บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มรดกโลกเขมรแถลงการณ์โต้สุวิทย์

มรดกโลกเขมรแถลงการณ์โต้สุวิทย์

ฟิฟทีนมูฟ — มรดกโลกเขมรออกแถลงการณ์โต้สุวิทย์ กล่าวหาโกหกอย่างสิ้นเชิง พูดจากดดันทำลายบรรยากาศการประชุม ไม่ใส่ใจอ่านแผนบริหารจัดการฯ จึงพูดจาคลาดเคลื่อน ย้ำคณะกรรมการมรดกโลกได้รับแผนฯ ตั้งแต่ปีทีแล้ว ไทยก็เป็นรองประธานอยู่ในนั้น ซ้ำสุวิทย์ลงนามรับรองในร่างมติ 34 COM 7.B.66 ด้วยตัวเอง และพื้นที่แผนฯ อยู่ลึกในแผ่นดินเขมร
แถลงการณ์ของคณะกรรมการมรดกโลกแห่งชาติกัมพูชา ฉบับลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ แถลงการณ์ของคณะกรรมการมรดกโลกแห่งชาติกัมพูชา ฉบับลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔
เอกสาร แถลงการณ์ของคณะกรรมการมรดกโลกแห่งชาติกัมพูชา ฉบับลงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ พิมพ์เผยแพร่ผ่านสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา คณะกรรมการมรดกโลกแห่งชาติกัมพูชา1 ออกแถลงการณ์ตอบโต้คำให้สัมภาษณ์ของนายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการไปประชุมค ณะกรรมการมรดกโลก ที่เสนอให้มีการเลื่อนแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร โดยแถลงการณ์ระบุว่า คณะกรรมการมรดกโลกแห่งชาติกัมพูชา รู้สึกตื่นตระหนกต่อการแถลงที่ไม่จริงอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถูกกล่าวขึ้นก่อนหน้าการประชุมร่วมระหว่างกัมพูชา-ไทย ที่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส องค์กรมรดกโลกของกัมพูชายังกล่าวในแถลงการณ์ต่อว่า ขออธิบายและชี้แจงความถูกต้องดังนี้
  • แผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ได้ถูกเสนออย่างถูกต้องสมบูรณ์ไปยังศูนย์กลางมรดกโลก เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๓ และได้ถูกส่งไปถึงคณะกรรมการมรดกโลกทั้งหมดแล้ว (ซึ่งในนั้นมีไทยอยู่ด้วย และจนถึงขณะนี้เป็นรองประธานคณะกรรมการมรดกโลกมากว่าหนึ่งปี) ในคราวการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ ๓๔ ที่กรุงบราซิเลีย เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓
  • แผนบริหารจัดการพื้นที่ปราสาทพระวิหาร เป็นผลสืบเนื่องจากการศึกษาอย่างหมดจด โดยผู้เชี่ยวชาญของศูนย์มรดกโลก และ ICOMOS  สถาบันทั้งสองนี้ได้ประเมินว่าแผนบริหารดังกล่าว ได้ผ่านการให้ความเห็นอย่างดีแล้วสำหรับการอนุรักษ์เป็นทรัพย์สมบัติ มรดกของโลกทั้งมวล เป็นการยืนยันอย่างหนักแน่นแก่องค์การแห่งชาติพระวิหาร สามารถใช้สำหรับการพัฒนานโยบาย และดำเนินการตามแผนปฏิบัติงานของตน แผนภาพ2 ในแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารนั้น แสดงอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ทั้งหมดที่มีในแผนบริหารฯ อยู่ลึกเข้ามาในดินแดนกัมพูชาเท่านั้น
  • เอกสารมติ 34 COM 7.B.66 ของคณะกรรมการมรดกโลก ในการประชุมครั้งที่ ๓๔ ที่กรุงบราซิเลีย พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้มีมติรับเพื่อพิจารณาเอกสารต่าง ๆ ของกัมพูชา ในการประชุมครั้งที่ ๓๕ พ.ศ.๒๕๕๔ ที่จะถึง ซึ่งในนั้นมีแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารอยู่ด้วย ควรระลึกด้วยว่า ตัวของนายสุวิทย์เองได้ร่วมลงนามร่วมกับประธานคณะผู้แทนกัมพูชา และประธานการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก และได้รับทราบเอกสารร่างมติ 34 COM 7.B.66 นั้น เช่นกัน
แถลงการณ์ยังกล่าวต่ออีกว่า มันเป็นการกล่าวโกหกอย่างสิ้นเชิง ที่นายสุวิทย์ แถลงว่าไทยเพิ่งได้รับแผนบริหารจัดการฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งตามความเป็นจริงได้รับเมื่อปีที่แล้ว ถ้าเขาได้เอาใจใส่อ่านแผนบริหารจัดการฯ นั้นบ้าง นายสุวิทย์จะไม่สามารถกล่าวอะไรคลาดเคลื่อนแบบนี้ได้เลย นั่นแสดงว่านายสุวิทย์ละเลยอย่างยิ่งต่อการทำหน้าที่ของตนเอง ในเรื่องแผนบริหารจัดการนี้   ตอนท้ายได้กล่าวประณามนายสุวิทย์ที่สร้างความกดดันและทำลายบรรยากาศก่อนหน้า การประชุมที่กรุงปารีสอีกด้วย

บันทึกในประวัติศาสตร์ ไทยเสียพื้นที่ 4.6 ตาราง กม.ให้เขมร!!


               
    
  ในที่สุดเราก็ได้เห็นบุคลิกและวิธีพูดของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในแต่ละปัญหาได้อีกครั้ง เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมาให้เห็นอยู่เสมอ
      
       กรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาก็เป็นตัวสะท้อนว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของอภิสิทธิ์ แทบไม่แตกต่างจาก “ปลาไหล” ที่พร้อมจะใช้คำพูด “เฉไฉ” ออก ไปได้ทุกมุม ไม่มีทางได้คำตอบคำยืนยันที่ชัดเจน ทั้งที่มีความจริงประจักษ์ให้เห็นแล้วว่าเขาล้มเหลว ทำผิดพลาด แต่ก็ยังใช้คำพูดวกวน แก้ตัวกันไปแบบน้ำขุ่นๆ
      
       นี่เป็นความสามารถเฉพาะตัว ที่แม้จะมองว่าจนมุมแล้ว แต่ก็พลิ้วบิดตัวออกไปได้ ทิ้งไว้แต่ความโมโหดาลเดือดให้กับคนที่รู้ทัน และติดตามเรื่องราวอยู่ทุกฝีก้าว
      
       ล่าสุด นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้ออกมาเปิดเผยท่าทีล่าสุดของฝ่ายไทยต่อกรณีความขัด แย้งกับกัมพูชา ในกรณีปัญหาชายแดน ทั้งในกรณีพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตารางกิโลเมตร เนื้อที่ประมาณเกือบ 3 พันไร่ รวมไปถึงกรณีการเสนอแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทของคณะกรรมการมรดกโลก ของยูเนสโก โดยเฉพาะในเรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ทางรัฐบาลได้เปิดทางให้ “คณะสำรวจ” ชาวอินโดนีเซียเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
      
       ตามคำพูดของนายกรัฐมนตรี บอกว่าเป็นผลมาจากการหารือของระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา พล.อ.เตีย บัญ เมื่อวันที่ 16-18 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ประเทศอินโดนีเซีย
      
       นายกรัฐมนตรีใช้คำว่า “คณะสำรวจ” อ้างว่าไม่ใช่ “คณะผู้สังเกตการณ์” เป็นพลเรือนเข้ามาดูจุดที่พักของคณะสังเกตุการณ์ มาตรวจสอบในพื้นที่เพียง 1-2 วันก็กลับไป อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในเรื่องบทบาทแล้วมันก็ไม่ได้แตกต่างจากการทำหน้าที่เป็นผู้ สังเกตการณ์นั่นเอง เพียงแต่นี่คือการใช้คำพูดที่ทำให้เกิดความสับสน เป็นการเลี่ยง หรือถ้าพูดให้ตรงๆ ก็คือการพูดแบบ “เอาตัวรอด” เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ หรือถูกชาวบ้านที่ติดตามปัญหาอย่างรู้ทันด่าว่าเท่านั้นเอง
      
       เพราะเมื่อได้ยินคำชี้แจงจากฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะคำให้สัมภาษณ์ยืนยันของ พล.อ.เตีย บัญ กลับให้ข้อมูลไปในทางตรงกันข้ามว่า ฝ่ายไทยยินยอมให้เจ้าหน้าที่อินโดนีเซียเข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่ได้แล้ว
      
       อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร!!
      
       อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ ไม่ว่าจะเป็นคณะสำรวจ หรือว่า คณะผู้สังเกตการณ์ เข้ามาในพื้นที่ มันจะแตกต่างกันตรงไหน เพราะถ้าต่างกันก็คงจะเป็นเพียงแค่ “การเขียน” ต่างกันเท่านั้น เพราะบทบาทและหน้าไม่ได้ต่างกันแต่อย่างใด
      
       นอกจากนี้ อีกประเด็นหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีย้ำว่า หากทางฝ่ายกัมพูชาไม่ยอมถอนทหาร ถอนชุมชนออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรไปเสียก่อนก็ไม่ต้องมาคุยกันนั้น เป็นการพูดเรื่อยเปื่อย ทำราวกับว่าชาวบ้านคนที่ฟังอยู่นั้นมันไม่มีมันสมอง คิดตามไม่ทัน แม้ว่าอาจจะพูดไม่เก่ง โต้วาทีไม่คล่อง แต่รับรองว่าที่ผ่านมาได้เห็นความเป็นไปอยู่ตลอดเวลาว่า คำพูดกับการกระทำนั้นสวนทางกัน
      
       ที่ผ่านมาทางนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุนเซน ประกาศมาตลอดเวลาว่าไม่ยอมถอนทหารออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร รวมถึงไม่ยอมเจรจาแบบทวิภาคีกับไทยเป็นอันขาด นอกจากมีประเทศที่ 3 ร่วมอยู่ด้วย ซึ่งถ้าพิจารณาในความเป็นจริงแล้วคำพูดจากฝั่งโน้นยังพูดแล้วทำมากกว่าเสีย อีก
      
       สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ไม่ว่าจะเป็นคณะสำรวจหรือคณะสังเกตการณ์เข้ามาแล้ว ในฝั่งกัมพูชาจะต้องมายืนอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารใช่หรือไม่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง เท่ากับว่าเราสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียพื้นที่ตรงนั้นให้กับฝ่ายตรงข้ามไป แล้ว อย่างน้อยก็ต้องแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งไปให้เขาเรียบร้อยแล้ว และโอกาสที่จะขับไล่ออกไปทำไม่ได้อีกเลย
      
       คำพูดของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ยืนยันว่า หากทางฝ่ายกัมพูชาไม่ถอนทหารออกไปก่อนแล้ว จะไม่มีการเจรจากันนั้น ถ้าพิจารณาจากทุกเรื่องที่เคยพูด แล้วทุกอย่างล้วนออกมาในทางตรงกันข้าม ตั้งแต่เรื่องเอ็มโอยู 43 ที่บอกว่าจะทำให้กัมพูชาไม่ละเมิด สามารถเจรจาแบบทวิภาคีกันได้ จนในที่สุดก็เกิดการรุกล้ำข้ามแดนเข้ามา ต่อมาก็บอกว่าจะไม่ยอมให้อินโดนีเซียเข้ามา แล้วเป็นไง มาวันนี้กำลังจะมีการส่งเจ้าหน้าที่เข้ามากำหนดชี้พิกัดในพื้นที่
      
       นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องจับตากันต่อไปก็คือ ในวันที่ 25-26 พฤษภาคมนี้ ทางฝ่ายไทยสามารถเสนอให้คณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนวาระการพิจารณาอนุมัติแผน บริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารออกไปก่อนได้หรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบรอบด้านแล้วทำให้น่าเชื่อว่าเราคงทำไม่สำเร็จ แน่นอน เนื่องจากเวลานี้หากสำรวจไล่เรียงดูคณะกรรมการที่เห็นด้วยกับฝ่ายไทยมีไม่ ถึงครึ่ง ซึ่งส่วนสำคัญก็คือ เป็นเพราะเราเดินไม่ทันเกมฝ่ายกัมพูชา ตกเป็นฝ่ายรับตลอดเวลา
      
       ประเด็นที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ฝ่ายไทยได้ยอมรับในขอบเขตของศาลโลกในกรณีประสาทพระวิหารอีกครั้ง โดยเตรียมคณะทำงานว่าจ้างทนายความชาวฝรั่งเศสเพื่อต่อสู้คดีที่ฝ่ายกัมพูชา ยื่นเรื่องขอให้ตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ว่านอกจากตัวปราสาทพระวิหารแล้วยังครอบคลุมพื้นที่โดยรอบ 4.6 ตารางกิโลเมตรด้วยหรือไม่ ลองนึกภาพเอาก็แล้วกันว่าเราสุ่มเสี่ยงแค่ไหน เราจะได้เปรียบหรือไม่ ลักษณะที่เป็นอยู่ในเวลานี้เหมือนกับว่าเราตั้งรับ ถอยร่นพ่ายแพ้ในทุกแนวรบ เพียงแต่ว่าผู้นำ “ปากแข็ง” ไม่ยอมรับความผิด
      
       ดังนั้น การที่บอกว่าเจ้าหน้าที่อินโอนีเซียที่เข้ามานั้นเป็นเพียง “คณะสำรวจ” ไม่ใช่ผู้สังเกตการณ์ เป็นเพียงการกลบเกลื่อนความล้มเหลว เฉไฉแบบปัดให้พ้นตัวไปวันๆ ทั้งที่ในความเป็นจริงเราเสียท่า เสียดินแดนโดยเฉพาะพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ให้กัมพูชาอย่างถาวรแล้ว เพียงแต่รอประกาศจากคำสั่งศาลโลกเท่านั้น ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทยก็จะนำมาอ้างว่านี่เป็นคำสั่งศาล ไม่ใช่ความผิดพลาดของเอ็มโอยู 43!!

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง