 
          
    
  ในที่สุดเราก็ได้เห็นบุคลิกและวิธีพูดของนายกรัฐมนตรี 
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในแต่ละปัญหาได้อีกครั้ง เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมาให้เห็นอยู่เสมอ
      
       กรณีปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาก็เป็นตัวสะท้อนว่า บุคลิกลักษณะนิสัยของอภิสิทธิ์ แทบไม่แตกต่างจาก 
“ปลาไหล” ที่พร้อมจะใช้คำพูด
 “เฉไฉ” ออก
ไปได้ทุกมุม ไม่มีทางได้คำตอบคำยืนยันที่ชัดเจน 
ทั้งที่มีความจริงประจักษ์ให้เห็นแล้วว่าเขาล้มเหลว ทำผิดพลาด 
แต่ก็ยังใช้คำพูดวกวน แก้ตัวกันไปแบบน้ำขุ่นๆ
      
       นี่เป็นความสามารถเฉพาะตัว ที่แม้จะมองว่าจนมุมแล้ว 
แต่ก็พลิ้วบิดตัวออกไปได้ ทิ้งไว้แต่ความโมโหดาลเดือดให้กับคนที่รู้ทัน 
และติดตามเรื่องราวอยู่ทุกฝีก้าว
      
       ล่าสุด 
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้ออกมาเปิดเผยท่าทีล่าสุดของฝ่ายไทยต่อกรณีความขัด
แย้งกับกัมพูชา ในกรณีปัญหาชายแดน ทั้งในกรณีพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร 
4.6 ตารางกิโลเมตร เนื้อที่ประมาณเกือบ 3 พันไร่ 
รวมไปถึงกรณีการเสนอแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทของคณะกรรมการมรดกโลก
ของยูเนสโก โดยเฉพาะในเรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร 
ทางรัฐบาลได้เปิดทางให้ 
“คณะสำรวจ” ชาวอินโดนีเซียเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
      
       ตามคำพูดของนายกรัฐมนตรี 
บอกว่าเป็นผลมาจากการหารือของระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย คือ 
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกัมพูชา พล.อ.เตีย 
บัญ เมื่อวันที่ 16-18 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ประเทศอินโดนีเซีย
      
       
นายกรัฐมนตรีใช้คำว่า “คณะสำรวจ” อ้างว่าไม่ใช่ 
“คณะผู้สังเกตการณ์” เป็นพลเรือนเข้ามาดูจุดที่พักของคณะสังเกตุการณ์ 
มาตรวจสอบในพื้นที่เพียง 1-2 วันก็กลับไป อย่างไรก็ดี 
หากพิจารณาในเรื่องบทบาทแล้วมันก็ไม่ได้แตกต่างจากการทำหน้าที่เป็นผู้
สังเกตการณ์นั่นเอง เพียงแต่นี่คือการใช้คำพูดที่ทำให้เกิดความสับสน 
เป็นการเลี่ยง หรือถ้าพูดให้ตรงๆ ก็คือการพูดแบบ “เอาตัวรอด” 
เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ 
หรือถูกชาวบ้านที่ติดตามปัญหาอย่างรู้ทันด่าว่าเท่านั้นเอง
      
       เพราะเมื่อได้ยินคำชี้แจงจากฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะคำให้สัมภาษณ์ยืนยันของ 
พล.อ.เตีย บัญ กลับให้ข้อมูลไปในทางตรงกันข้ามว่า ฝ่ายไทยยินยอมให้เจ้าหน้าที่อินโดนีเซียเข้ามาเป็นผู้สังเกตการณ์ในพื้นที่ได้แล้ว
      
       
อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร!! 
      
       อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงแล้วสิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ 
ไม่ว่าจะเป็นคณะสำรวจ หรือว่า คณะผู้สังเกตการณ์ เข้ามาในพื้นที่ 
มันจะแตกต่างกันตรงไหน เพราะถ้าต่างกันก็คงจะเป็นเพียงแค่ “การเขียน” 
ต่างกันเท่านั้น เพราะบทบาทและหน้าไม่ได้ต่างกันแต่อย่างใด
      
       นอกจากนี้ อีกประเด็นหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีย้ำว่า 
หากทางฝ่ายกัมพูชาไม่ยอมถอนทหาร ถอนชุมชนออกจากพื้นที่ 4.6 
ตารางกิโลเมตรไปเสียก่อนก็ไม่ต้องมาคุยกันนั้น เป็นการพูดเรื่อยเปื่อย 
ทำราวกับว่าชาวบ้านคนที่ฟังอยู่นั้นมันไม่มีมันสมอง คิดตามไม่ทัน 
แม้ว่าอาจจะพูดไม่เก่ง โต้วาทีไม่คล่อง 
แต่รับรองว่าที่ผ่านมาได้เห็นความเป็นไปอยู่ตลอดเวลาว่า 
คำพูดกับการกระทำนั้นสวนทางกัน
      
       ที่ผ่านมาทางนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุนเซน 
ประกาศมาตลอดเวลาว่าไม่ยอมถอนทหารออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร 
รวมถึงไม่ยอมเจรจาแบบทวิภาคีกับไทยเป็นอันขาด นอกจากมีประเทศที่ 3 
ร่วมอยู่ด้วย 
ซึ่งถ้าพิจารณาในความเป็นจริงแล้วคำพูดจากฝั่งโน้นยังพูดแล้วทำมากกว่าเสีย
อีก
      
       
สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ 
ไม่ว่าจะเป็นคณะสำรวจหรือคณะสังเกตการณ์เข้ามาแล้ว 
ในฝั่งกัมพูชาจะต้องมายืนอยู่ในพื้นที่ 4.6 
ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารใช่หรือไม่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง 
เท่ากับว่าเราสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียพื้นที่ตรงนั้นให้กับฝ่ายตรงข้ามไป
แล้ว อย่างน้อยก็ต้องแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งไปให้เขาเรียบร้อยแล้ว 
และโอกาสที่จะขับไล่ออกไปทำไม่ได้อีกเลย 
      
       คำพูดของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ยืนยันว่า 
หากทางฝ่ายกัมพูชาไม่ถอนทหารออกไปก่อนแล้ว จะไม่มีการเจรจากันนั้น 
ถ้าพิจารณาจากทุกเรื่องที่เคยพูด แล้วทุกอย่างล้วนออกมาในทางตรงกันข้าม 
ตั้งแต่เรื่องเอ็มโอยู 43 ที่บอกว่าจะทำให้กัมพูชาไม่ละเมิด 
สามารถเจรจาแบบทวิภาคีกันได้ จนในที่สุดก็เกิดการรุกล้ำข้ามแดนเข้ามา 
ต่อมาก็บอกว่าจะไม่ยอมให้อินโดนีเซียเข้ามา แล้วเป็นไง 
มาวันนี้กำลังจะมีการส่งเจ้าหน้าที่เข้ามากำหนดชี้พิกัดในพื้นที่
      
       นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องจับตากันต่อไปก็คือ ในวันที่ 25-26 พฤษภาคมนี้
 
ทางฝ่ายไทยสามารถเสนอให้คณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนวาระการพิจารณาอนุมัติแผน
บริหารจัดการพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหารออกไปก่อนได้หรือไม่ 
แต่เมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบรอบด้านแล้วทำให้น่าเชื่อว่าเราคงทำไม่สำเร็จ
แน่นอน 
เนื่องจากเวลานี้หากสำรวจไล่เรียงดูคณะกรรมการที่เห็นด้วยกับฝ่ายไทยมีไม่
ถึงครึ่ง ซึ่งส่วนสำคัญก็คือ เป็นเพราะเราเดินไม่ทันเกมฝ่ายกัมพูชา 
ตกเป็นฝ่ายรับตลอดเวลา
      
       
ประเด็นที่น่าตกใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ 
ฝ่ายไทยได้ยอมรับในขอบเขตของศาลโลกในกรณีประสาทพระวิหารอีกครั้ง 
โดยเตรียมคณะทำงานว่าจ้างทนายความชาวฝรั่งเศสเพื่อต่อสู้คดีที่ฝ่ายกัมพูชา
ยื่นเรื่องขอให้ตีความคำพิพากษาเมื่อปี 2505 
ว่านอกจากตัวปราสาทพระวิหารแล้วยังครอบคลุมพื้นที่โดยรอบ 4.6 
ตารางกิโลเมตรด้วยหรือไม่ ลองนึกภาพเอาก็แล้วกันว่าเราสุ่มเสี่ยงแค่ไหน 
เราจะได้เปรียบหรือไม่ ลักษณะที่เป็นอยู่ในเวลานี้เหมือนกับว่าเราตั้งรับ 
ถอยร่นพ่ายแพ้ในทุกแนวรบ เพียงแต่ว่าผู้นำ “ปากแข็ง” ไม่ยอมรับความผิด 
      
       ดังนั้น 
การที่บอกว่าเจ้าหน้าที่อินโอนีเซียที่เข้ามานั้นเป็นเพียง “คณะสำรวจ” 
ไม่ใช่ผู้สังเกตการณ์ เป็นเพียงการกลบเกลื่อนความล้มเหลว 
เฉไฉแบบปัดให้พ้นตัวไปวันๆ ทั้งที่ในความเป็นจริงเราเสียท่า 
เสียดินแดนโดยเฉพาะพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ให้กัมพูชาอย่างถาวรแล้ว 
เพียงแต่รอประกาศจากคำสั่งศาลโลกเท่านั้น 
ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทยก็จะนำมาอ้างว่านี่เป็นคำสั่งศาล 
ไม่ใช่ความผิดพลาดของเอ็มโอยู 43!!