บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

"ทหารของจอมทัพไทยยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองในการรักษาอธิปไตยของชาติ”


โดย Annie Handicraft เมื่อ 22 พฤศจิกายน 2011 เวลา 19:14 น.
แถลงการณ์พันธมิตรฯ 4/2553  “ทหารของจอมทัพไทยยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองในการรักษาอธิปไตยของชาติ” 20 กรกฎาคม 2011 

ตาม ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ให้ออกมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ในการพิจารณาคดี ตีความหมายคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2505  โดยมีการกำหนดเขตปลอดทหาร ห้ามไทยและกัมพูชาทำกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ที่กำหนด  และห้ามไทยขัดขวางการเข้าไปยังปราสาทพระวิหารการของกัมพูชา ตลอดจนห้ามไทยขัดขวางการส่งกำลังบำรุงให้แก่บุคคลการที่ไม่ใช่ทหาร นั้น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขอชี้แจงจุดยืนต่อทหารดังต่อไปนี้

1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 77 บัญญัติเอาไว้ว่า “รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้องจัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จำเป็น และเพียงพอ เพื่อพิทักษ์เอกราช อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐสถาบันพระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่งชาติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเพื่อการพัฒนาประเทศ”

2. ปัจจุบันกองทัพไทยได้ถูกจัดอันดับในด้านแสนยานุภาพจากลำดับที่ 28 ของโลกในปีที่แล้ว มาอยู่ในลำดับที่ 19 ของโลกในปีนี้ เป็น ลำดับที่ 6 ของทวีปเอเชีย และเป็นลำดับที่ 2 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการใช้งบประมาณจำนวนมากในการพัฒนากองทัพในรอบหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจึงมีศักยภาพทางทหารสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างไม่สามารถจะ เปรียบเทียบได้ 

3. เมื่อทหารมีหน้าที่ในการปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของชาติตามรัฐธรรมนูญ ใน ขณะที่ศักยภาพของกองทัพมีความแข็งแกร่งด้วยงบประมาณมหาศาล แต่กลับเป็นยุคที่ประเทศไทยกลับอ่อนแอถูกรุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยโดยต่าง ชาติมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ทั้งนี้การที่ทหาร ได้อ้างนโยบายของรัฐบาล แล้วปล่อยให้ชุมชนและทหารกัมพูชามารุกรานยึดครองแผ่นดินไทยทั้งบริเวณ วัดแก้วสิขะคีรีสะวารา, ภูมะเขือ, พื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร, บ้านหนองจาน ปราสาทตาควาย ฯลฯ นั้น ทำให้กัมพูชาสามารถเข้ายึดจุดสูงข่มทางทหารซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญได้ สำเร็จ จึงเป็นแรงจูงใจสำคัญดำเนินการสร้างสถานการณ์ยิงอาวุธสงครามทำร้ายราษฎรไทย เพื่อทำให้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาถูกหยิบยกมาเป็นเรื่องการเมืองระหว่าง ประเทศ  โดยหวังที่จะให้มีชาติที่สามหรือองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาขัดขวางไม่ให้ ประเทศไทยผลักดันชุมชนกัมพูชาให้ออกจากแผ่นดินไทย  ไม่ว่าจะเป็นมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก หรือ การเตรียมส่งผู้สังเกตการณ์ในการเข้ามาในดินแดนไทยในการเป็นสักขีพยานในการ ห้ามยิงปะทะกัน

การที่ฝ่ายทหารอ้างว่าไม่สามารถผลักดัน กัมพูชาโดยอ้างว่าต้องรอนโยบายและคำสั่งรัฐบาลนั้นจึงเป็นสิ่งที่ฟังไม่ขึ้น เพราะหากไม่มีการปล่อยปละละเลยให้ชุมชนและทหารกัมพูชาเข้ามารุกรานและยึด ครองแผ่นดินไทย จะไม่เกิดแรงจูงใจในการที่กัมพูชาจะสร้างสถานการณ์เพื่อให้นานาชาติออก มาตรการให้ทหารไทยต้องออกจากพื้นที่บริเวณดังกล่าว  จึงถือเป็นความบกพร่องโดยตรงของกองทัพในการที่ปล่อยให้มีการรุกรานแผ่นดิน ไทย และปล่อยให้มีการละเมิด MOU 2543 ในทางปฏิบัติทั้งๆที่กระทรวงการต่างประเทศได้ประท้วงกัมพูชามานับร้อยกว่า ครั้งแล้วก็ตาม

การปล่อยปละละเลยให้กัมพูชาขนชุมชนเข้ามา รุกรานยึดครองแผ่นดินไทย สร้างถนน สร้างวัด ปักธงชาติกัมพูชาในแผ่นดินไทย ทั้งๆที่เป็นเขตอุทยานแห่งชาติ และเป็น “เขตประกาศกฎอัยการศึก” จึงย่อมถือเป็นอำนาจเต็มของกองทัพโดยตรงในการตัดสินใจในการักษาอธิปไตยของ ชาติ โดยที่ไม่สามารถจะกล่าวอ้างนโยบายของรัฐบาลได้

ทั้ง นี้ภายใต้พื้นที่ประกาศกฎอัยการศึกอันถือเป็นอำนาจเต็มของกองทัพที่จะผลัก ดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทยแล้ว ยังปรากฏมีคำสั่งกระทรวงกลาโหม เลขที่ ก.ห.(เฉพาะ)ที่ 112/28  ลงวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2528 เรื่องแนวทางการใช้อาวุธตามแนวชายแดน ข้อ 4.1 กองทัพบก กำหนด ข้อ 4.1.1 ว่า
“เมื่อ ปรากฏแน่ชัดว่ากำลังทหารหรืออาวุธยุทโธปกรณ์ของฝ่ายตรงกันข้ามล่วงล้ำเขตแดน ไทยและการล่วงล้ำนั้น จะก่อให้เกิดความเสียหายและเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ หรือหน่วยทหารของฝ่ายเรา หรือเมื่อมีการปะทะเกิดขึ้นแล้ว ให้เราใช้อาวุธเพื่อขัดขวางและสกัดกั้นการล่วงล้ำเข้ามาของฝ่ายตรงข้ามได้ ทันที”

การที่ทหารซึ่งมีหน้าที่ตามรัฐ ธรรมนูญ และมีศักยภาพสูงในระดับโลก แต่กลับไม่ทำหน้าที่ของตัวเองจึงย่อมถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และถือเป็นการกระทำที่ทำให้ราชอาณาจักรหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรตก อยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ ทำให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป อันถือเป็นการกระทำต่อกฎหมายบ้านเมืองอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ กองทัพกลับปล่อยให้ประชาชนต้องออกมาชุมนุมเรียกร้องให้ทหารทำหน้าที่ ทั้งๆที่ประชาชนที่ออกมาชุมนุมส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและผู้สูงวัยเสริมด้วยนาย ทหารนอกราชการ แต่กองทัพและทหารประจำการก็ยังเพิกเฉยและไม่ทำหน้าที่ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน จึงเป็นเรื่องที่น่าอับอายและเสียศักดิ์ศรีของกองทัพเป็นที่สุดเท่าที่เคยมี มาในประวัติศาสตร์ของกองทัพไทย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชนเป็นจำนวนมากแต่กลับ ไม่สามารถทำอะไรได้กับการถูกรุกรานและยึดครองแผ่นดินไทยโดยชาติอื่น  ประเทศไทยจึงมีสภาพเหมือนไม่รู้ว่าจะมีกองทัพเอาไว้เพื่อเหตุผลใด  

ปี นี้เป็นปีมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่จะทรงมีพระชนมายุครบ 84 พรรษา  ทรงเป็นจอมทัพไทยและทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แล้วทหารซึ่งอยู่ภายใต้จอมทัพไทยและปฏิญาณตนต่อหน้าธงชัยเฉลิมพล จะเทิดพระเกียรติโดยยอมให้ประเทศไทยถูกรุกรานยึดครองแผ่นดินไทยได้อย่างไร

เรา จึงขอเรียกร้องให้ทหารให้ทำหน้าที่ของตัวเอง โดยการไม่ถอนทหารออกจากแผ่นดินไทยตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก และทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และทำตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณตน ในการทวงคืนแผ่นดินไทยที่ถูกต่างชาติรุกรานให้กลับคืนมา

ด้วยจิตคารวะ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554



นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ยื่น written observation หรือ โครงร่างข้อสังเกตให้กับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก

15thmove
Sermsuk Kasitipradit
นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ยื่น written observation หรือ โครงร่างข้อสังเกตให้กับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก เมื่อช่วงห้าโมงเย็นวันนี้ตามเวลาในไทย (11.00 น.เวลาที่เนเธอร์แลนด์) ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคำร้องของกัมพูชาที่ยื่นศาลเมื่อ28 เมษายน ขอให้ศาลตีความคำพิพากษาศาลเมื่อปี2505 โดยทางกพช.เสนอให้ศาลวินิจฉัยถือตามเส้นเขตแดนที่กำหนดไว้ในแผนที่ของฝรั่งเศสอัตราส่วน1/200000 หากศาลชี้ตามที่กพช.เสนอจะทำให้พื้นที่4.6 ตารางกิโลเมตรของไทยอยู่ในเขตอธิปไตยของกัมพูชา

ในโครงร่างข้อสังเกตมีทั้งหมด300 หน้า พร้อมเอกสารประกอบกว่า700 หน้า เป็นคำชี้แจงอย่างละเอียดต่อองค์คณะผู้พิพากษา ทำความเข้าใจต่อคำร้องกัมพูชา

เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงคนหนึ่งระบุว่าในโครงร่างข้อสังเกต ได้กล่าวถึงข้อขัดแย้งบนเขาพระวิหาร ก่อนที่กัมพูชาจะนำเรื่องขึ้นศาลโลก/ ความหมายและขอบเขตของคำพิพากษาปี 2505 ที่ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องเส้นเขตแดน / การปฏิบัติตามคำพิพากษาของฝ่ายไทยปรับกำลังออกจาพท.รอบตัวปราสาท / ไม่มีข้อขัดแย้งกับกัมพูชาในการปฏิบัติตามคำตัดสินของฝ่ายไทย / และเห็นว่าสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้เป็นการสร้างสถานการณ์ของฝ่ายกพช. เพื่อสร้างเงื่อนไขให้ศาลโลกรับตีความคำพิพากษา ตามคำร้องของกพช.

ในโครงร่างได้ย้ำจุดยืนของฝ่ายไทยที่เห็นว่าศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัยคำร้องของกพช. นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงบันทึกความเข้าใจไทยกัมพูชาปี 2543 หรือ MOU 2543 เพื่อให้ศาลเห็นถึงปัญหาในเรื่องเขตแดนระหว่างกัมพูชาและไทยตลอดช่วงที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายได้ลงนามในบันทึกที่จะแก้ปัญหาขัดแย้งเรื่องเขตแดนด้วยการเจรจาแก้ปัญหาร่วมกัน ซึ่งขัดแย้งกับคำร้องของกัมพูชาที่ระบุว่าแนวเขตแดนบนเขาพระวิหารได้กำหนดไว้เรียบร้อยแล้วตามแผนที่อัตราส่วน1/200,000 ของฝรั่งเศส

มีรายงานยืนยันว่าในโครงร่างได้แนบเอกสารสำคัญของหน่วยงานด้านชายแดนระหว่างประเทศ เพื่อให้ศาลพิจารณาถึงความน่าเชื่อถือของแผนที่ของฝรั่งเศส ระวางดงรัก

เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ คาดว่าหลังการยื่นโครงร่างข้อสังเกต ศาลโลกอาจให้ทางกัมพูชายื่นเอกสารเพื่อชี้แจงโครงร่างข้อสังเกตของฝ่ายไทย เรียกว่า written explanation ก่อนให้ฝ่ายไทยชี้แจงสรุปอีกรอบ จากนั้นจึงนัดทั้งสองฝ่ายมาชี้แจงในศาลก่อนมีคำพิพากษาซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นช่วงปลายปีหน้า....

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง