บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ พื้นที่รุกล้ำที่เขมรยึดครองเบ็ดเสร็จ


วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ

นับ ไปไม่เนิ่นนานการประชุมคณะทำงานร่วม (JWG) ระหว่างไทยกับเขมรคงจะเริ่มขึ้น ซึ่งเนื้อหาสาระหลักมีเพียงเรื่องเดียวคือการถอนทหาร เพื่อน้อมไปตามมาตรการชั่วคราวของศาลที่กรุงเฮก ซึ่งเป็นศาล “การเมือง” ระหว่างประเทศ ตามที่ฝ่ายเขมรร่ำร้องขอ “เปิดคดีใหม่” ตีความคำตัดสินเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ ให้กว้างไกลกินความเกินกว่าขอบเขตการพิจารณาและคำตัดสินในคดีเดิม ซึ่งช้านานเกินกว่าจะขอตีความและประเทศไทยก็มิได้อยู่ภายใต้การรับอำนาจศาล มากว่า ๕๐ ปี ขณะที่ศาลโลกมากด้วยน้ำใจต่อเขมรจนเหลือประมาณนั้น ฝ่ายรัฐบาลไทยก็เปี่ยมไปด้วยความอ่อนน้อมไม่กล้าอ้าปากงัดง้างว่าศาลโลกไม่ มีซึ่งอำนาจ สมยอมให้สมสู่คดีกันไปตามกระบวนการ
จะเป็นว่าเมื่อ ๕๐ ปีก่อนเคยมั่วไปหยิบเอากฎหมายปิดปากของอังกฤษมาทำมึนตัดสินยกปราสาทให้เขมร เพราะหาเหตุที่ชอบด้วยหลักเหตุผลไม่ได้ ปลายปีนี้หรือปีหน้า ศาลโลกก็คงหน้ามึนเหมือนเดิม อย่างไรอย่างนั้น มิใช่จะมองโลกในแง่ร้าย แต่เมื่อมองหลายองค์ประกอบประกอบเข้าด้วยกัน ก็พอจะประมาณได้ว่าประเทศไทยคงเสียหายหนักหนาสาหัสกว่าเก่า ซึ่งรัฐบาลคงไม่ว่าอะไร และคนไทยส่วนใหญ่ก็คงไม่ว่ากระไรเพราะมิใช่แผ่นดินบนโฉนดที่ตนถือ ส่วนพื้นที่อีกหลักแสนไร่ที่เคยว่า ๆ กัน ก็รอวันได้รับผลกระทบจากแผนที่อันฉ้อฉลของเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส แต่กว่าความเดือดร้อนจะปรากฎจริงคงใช้เวลาอีกพอประมาณ ณ ขณะนี้โคคอกนั้นยังมิทันหาย

หนึ่งในประเด็นที่ยังถกเถียงกันไม่จบจนการถอนทหารยังไม่เกิดในขณะนี้ คือเรื่องจุดตรวจ ที่ฝ่ายไทยกำหนดไปสามที่ คือ ช่องบันไดหัก บันไดทางขึ้นปราสาทและวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ส่วนทางสายใหม่หลังวัดแก้วฯ ก็ปล่อยโล่งโจ้งให้สะดวกเขมร
สิ่งปลูกสร้างอำนาวยความสะดวกนักท่องเที่ยวของเขมรหน้าบันไดทางขึ้นปราสาท บ้านเรือนชาวเขมรรอบวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่เพิ่มขึ้นอย่างหนาตาในปัจจุบัน
(ซ้าย) สิ่งปลูกสร้างอำนาวยความสะดวกนักท่องเที่ยวของเขมรหน้าบันไดทางขึ้นปราสาท (ขวา) บ้านเรือนชาวเขมรรอบวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระที่เพิ่มขึ้นอย่างหนาตาในปัจจุบัน
เมื่อกล่าวถึงวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ วัดแห่งนี้เขมรได้สร้างรุกล้ำบนแผ่นดินไทย ๔.๖ ตร.กม. ค่อย ๆ เติมค่อย ๆ ต่อ ส่วนฝ่ายไทยก็รื้อทำลายวัดด้วยหนังสือประท้วงทางการทูต จนกระทั่งกลายเป็นวัดถาวรมีอาณาบริเวณกว้างขวาง มีอาคารหลายหลัง ดังที่เห็นในปัจจุบัน มี “ธงงานวัด” ประดับประดาสวยงาม มีชุมชนห้อมล้อมร้อยกว่าหลังคาเรือน แม้วัดจะถูกสร้างเมื่อราวปี ๔๐ กว่า ๆ แต่เป็นที่รู้จักอย่างจริงจังในสังคมไทยก็เมื่อหลังเหตุการณ์ ๑๕ กรกฏาคม ๒๕๕๑ ที่ พล.ท.กนก เนตระคะเวสนะ บุกพังประตูห้วยตานี นำกำลังขึ้นช่วยคนไทยที่ถูกทหารเขมรจับตัว แล้วประจำการทหารไทยเต็มพื้นที่บนวัดแห่งนั้น แต่ต่อมาภายหลังก็มีการปรับลดกำลัง ลดสิบ ลดห้า ตามลำดับจนไม่เหลือทหารไทยหลังเหตุการณ์ปะทะ ๔-๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ซึ่งเข้าใจได้ คงไม่มีใครต้องการให้ทหารกลับขึ้นไปเสี่ยง เห็นใจและเข้าใจ เพราะแม้มิใช่ญาติพี่น้องแต่ก็เป็นทหารของคนไทย เว้นแต่ว่าผู้บังคับบัญชาระดับบนเห็นควรประจำการเต็มกำลังหนึ่งหมวดหนึ่งกอง ร้อยหรือตามสมควร เพื่อยืนยันความเป็นเจ้าของ แต่ก็เป็นข้อเสนอที่เป็นไปไม่ได้เพราะนายทหารระดับสูงได้ลั่นคำไว้หลายต่อ หลายครั้งแล้วว่าสัมพันธ์ที่ดีมีค่าเหนืออื่นใด
นับตั้งแต่การปะทะเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วสงบลง สถานการณ์ในพื้นที่เข้าสู่สภาวะปกติ เริ่มมีนักท่องเที่ยวกลับเข้ามา ชาวเขมรก็ขึ้นมาตั้งบ้านเรือนมากขึ้น ทางการกัมพูชาเร่งปลูกสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกรอบบริเวณปราสาทมากยิ่งขึ้น และล่าสุดเมื่อช่วงปีใหม่ หลังคณะทำงานระดับชาติพื้นที่พระวิหารของเขมรเข้าไล่ที่บ้านสวายจรุมแล้วส่ง ต่อพื้นที่ให้กับองค์การพระวิหาร เพื่อพัฒนาตามแผนบริหารจัดการ ส่วนใหญ่เป็นบ้านของทหารหรือครอบครัวทหารที่ประจำการอยู่บนปราสาท นอกจากนี้ พ่อค้าแม่ขายที่อยู่บนตลาดหน้าบันไดทางขึ้นปราสาท ถ้าไม่ใช่ครอบครัวทหารก็เป็นทหารหญิงของกัมพูชาเสียเอง ที่มีดาวหลายดวงแทบทั้งสิ้น หมายความว่า ปัจจุบัน บนพื้นที่ ๔.๖ ตร.กม. หลังประตูเหล็กข้ามห้วยตานีขึ้นไป อันเป็นแผ่นดินภายใต้อธิปไตยของไทย มีแต่คนเขมรอยู่อาศัยครอบครอง จะอยู่ในสภาพชุดพลเรือนหรือชุดอื่นก็ล้วนเป็นทหารเขมรทั้งสิ้น
พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. เยี่ยมฐานปฏิบัติการทหารไทยที่พลาญยาว ทางตะวันตกของภูมะเขือ เมื่อ ๒๕ ม.ค. ๕๕ (ภาพจาก หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ ๒๓) ทหารไทยที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ เมื่อ ๑๗ ก.ค. ๕๑
(ซ้าย) พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผบ.สส. เยี่ยมฐานปฏิบัติการทหารไทยที่พลาญยาว ทางตะวันตกของภูมะเขือ เมื่อ ๒๕ ม.ค. ๕๕ ภาพจาก หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ ๒๓ (ขวา) ทหารไทยที่วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ เมื่อ ๑๗ ก.ค. ๕๑
เมื่อวันที่ หลายฝ่ายชื่นใจที่นายทหารระดับสูงผู้นี้ใส่ใจลงพื้นที่ด้วยตัวเอง และเดินทางไปที่พลาญยาว ไม่ใช่เฉียดไปแค่ที่ผามออีแดงเหมือนคณะอื่น ๆ แต่ก็อดเสียดายไม่ได้ ที่ไม่ว่า ผบ.สส. ผู้นี้หรือคณะไหน ก็ไม่มีใครขึ้นไปเยี่ยม “แผ่นดินไทย” ที่วัดแก้วฯ ฝั่งตะวันตกของตัวปราสาท ตลาด ชุมชนเขมร และที่ยอดภูมะเขือ เลยแม้แต่คณะเดียว เพื่อเป็นความชื่นใจของคนไทยว่าพื้นที่เหล่านั้นยังเป็นของเรา แม้ขณะนี้จะถูกสรุปรวบเอาว่าเป็นพื้นที่ “พิพาท” ระหว่างรอศาลโลกให้ความเห็น แต่ก็เป็นพื้นที่พิพาทที่ประหลาดที่สุด คือถูกเขมรยึดครองเบ็ดเสร็จแต่ฝ่ายเดียว และที่ขำไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก คือฝ่ายที่ยึดครองแผ่นดินเขาไปร้องขอศาลโลกตัดสินยกแผ่นดินนั้นให้ตนเอง ขณะเจ้าบ้านไม่หืออือแม้แต่น้อยเดียว

 

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง