโลก ระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔
สำนักข่าวซีอีเอ็นของกัมพูชา (๑ มิถุนายน ๒๕๕๔)
รายงานประเด็นโต้แย้งระหว่างไทยและกัมพูชาที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
กรุงเฮก โดยระบุว่าไทยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะขัดขวางไม่ให้ศาลฯ
รับคำร้องของกัมพูชา ขอให้ตีความคำตัดสินเดิมเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕
อีกครั้งเกี่ยวกับปัญหาพระวิหาร โดยในการแถลงสรุปในวันที่สอง คือ วันที่ ๓๑
พฤษภาคม นั้น แต่ละฝ่ายมีเวลา ๑ ชั่วโมง ในการแถลงตอบโต้
สำนักข่าวดังกล่าวระบุว่า ในการโต้แย้ง ไทยได้ยกประเด็นขึ้นว่า
กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มเปิดการโจมตีก่อน
ไทยเป็นผู้รักในสันติไม่ต้องการหาเรื่องกัมพูชา ในประเด็นนี้
กัมพูชาตอบโต้ว่า ถ้าไทยเป็นประเทศรักสันติ
เป็นประเทศรับเคราะห์จากการรุกรานของกัมพูชา
เหตุอะไรที่ไทยเอาแต่ปฏิเสธไม่รับกลไกการสลายความขัดแย้งโดยสันติวิธี
ไม่ว่าจะเป็นที่คณะมนตรีความมั่นคง ที่อาเซียน
หรือที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศก็ตาม ไทยปฏิเสธมาโดยตลอด
แม้แต่ผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียที่จะเข้ามาตรวจสอบการหยุดยิง ไทยก็ขัดขวาง
นี่หรือผู้รักในสันติและเป็นผู้รับเคราะห์
ขณะที่กัมพูชากลับแสวงหาทุกกลไกเพื่อแก้ปัญหาโดยสันติวิธี โดยมีฝ่ายที่ ๓
เข้าร่วม แต่ไทยไม่เห็นชอบ
ประเด็นที่ ๒ บันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ. ๒๕๔๓ (MOU) เป็นหลักฐานยืนยันว่า
กัมพูชาก็ได้รับทราบเช่นเดียวกับไทยแล้วว่าคำตัดสิน พ.ศ.๒๕๐๕
กล่าวถึงแต่เพียงตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น ไม่ได้กำหนดเกี่ยวกับพรมแดน
เนื่องจากศาลฯ ไม่ได้กำหนดพรมแดนดังกล่าว
ไทยและกัมพูชาจึงได้ร่วมทำบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ.๒๕๔๓ เพื่อกำหนดพรมแดน
ดังนั้น ไทยและกัมพูชาไม่ได้วิวาทกันในคำตัดสิน พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งหมายความว่า
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่มีอำนาจพิจารณาคำร้องขอตีความคำตัดสินของ
กัมพูชาแต่อย่างใด
ประเด็นนี้ กัมพูชาได้โต้แย้งว่า บันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ.๒๕๔๓
ไม่ใช่การร่วมกันเพื่อกำหนดเขตแดน แต่เพื่อจัดทำหลักเขตแดน
หมายความว่าเรื่องพรมแดนเสร็จสิ้นแล้วในทางแผนที่ ขาดแต่การปักหลักเขต
ด้วยเหตุนี้ กัมพูชาจึงได้เห็นชอบร่วมกับไทยเพื่อจัดทำหลักเขต
กัมพูชาก็ได้มอบหนังสือบันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ.๒๕๔๓ จำนวน ๑ ฉบับ
ให้กับองค์คณะผู้พิพากษา เพื่อพิจารณาเอกสารความตกลงด้วยตนเอง
ประเด็นต่อมา ไทยได้ยกขึ้นว่า
กัมพูชาได้สร้างเรื่องขึ้นเกี่ยวกับการโต้แย้งในความหมายและขอบเขตของคำ
ตัดสิน พ.ศ.๒๕๐๕ ในความเป็นจริง ไม่มีการโต้แย้งอะไรที่ต้องให้ศาลฯ
มาตีความ ไทยยังเสนออีกว่า
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่ได้ให้ไทยถอนทหารและกองกำลังติดอาวุธทั้งหมดออก
จากปราสาทพระวิหาร และจากบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหารนั้น
ครอบคลุมเฉพาะขณะเวลาที่ศาลตัดสินเท่านั้น
ไม่ใช่ข้อผูกพันของไทยที่ต้องปฏิบัติตามไปตลอด
ในประเด็นนี้ เป็นเรื่องง่ายสำหรับกัมพูชาที่จะโต้แย้ง
เนื่องจากการยกประเด็นนี้ขึ้นของไทย มีนัยยะครบถ้วนที่จะบอกว่า
ไทยและกัมพูชาเห็นต่างกันเกี่ยวกับความหมายของคำตัดสิน พ.ศ. ๒๕๐๕ กล่าวคือ
กัมพูชาเห็นว่าคำตัดสินดังกล่าวมีผลบังคับไปตลอดทุกวัน
แต่ไทยเห็นว่ามีผลเฉพาะในเวลาที่ศาลฯ ตัดสินเท่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุผลครบถ้วนที่ศาลฯ ควรตีความคำตัดสินดังกล่าวอีกครั้ง
เกี่ยวกับประเด็นมาตรการชั่วคราวเร่งด่วนนั้น
ไทยได้พยายามอ้างว่าไม่มีสถานการณ์อะไรที่ต้องให้ศาลฯ ออกมาตรการเร่งด่วน
เนื่องจากไม่มีความขัดแย้งที่พระวิหารอีก มีเฉพาะที่ปราสาทตาควายและตาเมือน
ซึ่งอยู่ห่างจากพระวิหาร ดังนั้น
คำร้องขอมาตรการชั่วคราวเร่งด่วนของกัมพูชาไม่มีมูลฐานแต่อย่างใด
ต่อประเด็นนี้ กัมพูชาตอบโต้ว่า เมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม
ที่ผ่านมานั้น ในเวลาที่กัมพูชายื่นคำร้องถึงศาลกรุงเฮก
การปะทะด้วยอาวุธก็ได้เกิดขึ้นเช่นกันที่พื้นที่ปราสาทพระวิหาร
ไทยได้บินล่วงล้ำน่านฟ้าของกัมพูชา
และได้ยิงปืนใหญ่มาในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร ดังนั้น
มาตรการเร่งด่วนที่กัมพูชาเสนอขอสำหรับพื้นที่พระวิหาร
เป็นเขตอำนาจอย่างเต็มเปี่ยมของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่ควรออกมาตรการ
สำนักข่าวของกัมพูชาสรุปในตอนท้ายว่า ต่อประเด็นคำขอมาตรการชั่วคราว
ฝ่ายไทยมีข้อโต้แย้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ฝ่ายไทยกลับใช้เวลาอย่างมากในการกล่าวเกี่ยวกับคำร้องขอตีความคำตัดสิน
ดังนั้น
เป้าหมายของไทยคือทำอย่างไรก็ตามเพื่อขัดขวางไม่ให้มีการตีความคำตัดสิน
เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ อีกครั้ง
เนื่องจากเป็นทั้งความยุ่งยากและอันตรายอย่างยิ่งต่อไทย
ตามเอกสารข่าวแจก (Press Release)
อย่างไม่เป็นทางการของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม
๒๕๕๔ ระบุว่า การกล่าวสรุปในตอนท้าย ผู้แทนของกัมพูชา นายฮอ นำฮง
ได้ย้ำขอมาตรการชั่วคราว ใน ๓ ประเด็น คือ
๑.ให้ไทยถอนกำลังทหารทั้งหมดออกจากแผ่นดินกัมพูชาในบริเวณปราสาทพระวิหาร
ในทันทีและไม่มีเงื่อนไข
๒.สั่งห้ามทุกกิจกรรมทางทหารของไทยในบริเวณปราสาทพระวิหาร และ ๓.
ให้ไทยงดเว้นทุกการกระทำที่จะกระทบสิทธิ์ของกัมพูชาหรือซ้ำเติมความขัดแย้ง
ในระหว่างพิจารณาคดี ขณะที่ผู้แทนไทย นายวีรชัย พลาศรัย
เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก อาศัยข้อ ๖๐ ของธรรมนูญศาลฯ ขอให้ศาลฯ
ถอนคำร้องของกัมพูชาออกจากทะเบียนคดี ทั้งนี้
ศาลยังไม่กำหนดวันแถลงผลการพิจารณา