บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

MOU43-แผนที่ 1:2แสน โมฆะ! 'ฮุนเซน' ขัดรธน.กัมพูชา ( ในที่สุดก็ลงข่าวกันซะที )

MOU43-แผนที่ 1:2แสน โมฆะ! 'ฮุนเซน' ขัดรธน.กัมพูชา



อยากเลือกตั้งก็ ไม่ว่า แต่มีพรรคใดประกาศสัญญาประชาคมจะปกป้องอธิปไตยหนักแน่นบ้าง อยากสู้คดีในศาลโลกก็ไม่ว่า แต่ประเด็นและหลักฐานอ่อนเหลือเกิน

รัฐบาลไทยอยากจะไปสู้ข้อกล่าวหารัฐบาลกัมพูชา ณ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (IJC) หรือศาลโลก ให้ปากคำปากเปล่า วันที่ 30-31 พฤษภาคมที่จะถึง ซึ่งกัมพูชาอ้างว่าเพื่อตีความเพิ่มเติมในคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505
แต่มีนักวิชาการกฎหมายชี้ว่า เป็นประเด็นใหม่ เท่ากับการยื่นฟ้องใหม่ ซึ่งต้องห้าม เพราะคำตัดสินศาลโลกถือเป็นที่สุด 
ตลอดมาคนมีหน้าที่เกี่ยวข้องปล่อยปละ ทั้งด้านเอกสาร ละเลยทางปฏิบัติ ปล่อยให้ทหารกับชุมชนกัมพูชาเข้ายึดดินแดนไทยอยู่อาศัย ส่วนวาจาก็ไม่อยู่กับร่องแนวถูกต้อง ทางทหารก็ไม่ระงับยับยั้งอย่างทันท่วงที และชิงความได้เปรียบในยุทธภูมิ จึงขอไล่เรียงสถานการณ์อย่างรวบรัด ดังนี้
1) ไทย-กัมพูชาทำบันทึกความเข้าใจร่วมกัน พ.ศ.2543(เอ็มโอยู 43) แนบท้ายแผนที่ระวางดงรัก มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน ครอบคลุมเขาพระวิหาร 4.6 ตร.กม. 2) รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช โดยรัฐมนตรีต่างประเทศ(นพดล ปัทมะ) ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมไทย-กัมพูชา ยอมรับแผนที่ดังกล่าว แต่ศาลไทยตัดสินเป็นโมฆะ เพราะไม่ผ่านรัฐสภาเห็นชอบ 3) สถานการณ์ตึงเครียดยิงสู้รบด้านเขาพระวิหารเป็นระยะ กระทั่งปืนใหญ่เขมรถล่ม ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ 4) กัมพูชาร้องเรียนคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ๆ มีมติให้อาเซียนไกล่เกลี่ย 5) ทหารกัมพูชาจับ 7 คนไทยบีบคั้นให้รับสารภาพตัดสินมีความผิดฐานรุกล้ำกัมพูชา ต้องรับโทษจำคุกและปรับ อีก 2 คนถูกตัดสินมีความผิดเพิ่มรวม 3 ข้อหาหนัก แต่ยื้อยุดจนหมดระยะอุทธรณ์ต้องติดคุกเขมรมาเกือบ 5 เดือน 
6) รัฐบาลไทยส่งร่างบันทึกคณะกรรมาธิการร่วมชายแดนไทย-กัมพูชา(เจบีซี) 3 ฉบับเข้าสู่รัฐสภาหลายครั้ง แต่สุดท้ายต้องถอนออกไป 7) เกิดร่าง ทีโออาร์ ให้อินโดนีเซียมาสังเกตการณ์การสู้รบบนเขาพระวิหาร 8) เกิดสู้รบตลอดชายแดนด้านสุรินทร์ บุรีรัมย์ ทหารไทยพลีชีพ 9 นาย บาดเจ็บมากกว่า 130 นาย ชาวบ้านอพยพกว่า 4.5 หมื่นคน ชาวบ้านถูกระเบิดเสียชีวิต 1 ป่วยเสียชีวิตช่วงอพยพอีก 3 คน บาดเจ็บจำนวนหนึ่ง บ้านเรือน สถานที่รัฐเสียหาย และยังมียิงตอบโต้กันเรื่อย ๆ ทำให้คนไทยชายแดนที่อยู่รักษาสิทธิในดินแดน เดือดร้อน ทุกข์ใจไม่หยุดหย่อน
นี่เป็นเหตุและผลสืบเนื่องกัน แต่น่าแปลกใจ รัฐบาลไทยรักษาการณ์อยากจะไปสู้ในศาลโลก ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เป็นภาคีแล้ว และแม้เป็นภาคีก็มีสิทธิปฏิเสธเหมือนหลาย ๆ ประเทศ  
ฝ่ายไทยตั้งทีมกฎหมายมอบให้ นายวีระชัย พลาศรัย อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญา เป็นหัวหน้าคณะสู้คดีกับกัมพูชา
จะสู้คดีก็ไม่ว่า แต่ทำไม ไม่สู้ประเด็น เอ็มโอยู 43 เป็นโมฆะ แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ใช้ไม่ได้กับประเทศไทย
ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ เคยชี้ว่า MOU 43 เป็นเพียงข้อตกลงกับต่างประเทศของฝ่ายบริหาร (The International Executive Agreement) และสิ้นผลไปแล้วตั้งแต่นายชวน หลีกภัย สิ้นสุดเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่อาจส่งต่อไปสู่ฝ่ายบริหารชุดต่อไป
หรือถ้าจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญไทย ตีความว่าเป็นเรื่องดินแดน อธิปไตย ก็มิได้ขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา 224 รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 หรือรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 มาตรา 190
หันมาดูฝ่ายนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ยัดเหยียดแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนในเอ็มโอยู 43 ก็กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญสูงสุดของกัมพูชาเสียเอง ซึ่งระบุว่า
มาตรา 2 บูรณภาพภาพดินแดนของราชอาณาจักรกัมพูชาไม่อาจถูกละเมิดได้เด็ดขาด ในเขตแดนของตนที่มีกำหนดในแผนที่ขนาดมาตราส่วน 1 /100,000 ทำในระหว่างปี ค.ศ.1933-1953(พ.ศ.1476-2496) และได้รับการยอมรับอย่างเป็นสากลระหว่างปี ค.ศ. 1963 – 1969(พ.ศ.2506-2512)
[Article 2 : The territorial integrity of the Kingdom of Cambodia shall never beviolated within its borders as defined in the 1/100.000 scale map made between the years 1933-1953, and internationally recognized between the years 1963-1969] (โปรดดูประกอบด้วยถ้อยคำในภาษาเขมร)
เมื่อนานาชาติเข้ามาไกล่เกลี่ยสงครามกลางเมืองกัมพูชาได้แล้ว ก็ยกหลักการกฎบัตรระหว่างประเทศแทบทุกด้านที่ศิวิไลซ์มาใส่ในรัฐธรรมนูญกัมพูชา หวังจะให้เป็นหลักประกันความสงบสุข แต่ความจริงยังถูกละเมิดเกือบทุกด้าน รวมทั้งหลักประกันทางความผิดอาญาต่อพลเมืองชาวกัมพูชา ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นจริง และเทียบเคียงกับกรณีกระทำต่อนายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ผู้ถูกคุมขังต่างชาติด้วย
ในมาตรา 38 บัญญัติว่า กฎหมายรับรองไม่ให้มีการกระทำละเมิดต่อร่างกายของบุคคลกฎหมายป้องกันชีวิต เกียรติยศ และความมีศักดิ์ศรีของประชาชน รัฐธรรมนูญกัมพูชาการ กล่าวหา การจับกุมตัว การกักตัว หรือการคุมขังคนใดคนหนึ่ง จะกระทำไปได้ ตราบใดปฏิบัติถูกต้องตามบัญญัติของกฎหมายการบังคับขู่เข็ญ การทำร้ายร่ายกาย หรือการกระทำใด ๆ ที่เพิ่มน้ำหนักการทำโทษที่ปฏิบัติต่อคนถูกคุมขัง หรือคนจำคุก จะถูกห้ามไม่ให้ทำ คนที่ลงมือทำ คนที่ร่วมลงมือและคนสมรู้ร่วมคิด จะต้องได้รับโทษตามกฎหมายการรับสารภาพที่เกิดขึ้นจากการบังคับขู่เข็ญทาง ร่างกายก็ตาม ทางใจก็ตาม ไม่ถือเป็นหลักฐานของความผิดข้อสงสัยที่มีเหตุผล ต้องได้เป็นประโยชน์แก่ผู้ต้องหาผู้ต้องหาคนใดก็ตาม ให้ถือว่าเป็นคนไม่มีโทษ ตราบใดศาลยังไม่ได้พิพากษาลงโทษสิ้นสุดกระบวนความคนทุกคนมีสิทธิป้องกันตัว ในทางศาล
ย้อนกลับมาเรื่องการแสดงอธิปไตยเหนือ ดินแดน โดยเฉพาะผู้บริหารประเทศไทยต้องชัดเจนว่า กัมพูชา นำบันทึก MOU 43 ไปใช้ในเวทีนานาชาติไม่ได้เลย เพราะ MOU43 ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอาญาประเทศไทย และกฎหมายกัมพูชา เหมือนกัน
อีกทั้ง พ.ศ.2541 ไทยออกพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าฝั่งซ้ายลำโดมใหญ่ ต.โซง อ.น้ำยืน ต.โคกสะอาด กิ่ง อ.น้ำขุ่น อ.น้ำยืน อุบลราชธานี และป่าเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เป็นอุทยานแห่งชาติ แผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกา มาตราส่วน 1 : 50,000 (ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 115 ตอนที่ 14 ก. วันที่ 20 มีนาคม 2541)
อีกอย่าง จุดสู้รบล่าสุด บริเวณปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาเมือนโต๊ด ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของรัฐไทย เมื่อ 8 มีนาคม 2478 (ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 52 หน้าที่ 3712 วันที่ 8 มีนาคม 2478)

ถ้ายังจะใช้ MOU43 และแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 นั่นย่อมหมายความว่า ไทยยกเลิกเขตแดนและสละสิทธิอธิปไตยบนดินแดนเดิมตามแผนที่ 1:50,000 กระนั้นหรือ
ที่ดันทุรัง กระทำอย่างต่อเนื่อง ย่อมขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ และจะเข้าข่ายมีความผิดฐานกบฏทำให้ประเทศไทยต้องเสียอธิปไตยดินแดน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119, 120
ข้อพิพาทนำไปสู่การสู้รบ สะท้อนให้เห็นว่า นายกฮุน เซน ไร้มาตรฐานทางกฎหมาย ไร้มาตรฐานคุณธรรม จริยธรรม ซึ่งคณะรัฐมนตรีประเทศไทย กลับเดินตามรอยอย่างหน้าตาเฉย
อยากเลือกตั้งกันก็ไม่ว่า แต่อยากถาม มีพรรคไหนประกาศนโยบายชัด ๆ เป็นสัญญาประชาคม ต่อเรื่องเอกราช อธิปไตย รักษาปกป้องคนไทยตามแนวชายแดนที่ทุกข์ทนกับการสู้รบ ประกาศช่วยคนไทยถูกจับกุมขังในคุกเขมรอย่างจริงจังบ้าง
ยกเว้น"ทักษิณ" หยิบขึ้นมาหาเสียง ก็เสมือนเอาดินแดน และชีวิตคนไทยเป็นแค่ตัวประกันเท่านั้นเอง.

กรุงเทพธุรกิจ

ระทึกไทยขู่ถอนตัว ภาคีมรดกโลก

“สุ วิทย์”ทิ้งไพ่ใบสุดท้ายประกาศพร้อมถอนตัวภาคีมรดกโลก  เหตุเจรจาร่างข้อมติร่วมไทย-กัมพูชาเหลว  รับไม่ได้ศูนย์มรดกโลกเสนอร่างเองเสี่ยงเสียดินแดนไม่ต่างกัน 
วัน ที่ 24 มิ.ย. เมื่อเวลา  18.11 น. นายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนการเจรจามรดกโลกฝ่ายไทย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดถึงความคืบหน้าการประชุมคณะ กรรมการมรดกโลกครั้งที่ 35 ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ว่า  วันนี้ได้มีการเจรจาถึงการหารือร่างข้อมติร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาอีกครั้ง โดยมี ผอ.ศูนย์มรดกโลกร่วมด้วย ซึ่งทั้งไทยและกัมพูชาเสนอร่างขอมติร่วมเข้าไปคนละฉบับ  แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังหามติร่วมกันไม่ได้   โดยเราเห็นว่าร่างข้อมติร่วมของทางฝ่ายกัมพูชาสุ่มเสี่ยงต่อการทำให้ไทยเสีย ดินแดนและอธิปไตย  ดังนั้นนาย คีชอร์ ราว   (Kishore Rao)  ผอ.ศูนย์มรดกโลก จึงเสนอว่าขอเสนอร่างข้อมติร่วมของศูนย์มรดกโลกเข้าพิจารณาก่อน ซึ่งเราก็ขอดูร่างดังกล่าวก่อนแล้วพบว่าร่างของศูนย์มรดกโลกนี้ก็สุ่มเสี่ยง ต่อการสูญเสียดินแดนและอำนาจอธิปไตย จึงยืนยันว่าเราจะไม่รับร่างดังกล่าวนี้เช่นกัน และขอแสดงความเสียใจหากศูนย์มรดกโลกยังดันทุรังจะพิจารณาร่างมตินี้ พร้อมทั้งแสดงความเสียใจที่อาจจะต้องขอประกาศถอนตัวจากการเป็นภาคีอนุสัญญา ว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกด้วย  จะทราบความชัดเจนอีกประมาณ 2 ชั่วโมงนับจากนี้ คือเวลา 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นในประเทศฝรั่งเศส ตรงกับเวลา 21.00 น. ของวันที่ 24 มิ.ย. ตามเวลาในประเทศไทย
 
เดลินิวส์

นายกฯมั่นใจมรดกโลกเลื่อนเคาะแผนเขมร


Pic_181464 นายกฯมั่นใจมรดกโลกเลื่อนเคาะแผนเขมร คงไม่มีปัญหา แต่การเขียนร่างข้อมติข้ออื่นๆ อาจมีบางประเด็นที่ต้องช่วยกันดูในเรื่อง ถ้อยคำว่าจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่ ซึ่งตนเข้าใจว่ากัมพูชาคงกังวลคล้ายๆ กัน...

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 24 มิ.ย. ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีการพิจารณาเกี่ยวกับปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา ในเรื่องปราสาทพระวิหาร ว่า ล่าสุดมีการส่งร่างข้อมติกลับไปมา ซึ่งตนได้เห็นร่างที่ฝ่ายไทยยืนยันไปเมื่อคืนวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา และคาดว่าจะสามารถนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในวันนี้(24 มิ.ย.) ซึ่งในช่วงเย็น ตนจะรอรับรายงานว่าผลเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ตนดูโดยหลักการแล้วเห็นว่าการที่คณะกรรมการฯจะตัดสินใจเลื่อนการพิจารณาแผน บริหารจัดการพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารนั้น คงไม่มีปัญหา แต่การเขียนร่างข้อมติข้ออื่นๆ อาจมีบางประเด็นที่ต้องช่วยกันดูในเรื่อง ถ้อยคำว่าจะมีผลกระทบอะไรหรือไม่ ซึ่งตนเข้าใจว่ากัมพูชาคงกังวลคล้ายๆ กัน

เมื่อ ถามว่า ดูเหมือนในถ้อยคำของร่างข้อมติของฝ่ายกัมพูชามีการกล่าวหาว่าไทยรุกราน กัมพูชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นั่นคือร่างที่เขาเสนอ ซึ่งเราไม่ยอมรับอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าทั้ง 2 ประเทศน่าจะได้ข้อยุติที่ตรงกัน โดยเราหวังว่าในวันนี้น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งในขณะนี้น่าจะเป็นไปในทางที่ดี เพราะตนได้ดูจากร่างข้อมติต่างๆ ที่ออกมา ยกเว้นร่างที่กัมพูชาเขียนขึ้น ทั้งนี้ ทิศทางของร่างมติน่าจะเลื่อนการพิจารณาแผนดังกล่าว เพียงแต่ให้มีการยอมรับถึงความจำเป็นที่ต้องมีการหาแนวทางการอนุรักษ์ตัว ปราสาทฯ ซึ่งเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการมรดกโลกอยู่แล้ว ส่วนเรื่องของการส่งคนเข้าทำเรื่องดังกล่าวยังไม่มีการระบุถึง อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนต่อไปเป็นเรื่องที่ทั้ง 2 ประเทศต้องพูดคุยกันในกรอบทวิภาคี เมื่อถามต่อว่ายังไม่ถึงขั้นที่จะให้คณะกรรมการมรดกโลกมาเป็นตัวกลางใช่หรือ ไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่มีอะไรเจาะจงอย่างนั้น แต่ถ้าเขาจะมาอำนวยความสะดวก เราก็ไม่ขัดข้อง.

เก็บตก บรรยากาศหน้า UNESCO






















แผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร: ปัญหาและข้อเสนอแนะ

คณะกรรมการมรดกโลกในสมัยประชุมที่ 32 ณ เมืองควิเบก ประเทศแคนนาดา  เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ได้มีมติที่ 32 COM 8B.102  ให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก  โดยให้กัมพูชาส่งแผนบริหารจัดการฉบับสมบูรณ์พร้อมทั้งแผนที่ฉบับสรุปสุดท้ายให้ศูนย์มรดกโลกภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553  ถึงแม้คณะผู้แทนฝ่ายไทยได้คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกต่อคณะกรรมการมรดกโลกทั้งในสมัยประชุมดังกล่าวและในสมัยประชุมที่ 33  ณ  เมืองเซบีญา  ประเทศสเปน  แต่ไม่บังเกิดผล   กัมพูชาได้ยื่นรายงานสถานการณ์อนุรักษ์ปราสาทพระวิหารพร้อมแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารต่อศูนย์มรดกโลกเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553  เพื่อให้คณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาอนุมัติในการสมัยประชุมที่ 34  ณ เมืองบราซิเลีย  ประเทศบราซิล ช่วงวันที่  25 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553  แต่ปรากฏว่าศูนย์มรดกโลกได้จัดทำเอกสาร WHC-10/34.COM/7B.Add.3  ซึ่งรายงานสรุปสถานการณ์อนุรักษ์ปราสาทพระวิหารตาม   รายงานของกัมพูชาและส่งให้กรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องในวันที่  27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553  ทั้งๆ ที่ตามกฎขั้นตอนการปฏิบัติของคณะกรรมการมรดกโลกในข้อ 45  ได้กำหนดให้เอกสารที่เกี่ยวกับวาระการประชุมต้องส่งให้กรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยหกสัปดาห์ก่อนเริ่มสมัยการประชุม  ไทยซึ่งมีนายสุวิทย์  คุณกิตติ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนได้ขอให้ที่ประชุมเลื่อนการพิจารณาเอกสารดังกล่าวออกไปก่อน  โดยมีเหตุผลที่สำคัญคือแผนบริหารจัดการที่กัมพูชาเสนอมีการกำหนดเขตกันชน (Buffer zone) ที่ไม่ชัดเจนซึ่งอาจรุกล้ำเข้ามาในเขตไทย  จึงควรรอให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC)  ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในบริเวณดังกล่าวให้เสร็จสิ้นก่อน   ในขณะที่กัมพูชาซึ่งมีนายซกอานเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนยืนยันให้ที่ประชุมพิจารณาอนุมัติแผนบริหารจัดการดังกล่าว  ซึ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้  ในที่สุดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553  ประธานกรรมการมรดกโลกชาวบราซิลได้เข้ามาไกล่เกลี่ยจนทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้โดยให้เลื่อนการพิจารณาเอกสารดังกล่าวไปในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งต่อไป ในวันที่ 25–27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554  ได้มีการประชุมหารือระหว่างไทยกับกัมพูชาที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโก  กรุงปารีส  ในเรื่องแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร  แต่ก็ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ  ได้  ถึงแม้นางอิรินา โบโควา  ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกได้เข้ามาช่วยเรื่องการเจรจาของทั้งสองฝ่ายก็ตาม  ดังนั้นเรื่องดังกล่าวจึงขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก  ในสมัยประชุมที่ 35  ณ กรุงปารีส  ประเทศฝรั่งเศส  ช่วงวันที่  19–29 มิถุนายนพ.ศ. 2554   โดยเรื่องปราสาทพระวิหารได้จัดอยู่ในวาระที่  7B  ลำดับที่  62  และคาดว่าคณะกรรมการมรดกโลกจะพิจารณาเรื่องกล่าวในวันที่  23  หรือ  24   มิถุนายนนี้    แผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาเสนอนั้นได้จัดทำโดย ดร.ดิเวย์  กัพต้า  ชาวอินเดียซึ่งเป็นสถาปนิกการอนุรักษ์และผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการมรดก  และเคยได้รับมอบหมายจาก ICOMOS ในการเตรียมรายงาน 2007 ICOMOS การประเมินการเสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก  เป็นที่น่าสังเกตว่าแผนบริหารจัดการนี้ไม่ได้จัดทำโดยชาวกัมพูชา  ทั้งๆ ที่กัมพูชาอ้างตลอดมาว่าปราสาทพระวิหารเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศตน  แต่กลับให้ชาวอินเดียเป็นผู้จัดทำแผนให้   แผนบริหารจัดการดังกล่าวแบ่งออกเป็น 7 บท  มีจำนวนทั้งหมด 115 หน้า  และมีเนื้อหาเฉพาะส่วนที่สำคัญที่เกี่ยวกับประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องเขตแดนดังต่อไปนี้     บทที่ 1 ความเป็นมาและวิธีการ  มีข้อความในข้อ 1.1 ความเป็นมา หน้าที่ 2  กล่าวว่า  “ภายใต้สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม  ค.ศ. 1904 และ 1907  เส้นเขตแดนระหว่างกัมพูชากับไทยตามเทือกเขาดงรักได้ถูกกำหนดขึ้น  ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1963  ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่กรุงเฮก  ปราสาทพระวิหารและบริเวณข้างเคียงได้กลับมาอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา”  ข้อความดังกล่าวอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามีความชัดเจน  และทั้งสองประเทศไม่มีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนในบริเวณปราสาทพระวิหารแต่อย่างใด  ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคณะผู้แทนฝ่ายไทยที่จะต้องชี้แจงให้คณะกรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้   บทที่ 2  มรดกทางวัฒนธรรมและความสำคัญของปราสาทพระวิหาร  มีข้อความในข้อ 2.3 สถาปัตยกรรมของปราสาทพระวิหาร  หน้าที่ 9  ตอนหนึ่งกล่าวว่า  “ปราสาทสามารถเข้าถึงได้สองทางโดยผ่านบันไดใหญ่  ทางหนึ่งจากทิศตะวันออก  และอีกทางหนึ่งจากทิศเหนือ”  จะเห็นว่าผู้จัดทำแผนเขียนในลักษณะที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่ามีบันไดทางขึ้นใหญ่สองทาง  โดยเลือกที่จะกล่าวถึงบันไดทางทิศตะวันออกก่อนบันไดทางทิศเหนือ  ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าบันไดทางทิศตะวันออกเป็นบันไดทางขึ้นหลัก  แต่ที่จริงแล้วบันไดทางทิศตะวันออกเป็นทางขึ้นที่เรียกกันว่า “ช่องบันไดหัก”  โดยเป็นบันไดหินที่มีขนาดเล็กและทางขึ้นโดยบันไดดังกล่าวมีความสูงชันมาก  ใช้เป็นทางขึ้นมาจากฝั่งเขมรต่ำซึ่งก็คือกัมพูชาในปัจจุบัน  บันไดทางทิศเหนือต่างหากที่เป็นบันไดทางขึ้นหลักซึ่งมีขนาดใหญ่และอยู่ด้านหน้าตัวปราสาท  บันไดดังกล่าวเป็นบันไดหินช่วงแรกกว้างถึง 8 เมตร และยาว 78.50 เมตร  ช่วงที่สองกว้าง 4 เมตร และยาว 27 เมตร   บันไดดังกล่าวใช้เป็นทางขึ้นจากฝั่งไทย  คณะผู้แทนฝ่ายไทยควรเสนอให้ปรับปรุงเอกสารในประเด็นดังกล่าวให้ตรงกับข้อเท็จจริง  และสร้างความเข้าใจในเรื่องบันไดทางขึ้นปราสาทพระวิหารให้กับคณะกรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะจะช่วยทำให้เกิดคำถามว่าแล้วทำไมปราสาทพระวิหารจึงเป็นของกัมพูชาในเมื่อทางขึ้นหลักมาจากฝั่งไทย  อันจะเป็นประโยชน์ต่อการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกต่อไป  บทที่ 3  ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ  มีการกำหนดวิสัยทัศน์ในข้อ 3.1 หน้าที่ 31  โดยกำหนดบางส่วนว่า  “เข้าถึงได้ทุกคน”  และ “เพื่อสนับสนุนสันติภาพ”  แต่ปรากฏว่าหลังจากปราสาทพระวิหารได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว  ในช่วงที่กัมพูชาเปิดปราสาทพระวิหารให้บุคคลทั่วไปเข้าเยี่ยมชมได้  กัมพูชากลับไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าเยี่ยมชมปราสาทพระวิหาร  ซึ่งขัดกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดในเรื่อง  “เข้าถึงได้ทุกคน”       และยิ่งไปกล่าวนั้นการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกยังเป็นต้นเหตุให้เกิดการความขัดแย้งและการสู้รบกันระหว่างไทยกับกัมพูชาในบริเวณเขาพระวิหารและบริเวณใกล้เคียง  จนมีผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นทหารและพลเรือนทั้งไทยและกัมพูชาจำนวนมาก  นอกจากนี้ในบางครั้งกัมพูชายังใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานที่ตั้งของกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อต่อสู้กับไทย  ซึ่งขัดกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดในเรื่อง “เพื่อสนับสนุนสันติภาพ”  อย่างชัดเจน  คณะผู้แทนฝ่ายไทยจึงควรยกประเด็นดังกล่าวซึ่งขัดกับวิสัยทัศน์ที่กัมพูชาได้กำหนด  ให้คณะกรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบโดยทั่วกัน  และเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการแก้ไข    บทที่ 4  การบ่งชี้ประเด็นและข้อแนะนำ  มีข้อความในข้อ 4.1  ทรัพย์สินของสถานที่  หน้าที่ 40  กล่าวบางส่วนว่า  “สถานที่มรดกโลกที่ได้ขึ้นทะเบียนได้ถูกแสดงใน RGPP  ที่ล้อมปิดดังแสดงในหน้า 52  เขตที่แตกต่างตามที่แสดงใน RGPP เป็นเขตชั่วคราว  เพื่อสะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันของสถานที่”      และ “อย่างไรก็ตามกันชนไม่ได้รวมพื้นที่ทางทิศเหนือและตะวันตกของปราสาท  นี้ควรได้รับพิจารณาอย่างชั่วคราวเพราะการกำหนดเขตแดนขั้นสุดท้ายของกันชนจะได้ถูกกำหนดตามผลของ JBC ระหว่างกัมพูชากับไทย”  RGPP (Revised Graphic Plan of the Property)  ที่กล่าวถึงนั้น  เป็นแผนผังเดิมที่กัมพูชาได้ยื่นต่อศูนย์มรดกโลก  และคณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาแล้วตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2551 ในสมัยประชุมที่ 32  และได้มีมติที่ 32 COM 8B.102  ให้กัมพูชาส่งแผนบริหารจัดการฉบับสมบูรณ์พร้อมทั้งแผนที่ฉบับสรุปสุดท้ายให้ศูนย์มรดกโลกภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553   แต่จนถึงปัจจุบันกัมพูชาก็ยังไม่ได้ส่งแผนที่ฉบับสรุปสุดท้ายดังกล่าว  และยังคงใช้แผนผัง  RGPP  อ้างอิงแทนแผนที่ในแผนบริหารจัดการฉบับนี้    ในแผนผัง  RGPP นั้น  ได้มีการกำหนดเขตกันชนโดยใช้เพียงสัญญาลักษณ์เลข 2  แทนโดยไม่มีการลากเส้นแสดงอาณาเขตใดๆ ทั้งสิ้น  ซึ่งหากดูจากแผนผัง  RGPP  จะพบว่าเขตกันชนที่กำหนดไม่มีความชัดเจนเลย  จึงไม่ทราบได้ว่าครอบคลุมถึงพื้นที่บริเวณใดบ้าง  และรุกล้ำเข้ามาในเขตไทยหรือไม่  ดังนั้นคณะผู้แทนฝ่ายไทยจึงไม่ควรรับแผนบริหารจัดการดังกล่าว  และควรเสนอให้คณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนการพิจารณาแผนการบริหารจัดการดังกล่าวไปก่อนจนกว่ากัมพูชาจะได้จัดทำแผนที่ฉบับสรุปสุดท้ายตามมติที่ 32 COM 8B.102  ที่มีการกำหนดเขตต่างๆ ในแผนที่ให้มีความละเอียดถูกต้องชัดเจน  หลังจาก JBC ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในบริเวณดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว    นอกจากนี้คณะผู้แทนฝ่ายไทยควรใช้ประโยชน์ข้อความดังกล่าวข้างต้น  ชี้ให้คณะกรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักว่า  กัมพูชาเองก็ได้ยอมรับว่าบริเวณปราสาทพระวิหารยังมีความไม่ชัดเจนของเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา  และต้องรอจนกว่า JBC จะได้กำหนดเขตแดนในบริเวณดังกล่าวให้เสร็จสิ้นก่อน บทที่ 5 การอนุรักษ์และโบราณคดี – การประเมินและยุทธ์ศาสตร์  มีข้อความในข้อ 5.4 การประเมินและการแทรกแซงเพื่อการอนุรักษ์  หน้าที่ 75  กล่าวตอนหนึ่งถึงบันไดใหญ่และลานนาคราช  รวมทั้งตลาดและสระน้ำ  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า  ผู้จัดทำแผนได้ยอมรับว่าบันไดทางขึ้นทางทิศเหนือเป็นบันไดทางขึ้นหลักซึ่งมีความยิ่งใหญ่  แต่ผู้จัดทำแผนให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนขั้นของบันไดผิด  สำหรับตลาดที่กล่าวถึงน่าจะหมายถึงตลาดที่ตั้งอยู่ในฝั่งไทยก่อนถึงบันไดทางขึ้นดังกล่าว  ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วตลาดนี้ชุมชนกัมพูชาพึ่งเริ่มเข้ามาตั้งร้านค้าเพื่อขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวในปี พ.ศ. 2541  ไม่ได้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณอย่างที่ผู้จัดทำแผนเข้าใจ  ส่วนสระน้ำที่กล่าวถึงน่าจะหมายถึงสระตราวซึ่งเป็นสระน้ำอยู่ในฝั่งไทย  โดยสระตราวนี้ถือว่าอยู่ในกลุ่มโบราณสถานประกอบของปราสาทพระวิหารที่อยู่ในฝั่งไทย เช่นเดียวกับ  ผามออีแดง  สถูปคู่  และแหล่งตัดหินที่ไปสร้างปราสาท  เป็นต้น  แต่ผู้จัดทำแผนกลับไม่ได้ให้ความสำคัญแก่สระตราว  และส่วนประกอบอื่นๆ ที่อยู่ในฝั่งไทยเลย  สิ่งที่กล่าวทั้งหมดข้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้จัดทำแผนยังมีความรู้และความเชี่ยวชาญไม่เพียงพอเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารและเขาพระวิหาร  คณะผู้แทนฝ่ายไทยควรเสนอให้ปรับปรุงเอกสารในส่วนนี้ให้ตรงกับข้อเท็จจริง      บทที่ 6  การดำเนินการแผนงาน   มีข้อความในข้อ 6.1 การคุ้มครองที่บัญญัติตามกฎหมาย  หน้าที่ 97  กล่าวถึงกฎหมายต่างๆ ที่กัมพูชาประกาศใช้สำหรับการคุ้มครองปราสาทพระวิหารและบริเวณโดยรอบ  ดังนั้นหากไทยยอมรับแผนบริหารจัดการนี้  กัมพูชาอาจนำมากล่าวอ้างได้ว่าไทยยอมรับสิ่งที่กฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติไว้ได้       จากการตรวจสอบพบว่า  พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งสถานที่ปราสาทพระวิหาร  ค.ศ. 2003  อนุกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งป่าที่คุ้มครองสำหรับการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชและสัตว์ “พระวิหาร”  ค.ศ. 2002  และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดขอบเขตของสถานที่ปราสาทพระวิหาร  ค.ศ. 2006     มีการกำหนดอาณาเขตที่ล่วงล้ำเข้ามาในเขตไทย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดขอบเขตของสถานที่ปราสาทพระวิหาร ค.ศ. 2006  ในมาตรา 4  ได้กำหนดเขต 1  เขต 2  และเขต 3  ตามแผนที่ประกอบที่เกินเข้ามาในเขตไทยอย่างชัดเจน  คณะผู้แทนฝ่ายไทยจึงควรยกประเด็นนี้เป็นเหตุผลประกอบการคัดค้านแผนบริหารจัดการดังกล่าว   บทที่ 7  โปรแกรมที่เสนอสำหรับการปฏิบัติ  ในบทนี้ไม่มีเนื้อหาส่วนที่สำคัญที่เกี่ยวกับประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องเขตแดน   ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านโดยทั่วไปที่จะได้ทราบถึงรายละเอียดที่สำคัญของแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารในส่วนที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องเขตแดน  รวมทั้งหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่คณะผู้แทนฝ่ายไทยในนำไปใช้ประกอบการคัดค้านแผนบริหารจัดการดังกล่าวในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกต่อไป   (โดย ดร.สุวันชัย  แสงสุขเอี่ยม อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  suwanchai.ss@gmail.com ) Notice: Undefined index: subcatid in /mnt/public_html/news_detail.php on line 200

แผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร: ปัญหาและข้อเสนอแนะ

คณะกรรมการมรดกโลกในสมัยประชุมที่ 32 ณ เมืองควิเบก ประเทศแคนนาดา  เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ได้มีมติที่ 32 COM 8B.102  ให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก  โดยให้กัมพูชาส่งแผนบริหารจัดการฉบับสมบูรณ์พร้อมทั้งแผนที่ฉบับสรุปสุดท้ายให้ศูนย์มรดกโลกภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553  ถึงแม้คณะผู้แทนฝ่ายไทยได้คัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกต่อคณะกรรมการมรดกโลกทั้งในสมัยประชุมดังกล่าวและในสมัยประชุมที่ 33  ณ  เมืองเซบีญา  ประเทศสเปน  แต่ไม่บังเกิดผล   กัมพูชาได้ยื่นรายงานสถานการณ์อนุรักษ์ปราสาทพระวิหารพร้อมแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารต่อศูนย์มรดกโลกเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553  เพื่อให้คณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาอนุมัติในการสมัยประชุมที่ 34  ณ เมืองบราซิเลีย  ประเทศบราซิล ช่วงวันที่  25 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553  แต่ปรากฏว่าศูนย์มรดกโลกได้จัดทำเอกสาร WHC-10/34.COM/7B.Add.3  ซึ่งรายงานสรุปสถานการณ์อนุรักษ์ปราสาทพระวิหารตาม   รายงานของกัมพูชาและส่งให้กรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องในวันที่  27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553  ทั้งๆ ที่ตามกฎขั้นตอนการปฏิบัติของคณะกรรมการมรดกโลกในข้อ 45  ได้กำหนดให้เอกสารที่เกี่ยวกับวาระการประชุมต้องส่งให้กรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยหกสัปดาห์ก่อนเริ่มสมัยการประชุม  ไทยซึ่งมีนายสุวิทย์  คุณกิตติ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนได้ขอให้ที่ประชุมเลื่อนการพิจารณาเอกสารดังกล่าวออกไปก่อน  โดยมีเหตุผลที่สำคัญคือแผนบริหารจัดการที่กัมพูชาเสนอมีการกำหนดเขตกันชน (Buffer zone) ที่ไม่ชัดเจนซึ่งอาจรุกล้ำเข้ามาในเขตไทย  จึงควรรอให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC)  ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในบริเวณดังกล่าวให้เสร็จสิ้นก่อน   ในขณะที่กัมพูชาซึ่งมีนายซกอานเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนยืนยันให้ที่ประชุมพิจารณาอนุมัติแผนบริหารจัดการดังกล่าว  ซึ่งทำให้ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้  ในที่สุดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553  ประธานกรรมการมรดกโลกชาวบราซิลได้เข้ามาไกล่เกลี่ยจนทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้โดยให้เลื่อนการพิจารณาเอกสารดังกล่าวไปในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งต่อไป ในวันที่ 25–27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554  ได้มีการประชุมหารือระหว่างไทยกับกัมพูชาที่สำนักงานใหญ่ยูเนสโก  กรุงปารีส  ในเรื่องแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหาร  แต่ก็ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใดๆ  ได้  ถึงแม้นางอิรินา โบโควา  ผู้อำนวยการใหญ่ยูเนสโกได้เข้ามาช่วยเรื่องการเจรจาของทั้งสองฝ่ายก็ตาม  ดังนั้นเรื่องดังกล่าวจึงขึ้นอยู่กับมติของที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก  ในสมัยประชุมที่ 35  ณ กรุงปารีส  ประเทศฝรั่งเศส  ช่วงวันที่  19–29 มิถุนายนพ.ศ. 2554   โดยเรื่องปราสาทพระวิหารได้จัดอยู่ในวาระที่  7B  ลำดับที่  62  และคาดว่าคณะกรรมการมรดกโลกจะพิจารณาเรื่องกล่าวในวันที่  23  หรือ  24   มิถุนายนนี้    แผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาเสนอนั้นได้จัดทำโดย ดร.ดิเวย์  กัพต้า  ชาวอินเดียซึ่งเป็นสถาปนิกการอนุรักษ์และผู้เชี่ยวชาญการบริหารจัดการมรดก  และเคยได้รับมอบหมายจาก ICOMOS ในการเตรียมรายงาน 2007 ICOMOS การประเมินการเสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก  เป็นที่น่าสังเกตว่าแผนบริหารจัดการนี้ไม่ได้จัดทำโดยชาวกัมพูชา  ทั้งๆ ที่กัมพูชาอ้างตลอดมาว่าปราสาทพระวิหารเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศตน  แต่กลับให้ชาวอินเดียเป็นผู้จัดทำแผนให้   แผนบริหารจัดการดังกล่าวแบ่งออกเป็น 7 บท  มีจำนวนทั้งหมด 115 หน้า  และมีเนื้อหาเฉพาะส่วนที่สำคัญที่เกี่ยวกับประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องเขตแดนดังต่อไปนี้     บทที่ 1 ความเป็นมาและวิธีการ  มีข้อความในข้อ 1.1 ความเป็นมา หน้าที่ 2  กล่าวว่า  “ภายใต้สนธิสัญญาฝรั่งเศส-สยาม  ค.ศ. 1904 และ 1907  เส้นเขตแดนระหว่างกัมพูชากับไทยตามเทือกเขาดงรักได้ถูกกำหนดขึ้น  ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1963  ตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่กรุงเฮก  ปราสาทพระวิหารและบริเวณข้างเคียงได้กลับมาอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา”  ข้อความดังกล่าวอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามีความชัดเจน  และทั้งสองประเทศไม่มีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนในบริเวณปราสาทพระวิหารแต่อย่างใด  ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคณะผู้แทนฝ่ายไทยที่จะต้องชี้แจงให้คณะกรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้   บทที่ 2  มรดกทางวัฒนธรรมและความสำคัญของปราสาทพระวิหาร  มีข้อความในข้อ 2.3 สถาปัตยกรรมของปราสาทพระวิหาร  หน้าที่ 9  ตอนหนึ่งกล่าวว่า  “ปราสาทสามารถเข้าถึงได้สองทางโดยผ่านบันไดใหญ่  ทางหนึ่งจากทิศตะวันออก  และอีกทางหนึ่งจากทิศเหนือ”  จะเห็นว่าผู้จัดทำแผนเขียนในลักษณะที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่ามีบันไดทางขึ้นใหญ่สองทาง  โดยเลือกที่จะกล่าวถึงบันไดทางทิศตะวันออกก่อนบันไดทางทิศเหนือ  ซึ่งอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่าบันไดทางทิศตะวันออกเป็นบันไดทางขึ้นหลัก  แต่ที่จริงแล้วบันไดทางทิศตะวันออกเป็นทางขึ้นที่เรียกกันว่า “ช่องบันไดหัก”  โดยเป็นบันไดหินที่มีขนาดเล็กและทางขึ้นโดยบันไดดังกล่าวมีความสูงชันมาก  ใช้เป็นทางขึ้นมาจากฝั่งเขมรต่ำซึ่งก็คือกัมพูชาในปัจจุบัน  บันไดทางทิศเหนือต่างหากที่เป็นบันไดทางขึ้นหลักซึ่งมีขนาดใหญ่และอยู่ด้านหน้าตัวปราสาท  บันไดดังกล่าวเป็นบันไดหินช่วงแรกกว้างถึง 8 เมตร และยาว 78.50 เมตร  ช่วงที่สองกว้าง 4 เมตร และยาว 27 เมตร   บันไดดังกล่าวใช้เป็นทางขึ้นจากฝั่งไทย  คณะผู้แทนฝ่ายไทยควรเสนอให้ปรับปรุงเอกสารในประเด็นดังกล่าวให้ตรงกับข้อเท็จจริง  และสร้างความเข้าใจในเรื่องบันไดทางขึ้นปราสาทพระวิหารให้กับคณะกรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะจะช่วยทำให้เกิดคำถามว่าแล้วทำไมปราสาทพระวิหารจึงเป็นของกัมพูชาในเมื่อทางขึ้นหลักมาจากฝั่งไทย  อันจะเป็นประโยชน์ต่อการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกต่อไป  บทที่ 3  ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ  มีการกำหนดวิสัยทัศน์ในข้อ 3.1 หน้าที่ 31  โดยกำหนดบางส่วนว่า  “เข้าถึงได้ทุกคน”  และ “เพื่อสนับสนุนสันติภาพ”  แต่ปรากฏว่าหลังจากปราสาทพระวิหารได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว  ในช่วงที่กัมพูชาเปิดปราสาทพระวิหารให้บุคคลทั่วไปเข้าเยี่ยมชมได้  กัมพูชากลับไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวไทยเข้าเยี่ยมชมปราสาทพระวิหาร  ซึ่งขัดกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดในเรื่อง  “เข้าถึงได้ทุกคน”       และยิ่งไปกล่าวนั้นการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกยังเป็นต้นเหตุให้เกิดการความขัดแย้งและการสู้รบกันระหว่างไทยกับกัมพูชาในบริเวณเขาพระวิหารและบริเวณใกล้เคียง  จนมีผู้เสียชีวิตซึ่งเป็นทหารและพลเรือนทั้งไทยและกัมพูชาจำนวนมาก  นอกจากนี้ในบางครั้งกัมพูชายังใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานที่ตั้งของกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อต่อสู้กับไทย  ซึ่งขัดกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดในเรื่อง “เพื่อสนับสนุนสันติภาพ”  อย่างชัดเจน  คณะผู้แทนฝ่ายไทยจึงควรยกประเด็นดังกล่าวซึ่งขัดกับวิสัยทัศน์ที่กัมพูชาได้กำหนด  ให้คณะกรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบโดยทั่วกัน  และเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการแก้ไข    บทที่ 4  การบ่งชี้ประเด็นและข้อแนะนำ  มีข้อความในข้อ 4.1  ทรัพย์สินของสถานที่  หน้าที่ 40  กล่าวบางส่วนว่า  “สถานที่มรดกโลกที่ได้ขึ้นทะเบียนได้ถูกแสดงใน RGPP  ที่ล้อมปิดดังแสดงในหน้า 52  เขตที่แตกต่างตามที่แสดงใน RGPP เป็นเขตชั่วคราว  เพื่อสะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันของสถานที่”      และ “อย่างไรก็ตามกันชนไม่ได้รวมพื้นที่ทางทิศเหนือและตะวันตกของปราสาท  นี้ควรได้รับพิจารณาอย่างชั่วคราวเพราะการกำหนดเขตแดนขั้นสุดท้ายของกันชนจะได้ถูกกำหนดตามผลของ JBC ระหว่างกัมพูชากับไทย”  RGPP (Revised Graphic Plan of the Property)  ที่กล่าวถึงนั้น  เป็นแผนผังเดิมที่กัมพูชาได้ยื่นต่อศูนย์มรดกโลก  และคณะกรรมการมรดกโลกได้พิจารณาแล้วตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2551 ในสมัยประชุมที่ 32  และได้มีมติที่ 32 COM 8B.102  ให้กัมพูชาส่งแผนบริหารจัดการฉบับสมบูรณ์พร้อมทั้งแผนที่ฉบับสรุปสุดท้ายให้ศูนย์มรดกโลกภายในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553   แต่จนถึงปัจจุบันกัมพูชาก็ยังไม่ได้ส่งแผนที่ฉบับสรุปสุดท้ายดังกล่าว  และยังคงใช้แผนผัง  RGPP  อ้างอิงแทนแผนที่ในแผนบริหารจัดการฉบับนี้    ในแผนผัง  RGPP นั้น  ได้มีการกำหนดเขตกันชนโดยใช้เพียงสัญญาลักษณ์เลข 2  แทนโดยไม่มีการลากเส้นแสดงอาณาเขตใดๆ ทั้งสิ้น  ซึ่งหากดูจากแผนผัง  RGPP  จะพบว่าเขตกันชนที่กำหนดไม่มีความชัดเจนเลย  จึงไม่ทราบได้ว่าครอบคลุมถึงพื้นที่บริเวณใดบ้าง  และรุกล้ำเข้ามาในเขตไทยหรือไม่  ดังนั้นคณะผู้แทนฝ่ายไทยจึงไม่ควรรับแผนบริหารจัดการดังกล่าว  และควรเสนอให้คณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนการพิจารณาแผนการบริหารจัดการดังกล่าวไปก่อนจนกว่ากัมพูชาจะได้จัดทำแผนที่ฉบับสรุปสุดท้ายตามมติที่ 32 COM 8B.102  ที่มีการกำหนดเขตต่างๆ ในแผนที่ให้มีความละเอียดถูกต้องชัดเจน  หลังจาก JBC ได้สำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในบริเวณดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว    นอกจากนี้คณะผู้แทนฝ่ายไทยควรใช้ประโยชน์ข้อความดังกล่าวข้างต้น  ชี้ให้คณะกรรมการมรดกโลกและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักว่า  กัมพูชาเองก็ได้ยอมรับว่าบริเวณปราสาทพระวิหารยังมีความไม่ชัดเจนของเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา  และต้องรอจนกว่า JBC จะได้กำหนดเขตแดนในบริเวณดังกล่าวให้เสร็จสิ้นก่อน บทที่ 5 การอนุรักษ์และโบราณคดี – การประเมินและยุทธ์ศาสตร์  มีข้อความในข้อ 5.4 การประเมินและการแทรกแซงเพื่อการอนุรักษ์  หน้าที่ 75  กล่าวตอนหนึ่งถึงบันไดใหญ่และลานนาคราช  รวมทั้งตลาดและสระน้ำ  ซึ่งแสดงให้เห็นว่า  ผู้จัดทำแผนได้ยอมรับว่าบันไดทางขึ้นทางทิศเหนือเป็นบันไดทางขึ้นหลักซึ่งมีความยิ่งใหญ่  แต่ผู้จัดทำแผนให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนขั้นของบันไดผิด  สำหรับตลาดที่กล่าวถึงน่าจะหมายถึงตลาดที่ตั้งอยู่ในฝั่งไทยก่อนถึงบันไดทางขึ้นดังกล่าว  ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วตลาดนี้ชุมชนกัมพูชาพึ่งเริ่มเข้ามาตั้งร้านค้าเพื่อขายสินค้าให้นักท่องเที่ยวในปี พ.ศ. 2541  ไม่ได้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณอย่างที่ผู้จัดทำแผนเข้าใจ  ส่วนสระน้ำที่กล่าวถึงน่าจะหมายถึงสระตราวซึ่งเป็นสระน้ำอยู่ในฝั่งไทย  โดยสระตราวนี้ถือว่าอยู่ในกลุ่มโบราณสถานประกอบของปราสาทพระวิหารที่อยู่ในฝั่งไทย เช่นเดียวกับ  ผามออีแดง  สถูปคู่  และแหล่งตัดหินที่ไปสร้างปราสาท  เป็นต้น  แต่ผู้จัดทำแผนกลับไม่ได้ให้ความสำคัญแก่สระตราว  และส่วนประกอบอื่นๆ ที่อยู่ในฝั่งไทยเลย  สิ่งที่กล่าวทั้งหมดข้างต้นนี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้จัดทำแผนยังมีความรู้และความเชี่ยวชาญไม่เพียงพอเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารและเขาพระวิหาร  คณะผู้แทนฝ่ายไทยควรเสนอให้ปรับปรุงเอกสารในส่วนนี้ให้ตรงกับข้อเท็จจริง      บทที่ 6  การดำเนินการแผนงาน   มีข้อความในข้อ 6.1 การคุ้มครองที่บัญญัติตามกฎหมาย  หน้าที่ 97  กล่าวถึงกฎหมายต่างๆ ที่กัมพูชาประกาศใช้สำหรับการคุ้มครองปราสาทพระวิหารและบริเวณโดยรอบ  ดังนั้นหากไทยยอมรับแผนบริหารจัดการนี้  กัมพูชาอาจนำมากล่าวอ้างได้ว่าไทยยอมรับสิ่งที่กฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติไว้ได้       จากการตรวจสอบพบว่า  พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งสถานที่ปราสาทพระวิหาร  ค.ศ. 2003  อนุกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งป่าที่คุ้มครองสำหรับการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชและสัตว์ “พระวิหาร”  ค.ศ. 2002  และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดขอบเขตของสถานที่ปราสาทพระวิหาร  ค.ศ. 2006     มีการกำหนดอาณาเขตที่ล่วงล้ำเข้ามาในเขตไทย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการกำหนดขอบเขตของสถานที่ปราสาทพระวิหาร ค.ศ. 2006  ในมาตรา 4  ได้กำหนดเขต 1  เขต 2  และเขต 3  ตามแผนที่ประกอบที่เกินเข้ามาในเขตไทยอย่างชัดเจน  คณะผู้แทนฝ่ายไทยจึงควรยกประเด็นนี้เป็นเหตุผลประกอบการคัดค้านแผนบริหารจัดการดังกล่าว   บทที่ 7  โปรแกรมที่เสนอสำหรับการปฏิบัติ  ในบทนี้ไม่มีเนื้อหาส่วนที่สำคัญที่เกี่ยวกับประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องเขตแดน   ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านโดยทั่วไปที่จะได้ทราบถึงรายละเอียดที่สำคัญของแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารในส่วนที่มีผลกระทบต่อประเทศไทยโดยเฉพาะเรื่องเขตแดน  รวมทั้งหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่คณะผู้แทนฝ่ายไทยในนำไปใช้ประกอบการคัดค้านแผนบริหารจัดการดังกล่าวในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกต่อไป   (โดย ดร.สุวันชัย  แสงสุขเอี่ยม อดีตสมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  suwanchai.ss@gmail.com ) Notice: Undefined index: subcatid in /mnt/public_html/news_detail.php on line 200

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง