บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เขมรปัดประชุม GBC เพื่อหารือถอนหทารตามมาตรการศาลโลก


เขตปลอดทหารตามมาตรการชั่วคราวของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ 

ฟิฟทีนมูฟ — โฆษกกลาโหมเขมรปัดแนวคิดไทยที่จะให้ประชุมจีบีซีเพื่อหารือการถอนทหารออกจาก เขตปลอดทหาร ระบุเรื่องไปถึงคณะมนตรีความมั่นคงฯ ศาลโลกและอาเซียนแล้ว จะประชุมกันสองฝ่ายไม่ได้อีก ไทยต้องทำตามศาลฯ เท่านั้น
กรณีที่ฝ่ายไทยเสนอแนวคิดให้มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC เพื่อกำหนดกรอบขั้นตอนการปฏิบัติตามมาตรการชั่วคราวของศาลยุติธรรมระหว่าง ประเทศ ท่าทีของกัมพูชาในเรื่องนี้ตามรายงานของวิทยุเสียงอเมริกาภาคภาษาเขมร (๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔) โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้ออกมาปฏิเสธข้อเสนอให้มีการจัดการประชุม GBC เพื่อหารือขั้นตอนการถอนทหารของทั้งสองฝ่ายออกจากพื้นที่เขตปลอดทหาร

พล.ท.ชุม โซะเจียต โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา กล่าวว่า จุดยืนของกัมพูชาคือ การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไม่สามารถปฏิบัติได้ เพราะเรื่องปราสาทพระวิหารไปถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่กรุงเฮก และอาเซียนแล้ว ดังนั้น คำสั่งของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเป็นมาตรการที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่ง ครัด เช่นเดียวกัน ปัญหาสำคัญสุดคือไทยต้องเคารพตามคำสั่งของศาลฯ

จับตาตลาดหุ้นกัมพูชา กับเป้าหมายบรรษัทพิบาล (วิจารณ์โลก)



ทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ตลอดจนในการเพิ่มเงินรายได้จากการจัดเก็บภาษีของประเทศยากจนแห่งนี้ ทั้งนี้ถ้าหากตลาดแห่งนี้สามารถดำเนินงานด้วยความโปร่งใสเต็มที่อย่างชนิด ที่พวกหน่วยงานกำกับตรวจสอบวาดหวังกันเอาไว้ สิ่งหนึ่งซึ่งอาจจะสามารถใช้เป็นมาตรวัดสัมฤทธิผลในเรื่องนี้ได้ ก็คือรัฐวิสาหกิจ 3 รายที่กำหนดจะเป็นหลักทรัพย์แรกๆ ที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดแห่งนี้

ตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่ในกัมพูชาที่เพิ่งทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวัน ที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา นอกจากมีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดพวกนักลงทุนระหว่างประเทศแล้ว หลายๆ ฝ่ายยังวาดหวังเอาไว้ด้วยว่า มันจะสามารถรุนหลังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายนี้ ให้ก้าวไปสู่การมีความโปร่งใสเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี ตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา (Cambodia Securities Exchange หรือ CSX) ยังไม่มีหลักทรัพย์ใดเข้าจดทะเบียนซื้อขายเลยสักหลักทรัพย์เดียว เนื่องจากแรงขับดันของความต้องการที่จะให้แน่ใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องอยู่ในระดับเหนือกว่ามาตรฐาน

“เราต้องการทำให้แน่ใจว่ามีความโปร่งใสอย่างเต็มเปี่ยม” ฮวต พุม รองกรรมการผู้จัดการของคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งกัมพูชา กล่าว “ข้อมูลข่าวสารทางการเงินจะต้องมีการตรวจสอบและมีการเปิดเผยอย่างสม่ำเสมอ พวกบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้ จะต้องทำให้ได้ตามมาตรฐานสากล ตลาดหลักทรัพย์เป็นวิธีที่ดีในการสร้างหลักประกันว่าบริษัทต่างๆ จะมีบรรษัทภิบาลที่มั่นคงหนักแน่น ตลาดหุ้นสามารถช่วยทำให้เกิดกระแสการสร้างวัฒนธรรมบรรษัทที่ดียิ่งขึ้นกว่า เดิมขึ้นมา”



