 แฟ้มภาพ:
 ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง สุจริตกุล ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ 
ทนายผู้ประสานงานคณะทนายฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหาร 
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๐๒-๒๕๐๕
แฟ้มภาพ:
 ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง สุจริตกุล ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ 
ทนายผู้ประสานงานคณะทนายฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหาร 
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๐๒-๒๕๐๕
ศาลโลกกับคดีปราสาทพระวิหาร 
ภายหลังวันที่ ๓๐ และ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔
     
ในฐานะคนไทยที่ได้ศึกษากฎหมายระหว่างประเทศและผลงานของศาลยุติธรรมระหว่าง
ประเทศอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน 
ข้าพเจ้าขอถือโอกาสตั้งข้อสังเกตและให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมดังต่อไปนี้
ข้อโต้แย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
     
ในชั้นนี้ซึ่งเพิ่งเป็นการเริ่มกระบวนการตามคำร้องขอของกัมพูชาให้ศาล
ยุติธรรมระหว่างประเทศตีความคำพิพากษาของศาลฯ ในคดีปราสาทพระวิหาร วันที่ 
๑๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ (ค.ศ. ๑๙๖๒) 
ข้อโต้แย้งและเหตุผลของไทยที่อ้างว่าศาลไม่มีอำนาจออกคำสั่งเกี่ยวกับ
มาตรการคุ้มครองชั่วคราวตามคำขอของกัมพูชานั้น 
ยังขาดเหตุผลอันเป็นสาระสำคัญ คือ
               ๑. 
ข้อเท็จจริงที่ประเทศไทยมิได้รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศโดยบังคับ
เป็นการล่วงหน้าโดยปฏิญญา การรับอำนาจดังกล่าวมิได้มีการต่ออายุมาตั้งแต่ 
พ.ศ.๒๔๙๒ (ค.ศ. ๑๙๔๙) และหมดอายุไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๒ (ค.ศ. ๑๙๕๙) 
ไม่กี่เดือนหลังจากที่กัมพูชายื่นคำร้องเพื่อฟ้องไทยในคดีปราสาทพระวิหาร
เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕
               ๒. 
คำแถลงสรุปผลการเจรจาของคณะผู้แทนไทยหลังจากเดินทางกลับกรุงเฮกนั้น 
มีความคล้ายคลึงกับหนังสือของ ฯพณฯ ถนัด คอมัตร์ ในข้อที่ว่า 
ในฐานะที่ไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติซึ่งมีพันธกรณีตามข้อ ๙๔ 
ของกฏบัตรสหประชาชาติ ที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลฯ ทั้งๆ 
ที่ไทยมีความเห็นว่าคำพิพากษาดังกล่าวขาดความชอบธรรมเนื่องจากขัดต่อ
อนุสัญญา ค.ศ. ๑๙๐๔ และสนธิสัญญากับพิธีสาร ค.ศ. ๑๙๐๗
               ๓. ในครั้งนั้นเป็นขั้นตอนที่ศาลฯ ได้วินิจฉัยแล้วว่า 
ศาลฯ มีอำนาจพิจารณาพิพากษาโดยบังคับเนื่องจากไทยได้มีปฏิญญารับอำนาจศาลฯ 
แล้วเมื่อ ค.ศ. ๑๙๔๙ ซึ่งขณะนั้นยังไม่ขาดอายุ ต่อมาในปีเดียวกันนั้นเอง 
เมื่อกัมพูชาขอขยายคำฟ้องอีก ๒ ข้อ กล่าวคือ ข้อ (๑) 
สถานภาพของแผนที่ผนวกหนึ่ง มาตราส่วน ๑:๒๐๐,๐๐๐ และ (๒) 
ความถูกต้องของเส้นเขตแดนตามแผนที่ผนวกหนึ่ง ซึ่งทั้ง ๒ ข้อนี้ ศาลฯ 
ได้ระบุชัดเจนว่าปฏิเสธและไม่พิจารณา
               ๔. ถึงกระนั้นก็ตาม บัดนี้ กัมพูชาก็ยังอ้างว่าศาลฯ ให้ความเห็นชอบ ข้อ (๑) กับ (๒) ซึ่งไม่เป็นความจริง
               ๕. สิ่งที่น่าวิตกคือ ฝ่ายไทยยังไม่เข้าใจข้อแอบอ้างของกัมพูชาอันเป็นเท็จ
มหันตภัยของความสับสน
     
กัมพูชากำลังฉวยโอกาสที่ไทยโต้แย้งอย่างสับสนและไม่ชัดเจนโดยมิได้ศึกษาข้อ
เท็จจริงอย่างละเอียดและรอบคอบ นอกจากนั้น 
ยังสำคัญผิดคิดว่าได้โต้แย้งไปแล้วอย่างครบถ้วนและพอเพียง
     แท้ที่จริงนั้น ศาลฯ อาจสันนิษฐานได้ว่าไทยมิได้คัดค้านอำนาจศาลฯ 
โดยตรง เพราะไทยเพียงแต่อ้างว่าศาลฯ ไม่มีอำนาจพิจารณาคำขอของกัมพูชา 
ทั้งยังขอให้ศาลฯ สั่งจำหน่ายคดีโดยมิได้ยื่นคำคัดค้านอำนาจศาลฯ 
และมิได้แม้แต่อ้างข้อสงวนของฝ่ายไทยตามหนังสือของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ
ต่างประเทศไทย ลงวันที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ 
ที่มีไปถึงเลขาธิการสหประชาชาติ
     ฉะนั้น อันตรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้คือ 
การที่ไทยจะส่งหลักฐานความเสียหายจากการปะทะกับกัมพูชาไปให้ศาลฯ ซึ่งศาลฯ 
อาจเข้าใจว่าไทยสละสิทธิ์ในการคัดค้านอำนาจศาลฯ 
ทั้งนี้เพราะไทยได้แถลงอย่างอ้อมค้อมว่าศาลฯ ไม่มีเขตอำนาจพิจารณา 
แทนที่จะอ้างอย่างชัดเจนตามกฎหมายว่า 
ไทยคัดค้านอำนาจพิจารณาของศาลฯ เบื้องต้น
 (Preliminary objection to the jurisdiction)  
ไทยต้องยืนยันอย่างชัดเจนตั้งแต่บัดนี้ ก่อนที่จะสายจนเกินแก้ เพราะศาลฯ 
อาจสันนิษฐานว่าการที่ไทยได้เดินทางไปให้การโดยมิได้ยื่นคำคัดค้านอำนาจของ
ศาลฯ อย่างชัดเจนเป็นทางการ อีกทั้งยินยอมส่งหลักฐานให้ศาลฯ ตามคำขอของศาลฯ
 นั้น 
เป็นการยอมรับอำนาจศาลฯ โดยปริยาย 
ทั้งเป็นการเสี่ยงที่จะถูกศาลฯ สั่งว่า ในเมื่อไทยมีโอกาสคัดค้าน 
เหตุใดจึงประพฤติปฏิบัติเสมือนไม่คัดค้านอำนาจศาลฯ ซึ่งศาลฯ 
อาจใช้กฏหมายปิดปากไทยอีกเช่นในอดีต ฉะนั้น 
ไทยชอบที่จะใช้เหตุผลที่ข้าพเจ้าได้ให้ข้อคิดเห็นไปแล้ว กล่าวคือ
               ก. แถลงการของศาลฯ ใน press release ได้ระบุว่าคดีนี้เป็น 
คดีใหม่ ไทยควรที่จะยืนยันว่า 
ศาลฯ ขาดอำนาจพิจารณาพิพากษาโดยบังคับ เพราะไทยมิได้ต่ออายุคำรับอำนาจศาลฯ ซึ่งขาดอายุไปแล้วกว่า ๕๐ ปี
              ข. หากศาลฯ จะอ้างว่าเป็น 
คดีเดิม 
คือเป็นเพียงขอให้ศาลฯ ตีความคำพิพากษาเดิมเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ 
ไทยก็ชอบที่จะโต้แย้งว่า ในหลายคดีที่ผ่านมาดังปรากฏในรายงานของศาลฯ 
การขอให้ศาลฯ ตีความ คู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดควรกระทำการร้องขอโดยไม่ชักช้า 
ซึ่งในทางปฎิบัติไม่เคยเกิน ๒ ปี
               ค. 
การที่กัมพูชามิได้ร้องขอให้มีการตีความภายในกำหนดเวลาดังกล่าว 
เนื่องจากไทยได้ปฏิบัติตามพันธกรณีอย่างถูกต้องโดยกัมพูชามิได้โต้แย้งแต่
ประการใด ไทยต่างหากที่เป็นฝ่ายประท้วงและตั้งข้อสงวนไว้ 
และมอบหมายให้ผู้แทนฝ่ายไทยในคณะกรรมการกฏหมาย (กรรมการที่หก) 
ชี้แจงและให้เหตุผลว่าศาลฯ ตัดสินผิดต่อสนธิสัญญา 
ผิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และผิดต่อหลักความยุติธรรม 
ดังปรากฎในรายงานสรุปของคณะกรรมการที่หก ของสมัชชาสหประชาชาติ 
สมัยประชุมที่ ๑๗ ค.ศ.๑๙๖๒ 
เป็นที่น่าเสียดายที่ฝ่ายไทยมิได้เคยนำเรื่องนี้มาใช้ในการโต้แย้งในกรณี
ปัจจุบัน
     การต่อสู้ครั้งนี้ 
ไทยจำเป็นต้องศึกษาจุดยืนของเราเองให้เข้าใจอย่างถ่องแท้และแม่นยำ 
ยึดมั่นกับจุดยืนของตนโดยไม่หวั่นไหวกับคำให้การของคู่กรณีอันก่อให้เกิด
ความสับสนและสำคัญผิดในเนื้อหาและข้อเท็จจริง
     จุดสำคัญที่พึงกระทำในชั้นนี้คือ 
ไทยต้องคัดค้านอำนาจศาลฯ ในโอกาสแรกที่สามารถทำได้ 
การ
กล่าวแต่เพียงว่าเขตอำนาจของศาลฯ 
ไม่ครอบคลุมถึงคำขอของกัมพูชานั้นยังไม่เพียงพอ 
ไทยต้องยืนยันอย่างเป็นทางการว่าไทยคัดค้านอำนาจศาลฯ 
เพราะไทยมิได้ยินยอมรับอำนาจศาลฯ อีกเลยหลังจากขาดอายุไปแล้วเป็นเวลากว่า 
๕๐ ปี การไปปรากฏตัวที่ศาลฯ แต่ละครั้ง 
ก็ด้วยวัตถุประสงค์หลักเพียงอย่างเดียวคือ 
คัดค้านอำนาจศาลฯ มิใช่เพียงโต้แย้งว่าคำขอของกัมพูชาไม่อยู่ในเขตอำนาจพิจารณา
ศาสตราจารย์ ดร. สมปอง สุจริตกุล
๕ มิถุนายน ๒๕๕๔
หนังสือสงวนสิทธิของประเทศไทย เกี่ยวกับ ปราสาทพระวิหารโดย นายถนัด คอมันตร์ รมต.ว่าการกระทรวงต่างประเทศ ในสมัยนั้น