เป็นที่คาดหมายกันว่าการซื้อขายหลักทรัพย์จะเริ่มต้นได้ในระยะต่อไปของปีนี้ ทันทีที่กิจการรัฐวิสาหกิจทั้ง 3 แห่งซึ่งได้ประกาศแผนการที่จะจดทะเบียนในตลาด CSX ไปแล้ว สามารถผ่าน “มาตรฐานสอบบัญชีระหว่างประเทศ” ได้ รัฐวิสาหกิจเหล่านี้ได้แก่ เทเลคอม แคมโบเดีย (Telecom Cambodia), การประปาพนมเปญ (Phnom Penh Water Supply Authority), และ การท่าเรือสีหนุวิลล์ (Sihanoukville Autonomous Ports)

อย่างไรก็ดี มีคำเตือนจากทางธนาคารโลกว่า การใช้ตลาด CSX เพื่อผลักดันภาคเศรษฐกิจและการเงินที่ยังมีขนาดเล็กของกัมพูชาให้ก้าวเดินไป บนเส้นทางแห่งความโปร่งใสตรวจสอบได้นั้น จะไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาภาวะธรรมาภิบาลย่ำแย่ของทั่วทั้งประเทศได้สัก เท่าไรนัก เรื่องนี้น่าจะช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมพวกนักเคลื่อนไหวชาวกัมพูชาที่รณรงค์ต่อสู้อย่างหนักเพื่อให้ภาวะธรรมา ภิบาลในประเทศนี้ดีขึ้นกว่าเดิม จึงแสดงท่าทีระมัดระวังตัวเกี่ยวกับความคาดหมายที่มีต่อตลาด CSX ตั้งแต่แรกๆ ที่ว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้จะเป็น “ตัวเร่ง” ที่จะ “ช่วยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ”ขึ้นภายในภาคบรรษัททั้งที่เป็นกิจการของรัฐ และกิจการของเอกชน

“เมื่อตอนที่กัมพูชาเข้าไปเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก หรือ WTO เมื่อปี 2004 มีการมองโลกในแง่ดีว่า เรื่องหลักนิติธรรมและวัฒนธรรมการเคารพทำตามระเบียบกฎหมาย จะมีการปรับปรุงกระเตื้องดีขึ้น” เยง วิรัค ผู้อำนวยการบริหารของ ศูนย์การศึกษาทางกฎหมายเพื่อชุมชน องค์กรภาคประชาสังคมซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงพนมเปญ กล่าวแสดงความคิดเห็นโดยยกตัวอย่างกรณีคล้ายๆ กันมาเปรียบเทียบ “ผู้คนจำนวนมากในตอนนั้นคาดหมายว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจน่าจะปรับปรุงดีขึ้น เนื่องจากประเทศต้องออกกฎหมายฉบับใหม่ๆ มาบังคับใช้จำนวนมาก รวมทั้งต้องปรับปรุงโครงสร้างทางด้านกฎหมายอีกด้วย”

ทว่าความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาในระยะเวลา 7 ปีนับตั้งแต่นั้น วิรัคกล่าวว่ามันกลับเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงแบบผิวเผินเปลือกๆ เป็นต้นว่ากฎหมายต่างๆ ที่ผ่านออกมานั้น เอาเข้าจริงแล้วก็ถูกนำมาบังคับใช้แบบเลือกใช้เฉพาะส่วนเฉพาะกรณี “กัมพูชาเป็นรัฐ 2 มาตรฐาน นั่นคือคนร่ำรวยและทรงอำนาจยังคงได้รับประโยชน์จากระบบต่อไป ขณะที่คนยากจนและอ่อนแอเป็นฝ่ายสูญเสียพ่ายแพ้” เยงกล่าว “สิ่งที่เราได้มาก็คือการปล้นสะดม “อย่างถูกกฎหมาย” โดยพวกเจ้าพ่อนักธุรกิจที่นั่งอยู่ในรัฐบาลเท่านั้นเอง”

การประเมินสถานการณ์อย่างเลวร้ายเช่นนี้ สอดคล้องกับที่ปรากฏอยู่ในรายงานประจำปีขององค์การเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) หน่วยงานเฝ้าระวังระดับโลกที่มีจุดมุ่งหมายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น กัมพูชาอยู่ในอันดับที่ 154 จาก 178 ประเทศที่ถูกติดตามจับตาเรื่องการทุจริต เพื่อจัดทำดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์ปัญหาคอร์รัปชั่น ประจำปีของ TI ประจำปี 2010 ดีขึ้นนิดเดียวจากที่เคยอยู่ในอันดับ 158 ในจำนวน 180 ประเทศที่ถูกประเมินโดย TI ในปี 2009


นายกรัฐมนตรี ฮุนเซน ของกัมพูชา กำลังถูกบีบคั้นกดดันให้ยุติการโกงกินกันอันอึกทึกมโหฬาร ซึ่งก้าวเข้ามาเกาะกุมประเทศชาติ ตั้งแต่ตอนที่กัมพูชาเดินทางออกจากภาวะความทุกข์ยากแสนสาหัสในปี 1991 ปีแห่งการลงนามในข้อตกลงสันติภาพกรุงปารีส เพื่อยุติช่วงระยะเวลาร่วมๆ 2 ทศวรรษแห่งสงคราม, การล้างเผ่าพันธุ์, และความขัดแย้งภายใน ในเวลานี้ประเทศที่มีจำนวนประชากร 11 ล้านคนแห่งนี้ ยังคงมีผู้คนมากกว่าหนึ่งในสามซึ่งดำรงชีวิตโดยที่มีรายได้ไม่ถึง 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน

ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาจากโลกตะวันตก เป็นสิ่งที่สำคัญมากเหลือเกินสำหรับกัมพูชาซึ่งมีฐานะเป็นประเทศยากจนที่สุด รายหนึ่งของภูมิภาคแถบนี้ ฮุนเซนนั้นมีความสามารถมากในการดึงดูดความช่วยเหลือให้ยังคงหลั่งไหลเข้ามา ไม่ขาดสาย ทั้งๆ ที่การปกครองของเขากำลังมีสภาพเป็นการปกครองแบบผด็จการอย่างเบ็ดเสร็จมาก ขึ้นทุกที และคอยรับปากรับคำอย่างขอไปทีต่อเสียงเรียกร้องของพวกผู้บริจาคความช่วย เหลือที่ให้เร่งรัดปราบปรามการทุจริตฉ้อโกง

เมื่อปีที่แล้ว พวกผู้บริจาคตะวันตกได้อัดฉีดเงินช่วยเหลือมาให้เป็นจำนวน 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มสูงขึ้นจากระดับ 950 ล้านดอลลาร์ที่ให้มาในปีก่อนหน้านั้น เรื่องนี้ทำให้กลุ่มสิทธิมนุษยชนทั้งในกัมพูชาเองและในระดับนานาชาติ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์พวกประเทศผู้บริจาคว่า กำลังให้รางวัลระบอบปกครองที่ทรยศต่อคำมั่นสัญญาในเรื่องที่จะปรับปรุงยก ระดับ “ภาวะธรรมาธิบาล” แถมยังทำการปราบปราบอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผยต่อผู้ต่อต้านคัดค้าน ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกรัฐสภา, นักหนังสือพิมพ์, หรือบุคลากรในภาคประชาสังคม

คุย วัต นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชาวกัมพูชา เป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มซึ่งได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของ ประเทศ และเขากำลังมองตลาดหลักทรัพย์ CSX ว่าเป็น “ก้าวเดินตามธรรมชาติก้าวต่อไป” ในการพัฒนาของประเทศนี้ “ตลาดหลักทรัพย์จะกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ในฐานะเป็นแหล่งอีกแหล่งหนึ่งที่เราสามารถเข้าไประดมเงินทุนเพื่อนำมาขยาย ธุรกิจของเรา” คุย ซึ่งเป็นประธานบริหารของ วีทรัสต์ พร็อบเพอร์ตี ที่ตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงพนมเปญ อธิบายให้ไอพีเอสฟัง “ตลาดหลักทรัพย์ยังจะจัดการกับปัญหาเรื่องคอร์รัปชั่นได้ด้วย โดยจะแสดงวิธีการที่พวกบริษัทกัมพูชาจะต้องโปร่งใส, จะต้องเสียภาษี”

เก็บความจาก www.atimes.com

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง