บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

ข้อพิพาทเรื่องดินแดนไทย - เขมร ฉบับย่อ สำหรับเด็ก และเยาวชน(ผู้ใหญ่ห้ามอ่าน เดี๋ยวยิ่งงง หนักเข้าไปอีก) ดร.ไก่ Tanond

เรื่องการเสียดินแดน ฉบับย่อสำหรับเด็ก  เยาวชน และคนทั่วไปอ่าน 


1.ข้อได้เปรียบ และข้อควรยึดปฏิบัติในเรื่องของดินแดน จากฝ่ายไทย
1.1 ความมั่นคงแห่งรัฐ – ชาติไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นใคร ในภูมิภาคนี้เราเป็นศูนย์รวมอำนาจมาโดยตลอด กระทั่งเราต้องเป็นฝ่ายเสียดินแดนบางส่วนให้แก่พวกล่าอาณานิคม ฝั่งพม่า กับมาเลเซียให้กับอังกฤษ ฝั่งลาว เขมรให้กับฝรั่งเศส เราไม่ได้เสียให้เขมร ลาว พม่า ดังนั้นในยามที่เสีย เราย่อมตระหนักดีว่า แผ่นดินที่เสียอยู่ตรงไหน บริเวณใด มีการสำรวจและปักปันหลักเขตที่ชัดเจน เป็นพื้นฐานเพื่อปกป้องอาณาเขตต่อไปอยู่แล้ว

1.2 คำพิพากษาศาลโลก – หลังเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสไปแล้ว เมื่อพ.ศ.2446และ2450  ศาลโลกได้ตัดสินให้มีการยึดหลักเขตแดน ที่มีการปักปันไปแล้ว บริเวณเขตแดนไทย – เขมร โดยในส่วนที่เป็นที่สูง(เขาที่มีด้านบนเป็นที่ราบ) ให้ใช้ “สันปันน้ำ” เป็นตัวเขตแดนตามธรรมชาติ แทนหลักเขตแดน ด้านบนเขาเป็นดินแดนของเรา ด่านล่างที่น้ำไหลลงเป็นของเขมร ส่วนบนพื้นราบอื่นที่เหลือจรดจังหวัดตราด ให้ใช้หลักเขตแดนที่ปักปันไว้แล้วทั้ง 73 หลัก(หลักที่1-73)

2. เหตุที่เกิด
2.1 ก่อนมี MOU 43 (บันทึกความเข้าใจ ปี43) เมื่อพ.ศ.2446และ2450 เกิดข้อโต้แย้งระหว่างไทย – เขมรในเรื่องความเป็นเจ้าของตัวประสาทพระวิหาร ที่ถูกนำขึ้นสู่ศาลโลก ศาลโลกได้ตัดสินให้อธิปไตยบนตัวประสาทตกเป็นของเขมรเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ส่วนอื่นๆบริเวณนั้น

2.2 จาก 2450 มาจนถึงก่อน 2522 อาณาเขตของเรา ยังมีความชัดเจนตลอดมา(จากข้อ1.2) จนกระทั่งเกิดสงครามในเขมร ตลอดแนวบริเวณหลักเขตทั้ง 73 หลัก ถูกเขมรรุกล้ำเข้ามาบ้างจากการสู้รบ  ผู้คนอพยพหนีตายเข้ามาบ้าง จนกระทั่งสหประชาชาติ ได้ข้อร้องให้ไทยได้ช่วยจัดสรรพื้นที่เพื่อช่วยเหลือ ตั้งแคมป์รองรับผู้อพยพที่ทะลักเข้ามาเป็นล้านคนเหล่านี้ ซึ่งไทยก็ได้ช่วยเหลือเป็นอย่างดีด้วยหลักมนุษยธรรมทุกประการ

2.3 การเกิดขึ้นของ MOU43 – นับแต่ครั้งที่เราได้จัดพื้นที่ให้ผู้อพยพชาวเขมร ได้พักพิงได้หนีตาย จนสิ้นสุดสงครามของเขมรเองลง จาก2531 มาจนถึง2542 ปรากฏว่าผู้อพยพเหล่านี้ ไม่ได้คืนกลับสู่ดินแดนของตนเอง หลายส่วนยังยึดพื้นที่ดังกล่าวตั้งเป็นชุมชนอยู่อาศัยเรื่อยมา ไทยเราก็มิได้นำการผลักดันอย่างเป็นรูปธรรม ปล่อยปละละเลยให้สภาพดินแดนของไทย มีพวกเขมรเหล่านี้อาศัยอยู่มาอย่างต่อเนื่อง ซ้ำร้ายเมื่อเขมรที่นำโดยฮุนเซน เริ่มคืนสู่สภาวะปกติ มีความมั่นคงทางการเมืองขึ้นได้ใช้โอกาสที่ไทย ไม่จัดการเรื่องดินแดนของตนให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ฮุนเซนเข้าต่อรองกับไทยเพื่อหวังฮุบดินแดนบริเวณดังกล่าวมาเป็นของเขมร ในช่วงรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ มีนายกชวนเป็นนายก ฝ่ายไทยแทนที่จะรักษาสิทธิ์ ยืนกระต่ายขาเดียวว่าเป็นของเราอย่างชัดเจนแล้ว กลับปล่อยให้เกิดการเจรจา ต่อรองกับทางฮุนเซน จนเป็นที่มาของ MOU 43 และแผนที่ 1ต่อ2แสน ดังกล่าว

2.4 ผลของ MOU43 นับแต่ 2543 มาจนถึงปัจจุบัน แทนที่บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ จะทำให้เราได้ดินแดนกลับคืน หรือ กันเราไม่ให้ถูกรุกล้ำดินแดนมากยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน ฝ่ายเขมรยิ่งทำให้ดิน แดนที่ได้รุกล้ำ มีพื้นที่เพิ่มมากขึ้น มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำกองกำลังทหารเข้ามาดูแลชุมชนในเขตพื้นที่ตลอดแนวหลักเขตแดนที่1 - 73 ซึ่งรวมพื้นที่ที่ได้มีการจับตัว 7 คนไทยรวมอยู่ด้วย  ผนวกกับพื้นที่บนเขาพระวิหาร ที่เขมรได้รุกล้ำเข้าไปพัฒนา จากบริเวณด้านล่างเขาขึ้นมาถึงบริเวณพื้นที่ตัวประสาทพระวิหาร ที่เรียกว่า พื้นที่4.6ตารางกิโลเมตร ซึ่งเขมรกำลังรุดหน้าหาข้อพิสูจน์ ปรับเปลี่ยนแนวเขตแดนบริเวณนี้ให้เป็นของเขมร  อย่างที่เราได้ยินได้ฟังกัน ว่ากำลังหรือกระทั่งได้เสียดินแดนส่วนนี้ให้เขมรไปแล้ว เหล่านี้จึงเป็นเหตุผลให้พันธมิตร ได้ออกมาชุมนุม เพื่อ กดดันให้รัฐบาลต้องทำตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อ เพื่อรักษาอธิปไตยและดินแดนของเราแต่เก่าก่อนไว้           

2.5 ผลที่จะตามมา – หากพันธมิตรไม่ออกมาชุมนุมเพื่อกดดันให้รัฐบาล 1.ยกเลิก MOU43 2. ถอนตัวจากการเป็นกรรมการมรดกโลก และ3.ไล่ชาวเขมรที่รุกล้ำขึ้นมา รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เขมรสร้างขึ้นโดยพลการ เขมรจะรุกคืบกำหนดแนวเขตแดนของตนขึ้นใหม่ ครอบคลุมพื้นที่ด้านบนเขาพระวิหาร ที่เป็นของเรามาเก่าก่อน จนทำให้แนวเขตแดนอื่นๆ ตลอดแนวไปจนถึงจังหวัดตราด จะต้องสูญเสียให้กับเขมร ไม่นับรวมเขตพื้นที่ทางทะเลที่จะตกเป็นของเขมรตามไปด้วย

ปล.ไม่ทราบว่าเด็กๆจะเข้าดีขึ้นบ้าง หรือ ยิ่งหนักเข้าไปอีกไม่ทราบนะขอรับ?

ภาพการเมืองในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าโดยดร.ไก่ Tanond

ถ้าฟ้าไม่ผ่าลงกลางสภาเสียก่อน การเมืองในอนาคตอันใกล้จะยิ่งเลวร้าย อย่างที่คนไทยเราไม่เคยคิดว่าจะได้เจอมาก่อน แต่จะให้เราเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ เราคงต้องเข้าใจเสียก่อนว่าแล้วที่ผ่านมา ตามมิติเชิงประวัติศาสตร์นั้น การเมืองทั้งองคาพยพ ได้พัฒนาความเลวกันไปถึงไหนแล้ว ดังนี้

1.อย่างที่ผมได้เคยเขียนไว้ในบันทึกไว้แล้วว่า นับแต่พ.ศ.2475 ประเทศเรา "มีดีก็ที่ได้เริ่มต้น" บนเส้นทางประชาธิปไตย

2.หากแต่นับจากนั้นมา ประชาธิปไตย ก้ได้กลายเป็นแต่เพียง คำลวง เพื่อใช้บังหน้า ระบอบอำมาตยาธิปไตย มาสู่ระบอบธนาธิปไตย ที่มีพัฒนาการมาอย่างสุดๆ กล่าวคือ
- เริ่มต้นจากพ่อค้าวานิช สนับสนุนทุนให้กับฝ่ายการเมือง แบบลับๆ เพื่อดำรงสถานะของธุรกิจตน
- มาสู่การสนับสนุนทุนในปริมาณที่มากขึ้น เพื่อส่งตัวแทนจากภาคธุรกิจตน เข้าและขึ้นสู่ตำแหน่งทางการเมือง
- มาจนถึงการสนับสนุน การลงทุน ทางการเมืองแบบเปิดเผย เพื่อเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองได้โดยตรง (อย่าที่เราๆเห็นพวกเจ้าสัว มานั่งเป็น รมต.กันเต็มทำเนียบไปหมดในปัจจุบัน) และจากจุดนี้ธนาธิปไตย ก็ได้กลับกลายเป็นคำที่อ่อนลงไปถนัดตา ในอันที่จะอธิบายถึงการเมืองไทยในอนาคต เพราะ

3.เมื่อมีการเปลี่ยนผ่านจากการสนับสนุนทุน มาเป็นการลงทุนทางการเมืองแทนแล้ว การเมืองก็จะกลายเป็นเรื่องของธุรกิจเพียวๆ ที่ผิดกฎหมาย แต่กระทำกันได้อย่างเปิดเผย จนเป็นการก้าวเข้าสู่ ระบอบโจราธิปไตย หรือ ที่เราเรียกกันง่ายๆว่า โจรครองเมือง มันครองกันอย่างไร? มาดูกันครับ
3.1 เมื่อจะเข้าสู่วาระแห่งการเลือกตั้ง ทุนทั้งหลายก็จะถูกเทลงขัน เพื่อใช้ในการลงทุน
3.2 ในการลงทุน ผู้ลงทุนก็ย่อมรู้ว่าจะลงทุนไปเพื่อการสิ่งใด (สมัยก่อนหาคืนกันตามทาง) สมัยนี้เขาหาเขาดูทั้งจุดคุ้มทุน และผลกำไรกันล่วงหน้า ด้วยการกำหนดงบประมาณ โครงการประกอบผลาญงบประมาณประจำกระทรวงต่างๆ ไว้ล่วงหน้า ดีดลูกคิดกันได้เลย ว่าจะเอาคืน จะเอากำไรกันที่ไหน?อย่างไร? โดยใคร?เสียด้วยซิ เช่นนี้แล้วก่อนเลือกตั้ง ผุ้ลงทุนก็จะมีงบการเงิน ที่เป็นรูปธรรมให้เห็นกันได้ เลวกันอย่างน่าประหลาดใจจริงๆ ที่เหลือจากนี้ ก้เป็นหน้าที่ของพวกเราคนไทยทั้งชาติ ที่จะได้ร่วมกันสร้างฝันของพวกโจร ให้เป็นจริงกันขึ้นมา

เช่นนี้แล้ว ภาพที่จะเห็นจะเป็นเช่นใด ก็ขอให้ผู้ที่เข้ามาอ่าน ได้ลองนึกภาพตามกันเอาเอง นะขอรับ เพราะผมเชื่อแล้วว่าสังคมไทยในปัจจุบัน ผู้ที่สื่อ ชักจะเคยชินกับการให้สิ่งที่ต้องการการสื่อ แก่ผู้รับสื่อ มากจนเกินไป เป็นแบบสำเร็จรูปกินได้เลยจนเกินไป จนทำให้ผู้รับสื่อ ไม่ต้องคิดต้องอ่านตาม ไม่เหลือแม้กระทั้งภาพที่จะให้เขาคิดและวิเคราะห์ตาม ซึ่งอันนี้ผมว่าไม่ดีนะ ไม่ประเืทืองปัญญา เช่นนี้แล้วก็ลองๆคิดตามดู

MOU43 ทำร้ายประเทศอย่างไร? โดยดร.ไก่ Tanond

เก็บตก อ.ปานเทพ(24.254) จับโกหกนายก(อีกแระ)
MOU43 – เรานิ่งอยู่กับโต๊ะเจรจา เขมรรุกคืบขึ้นมาเรื่อยๆ โดย-

1.ปี2541 ไทยประกาศพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ?
เพื่อให้คนไทยเข้าทำกินไม่ได้ แต่ปล่อยให้เขมรรุกล้ำขึ้นมาหรือเปล่า???

2.หลังจากมี MOU43แล้ว มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นหรือเปล่า
2.1 วัดแก้ว ตามความเป็นจริงแล้วสร้างขึ้นเมื่อ2546 ไม่ใช่2541อย่างที่เขมร
กล่าวอ้าง และรัฐบาลไทยเองก็ดันยอมรับ และยึดถือตาม?
2.2 ถนนที่สร้างขึ้นมาจากด้านล่างของสันปันน้ำ สร้างมาถึงวัดแก้วในวันนี้
รวมถึงตลาด ชุมชนบนพื้นที่4.6ตารางก.ม. ก็ล้วนสร้างขึ้นในช่วงที่มี MOU43
แล้วทั้งสิ้น
2.3 ภูมะเขือ ก็ถูกทหารเขมรยึดครองแล้ว และจัดตั้งเป็นฐานทัพเพื่อรุกรานไทย
2.4 การที่ทหารผู้สังเกตุการณ์จากอินโดนีเซีย จะเข้ามาประจำฝั่งละ15นาย เพื่อ
ทำหน้าที่ ในฝั่งไทยเราผู้สังเกตุการณ์จะยืนอยู่บริเวณใด? อยู่บนพื้นที่4.6ตาราง
ก.ม.หรือไม่อย่างไร? เพราะนั่นกำลังจะบ่งบอกว่า เป็นพื้นที่ของเขมรไปแล้ว?

3. ข้อเรียกร้อง 3 ข้อของพันธมิตร สภาพัฒฯก็ได้เคยนำเสนอต่อนายกมาแล้ว
ช่วงปี2551 โดยมีหลักใหญ่ใจความเหมือนกันกับของพันธมิตร (อ.ภิภพ)

4. การสู้รบ บนพื้นที่4.6ตารางก.ม. เริ่มมีมาโดยตลอดตั้งแต่ ต.ค.2551แล้ว จึง
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพันธมิตรแต่อย่างใด อย่าโกหกให้พันธมิตรเป็นแพะรับบาป

5. หากเรายึดติดกับคำพิพากษาศาลโลก นับแต่2507 การรุกล้ำจะไม่เกิดขึ้น พื้นที่
บริเวณประสาทก็จะยังถูกจำกัด ด้วยล้อมรั้วรวดหนามอย่างที่จอมพลสฤษดิ์ทำไว้
แต่เมื่อมีMOU43 แล้ว รั้วลวดหนามจึงถูกรื้อออก? เปิดทางให้เขมรรุกล้ำขึ้นมาได้?  

6. หากนายกไม่แก้ไม่ทำ พันธมิตรก็ได้ยื่นฟ้องต่อศาล เพื่อใช้ดุลยพินิจให้นายกทำ

7.อะไรทำให้การทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้าน กับ นายกรัฐมนตรีในวันนี้ จึงแตกต่างไปโดย
สิ้นเชิง? จากสิ่งที่นายกเคยเข้าใจ เคยใช้อภิปรายนายกสมัคร และที่เคยกล่าวต่อพันธมิตร!


อนาคตที่มองเห็นล่วงหน้า (อ.ปราโมทย์ นาครทรรพ)

"คำทำนายที่เคยมีมาช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาชนเต็มพระนคร
ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน
ชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา
จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร
ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี
ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน
พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย
แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน
ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม
ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง"

    "จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควง คทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
                     ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ
      ศิวิไลซ์จะบังเกิด ในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
       จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
      คนชั่วจะถูกปราบราบ คาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
      ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทอง ผ่องอำไพ"
คำทำนายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ปี 2518

. มีผู้เชื่อว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือศานุศิษย์ใกล้ชิดได้นำคำทำนายรัตนโกสินทร์ 10 รัชกาลมาแต่งเป็นคำกลอน โดยกล่าวถึงคำทำนายรัชกาลที่ 9 โดยพิศดาร อย่างไรก็ ทางคณะศิษย์วัดท่าซุง แจ้งว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ไม่ได้เป็นผู้แต่งขึ้น ส่วนเป็นผู้ใดแต่งนั้นไม่ทราบ

...............................................................................


ไม่กี่วันมานี้ ผู้เขียนไปขึ้นเวทีมัฆวานเป็นครั้งแรกของการชุมนุมครั้งใหม่ รวมทั้งเวทีคู่ขนานของทีวีเพื่อมนุษยชาติช่อง FM ของสันติอโศก และได้บอกท่านผู้ชมและผู้ฟังว่า หากไม่มีการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง คราวนี้ผู้เขียนคงจะไม่ออกมาพูด ทั้งนี้เป็นความจริงใจ

ที่ผู้เขียนขึ้นพูด เพราะต้องการป้องกันมิให้เกิดการนองเลือด เพราะรัฐบาลขี้ขลาดหรือลุแก่อำนาจเผด็จการ ใช้กำลังตำรวจหรือทหารปราบปรามประชาชนผู้มาคัดค้านด้วยมือเปล่าและสันติวิธี

หากมีผู้มาชุมนุมมากๆ ยิ่งมีเด็ก หนุ่มสาว และผู้หญิง รัฐบาลจะได้ยับยั้งชั่งใจ ใช้สมองมากขึ้นกว่าใช้ประสาทหัวแม่เท้า

หากมีผู้ชุมนุมมากขึ้นจนถึงจำนวนที่คุ้ม โอกาสที่จะนองเลือดก็ลดน้อยลง เพราะญาติมิตรและลูกหลานของตำรวจทหารที่มารักษาการณ์จะมากขึ้น ทำให้เกิดความเป็นห่วง และเล็งเห็นความบริสุทธิ์จริงใจไร้เบื้องหน้าเบื้องหลังของผู้ร่วมชุมนุมมากขึ้น ในหลายๆกรณี รวมทั้งที่เมื่อเร็วๆนี้ในอียิปต์ ตำรวจทหารรักษาการณ์จำนวนมากหันมาเข้าข้างผู้ประท้วง เพราะเกิดความเข้าใจ เห็นใจและแรงบันดาลใจรักชาติและความเป็นธรรมขึ้นมา

ที่ผู้เขียนเป็นห่วง เกิดจากประสบการณ์ที่ได้เห็นการนองเลือดในประเทศไทยมาแล้วหลายครั้ง ได้ทำนายล่วงหน้า พูดและเขียนหนังสือเตือนก่อนเกิดเหตุการณ์นานๆ แต่ก็เกิดขึ้นจนได้ ทั้งนี้มิใช่อยู่ที่การยั่วยุหรือท้าทายของผู้ประท้วงเป็นหลัก แต่หากอยู่ที่ความขลาดเขลาและไม่รับผิดชอบของผู้ใช้อำนาจ และบางส่วนอาจเป็นเพราะการเกิดภาวะเผชิญหน้า ตำรวจทหารขาดประสบการณ์ เกิดความกลัวและความเครียด หรือตกเป็นเหยื่อของการยั่วยุ

พลเอกสุจินดา เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนเกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ในหลวงทรงเตือนว่า หากกระสุนนัดแรกลั่นจากฝ่ายรัฐบาลเมื่อใด เมื่อนั้นรัฐบาลแพ้ ไม่ว่าจะมีข้ออ้างดีเพียงใด

ผู้เขียนจำเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ได้ เมื่อนักศึกษาแตกกระเจิงบริเวณข้างสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เพราะถูกระเบิดน้ำตาคุณภาพดีจากตำรวจ(ต่างกับชนิดที่ใช้ในวันที่ 7 ตุลาคม 2551กับพันธมิตร ครั้งรัฐบาลม่านรูด) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสั่งให้ทหารรักษาพระองค์ที่รักษาการณ์อยู่ถอดดาบปลายปืนและแมกกาซีนกระสุนออกหมด โดยไม่ทรงสงสัยหรือหวาดเกรงใดๆ ทำให้ทหารเข้าใจไม่ลุแก่โทสะ ทุกฝ่ายจึงอยู่ใต้พระบารมีปกเกล้า

อีกประการหนึ่ง ผู้เขียนเป็นห่วงว่าหากเกิดการปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์ขึ้นในครั้งนี้ (ซึ่งต่างกับกรณีของนปช.ที่ใช้กำลังและประกาศอย่างเปิดเผยว่า จะประทุษร้ายและเปลี่ยนระบบการปกครองไปสู่รัฐไทยใหม่ หากรัฐบาลจับกุมผู้นำและใช้กำลังในทางป้องปรามแต่เนิ่น การสูญเสียชีวิตก็คงจะน้อยลงหรืออาจจะไม่เกิดขึ้น) ความโหดร้ายทารุณในการต่อสู้ทางการเมืองของเมืองไทยก็จะยกระดับขึ้นสู่สากล ได้แก่การก่อวินาศกรรมทั่วไป การจับตัวเรียกค่าไถ่ หรือฆ่าตัวประกันหรือผู้นำการเมืองและครอบครัว และการลอบสังหารฝ่ายตรงกันข้าม ซึ่งเกิดขึ้นอยู่โดยทั่วไป แต่ไม่พึงปรารถนาสำหรับประเทศไทย

หันกลับมาพูดถึงคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำข้างต้น ผู้เขียนอยากจะชี้ให้เห็นถึงอิทธิพลของลัทธิความเชื่อ สิ่งศักดิ์สิทธิในวัฒนธรรมและสงคมมนุษย์ ตลอดจนหมอดูและคำทำนายต่างๆว่า เป็นสิ่งทรงอิทธิพล โน้มน้าวให้ผู้ที่เคารพเลื่อมใส เชื่อถือ หรือหมกมุ่น กระทำตาม ถึงแม้จะต้องเสียสละด้วยชีวิตก็ยังยอม ดังที่เห็นได้จากกรณีนักรบพลีชีพ หรือแม้กระทั่งเหตุร้ายเมื่อวันครบรอบ 60 ปีของสุเหร่าที่กรือเซะของไทย

ในกรณีของคำทำนายรัชกาลที่เก้า เช่นเดียวกับการทำนายอื่นๆจากแหล่ง จากศาสดา หรือจากนักบวชที่ศักดิ์สิทธิ ไม่ว่าจะในศาสนาใดๆ ไม่ว่าจะเป็นโคเมนีของอิหร่าน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำของไทย แนวโน้มที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นคำทำนาย จะมีสูงมาก ยิ่งในกรณีที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในคำทำนายนั้นที่ใกล้เคียงหรือเกิดเป็นความจริงขึ้น

ผู้เขียนขอยกตัวอย่างดังนี้

1."ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน"

ชาวไทยและชาวโลกคงได้เห็นแล้วว่ากษัตริย์ทั่วโลกและตัวแทนได้เดินทางมาเข้าเฝ้าและถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัวในงานเฉลิมพระเกียรติที่ยิ่งใหญ่มโหฬาร งานอย่างนี้ยังไม่มีที่ไหนในโลก
2. "พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย"

มีอะไรที่ไม่จริงบ้าง
3. "จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร"

เขาว่าคอร์รัปชั่นรัฐบาลนี้เหมือนและยิ่งร้ายกว่ารัฐบาลทักษิณ จริงหรือไม่
4. "ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน"

มีความสับสนอย่างยิ่ง พระเจ้าอยู่หัวทรงปรารภว่า ไม่รู้จะไปทางไหน ใครทำอะไร ตลอดจนความสับสนสงสัยเรื่องเขมรจับไทยและกรณี MOU หนองจานและเขาพระวิหารและ ฯลฯ หรือไม่
5. "แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน"

เกิดขึ้นแล้วหลายครั้ง และกำลังกลัวว่าจะเกิดขึนอีกใช่หรือไม่

สามบทสุดท้ายของคำทำนายรัชกาลที่ 9 ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ปี 2518


........................................................................


 คำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งมีต้นตอมาจากคำทำนายโบราณต้นยุครัตนโกสินทร์นั้น มิใช่เรื่องหมอดู

คำทำนายดังกล่าว มีลักษณะเป็น prophecy มิได้มาจากไสย ศาสตร์หรือหมอดู หากมาจาก prophet คือศาสดาหรือผู้ศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นจึงเกิดมีผู้เชื่อถือหรือ เลื่อมใส พากันรอคอยหรือเคลื่อนไหวให้เกิดเงื่อนไขจนเป็นความเป็นจริง ขึ้นมา อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า self-fulfilling prophecy

ผู้ทำนายอนาคตที่ โด่งดังที่สุดในโลกเห็นจะไม่มีใครเกิน Nostradamus ชาวฝรั่งเศส ซึ่งมองเห็นอะไรล่วงหน้าเป็นศตวรรษๆน่าอัศจรรย์ แต่ก็ย่อมจะมีถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม Nostradamus มิใช่ทั้งหมอดูและ prophet เขาเป็น future seer หรือ apothecary ที่แม่นยำ เพราะเข้าใจประวัติศาสตร์และความเปลี่ยนแปลง สังคม ศาสนาและประวัติศาสตร์ของยุโรปสมัยก่อนและสมัยของเขาจึงวิเคราะห์และทำนายได้ดี

แม้คำทำนายสมัย ปัจจุบันที่มีความขัดแย้งระหว่างโลก จนเกิดวิกฤตอย่างที่เป็นอยู่ เป็นความขัดแย้งและข่มเหงกันแบบไร้พรมแดนยิ่งกว่าในยุคต้นรัฐชาติ เมื่อเกือบ 2 ร้อยปีที่ผ่านมา ผู้เขียนไม่สู้จะเลื่อมใส แต่ Huntingtonก็ สามารถเขียนหนังสือให้คนเชื่อค่อนโลกว่ายุคนี้กำลังจะถึงกลีโลก ที่เรียกว่า The Clash of Civilzations ระหว่างคริสเตียนกับมุสลิม เมื่อผู้นำ สื่อ นักวิชาการ นักการเมือง และนักยุทธศาสตร์โลกพากันเชื่อเช่นนั้น พากันเตรียมตัวรับมือคำทำนายนั้น ก็กลายเป็นการผลักดันให้เรื่องนั้น เกิดขึ้นได้

ส่วน Nostradamus ทำนายว่าโลกจะวิบัติก็เพราะเกิด Anti-Christ คือตัวบุคคล สถาบันหรือแม้กระทั่งรัฐบาลที่ต่อต้านหักล้าง พระเยซูเจ้า ซึ่งในที่นี้หมายถึงหลักและความดีของศาสนาคริสต์ที่เป็นศาสนา หลักของยุโรป ตัวอย่างของบุคคลชั่วร้ายที่เรียกว่า anti-Christ ของ Nostradamus ที่เกือบจะทำหรือในอนาคตจะทำให้โลกแทบจะล่มสลายคือ บุคคลแบบฮิตเลอร์ และประธานาธิบดีบุชผู้ลูก หรือแม้กระทั่งประมุขศาสนาโรมันคาธอลิค ก็เป็นไปได้ว่า สันตปาปาองค์ใดองค์หนึ่งอาจจะเป็นanti-Christหรือซาตานลงมาเกิดเพื่อทำลายพระศาสนาและโลก

สำหรับเมืองไทย ตั้งแต่รัฐประหาร 25490 มีเผด็จการเรื่อยมา จนกระทั่งเลวร้ายกลายเป็นวัฒนธรรม ตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา ผู้สืบสันดานชนชั้นปกครองไทยที่ชิงอำนาจ มาจากพระมหากษัตริย์ได้สร้างระบอบคณาธิปไตยเผด็จการทหาร+พลเรือน นัก(ซื้อ)เลือกตั้ง ทำการผูกขาดอำนาจโกงกินและคอร์รัปชั่นประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ มีหัวโจกกลุ่มใหญ่ๆไม่กี่กลุ่มยืนยงคงกระพันต่อเนื่อง ผลัดกันขึ้นเสวย "สมบัติผลัดกันชม" มีลูกน้องบริวารไม่เกิน 2 พันคนมีตัวตายตัวแทน ทำตนเป็นเหมือนผีกระสือ "ชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือ" เปรียบได้ไม่ต่างหรือเลวยิ่งกว่า anti-Christ ของ Nostradamusเสียอีก

สังคมไทยในอดีต บางครั้งพึ่งผู้ชายไม่ได้ ก็หันไปพึ่งผู้หญิง จึงเกิดตำนานพระศรีสุริโยไทย พระสุพรรณกัลยา ท้าวเทพกษัตรีย์ ท้าวศรีสุนทร และคุณหญิงโมเป็นต้น

ในยุควิกฤตที่สุดในโลกเช่นปัจจุบัน ผู้นำทหารถูกประณามว่าขี้ขลาดตาขาว เชื่อไม่ได้ พึ่งไม่ได้ จนกระทั่งคนไทยแถบชายแดนต้องแตกกระสานซ่านเซน วิ่งหนีเขมร กลายเป็นผู้อพยพในประเทศตนเอง ผู้คนจำนวนไม่น้อย โหยหาวีรกษัตรีย์และหวังพึ่งพระบารมีสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เป็นต้น

อาจจะเป็นเพราะ อิทธิพลของคำทำนายก็ได้ อย่างไรก็ตาม การตีความคำนายนี้ ไม่จำเป็นจะต้องแปลว่า เมืองไทยจะต้องมีพระมหากษัตรีย์ก็หาไม่ การสืบราชสันตติวงศ์เป็นเรื่องที่จะต้องเป็นไปตามกฎมนเทียรบาลและรัฐธรรมนูญ ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เพราะเมื่อมีรัชทายาทพระองค์ใดก็ย่อมเป็นพระองค์นั้น ไม่ควรจะมีข้อโต้แย้ง ข่าวลือ หรือปัญหาใดๆ ข้อสำคัญขอให้ ประเทศเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเสียก่อน ทุกอย่างก็จะราบรื่น

อย่างไรก็ตาม คำทำนายอาจจะตีความกว้างได้ ถึงการมีส่วนร่วมกู้วิกฤตกู้ชาติของสตรี จนสามารถล้มคณาธิปไตยเผด็จการได้ หรือการมีผู้นำสตรีในสภา แม้กระทั่งการมีนายกรัฐมนตรีหญิงก็ได้

สรุป แล้วก็หมายถึงโอกาสที่เมืองไทยจะสามารถพึ่งพระบารมีหรือพึ่งชน ชั้นปกครองหรือผู้นำประเทศที่เป็นสตรีก็ได้ หรือแม้แต่การมีผู้สำเร็จราชการเป็นสตรีในเวลาสำคัญที่คับขันและต่อเนื่องยาวนานก็ได้

ตัวอย่างในอดีตก็ มีมาแล้ว คือ

พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงออกผนวช ในปี พ.ศ.2499 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นผลให้ทรงสถาปนาพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระนางเจ้า สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ" ต่อมา เป็นองค์ที่สองของกรุงเทพฯ

ใน ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ ในหลายประเทศ ได้แก่ เวียดนาม (พ.ศ.2502) อินโดนีเซีย พม่า สหรัฐอเมริกา ประเทศในยุโรป (พ.ศ.2503) ปากีสถาน สหพันธ์มลายู นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย (พ.ศ.2505) จีนและญี่ปุ่น (พ.ศ.2506) ออสเตรีย (พ.ศ.2507) อังกฤษ (พ.ศ.2509) อิหร่าน สหรัฐอเมริกา และแคนาดา (พ.ศ.2510) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ สมเด็จพระราชชนนี ศรีสังวาลย์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ (จากการปฏิบัติพระราชภารกิจในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และทรงสถาปนาเป็น "สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี")

เพราะ ฉะนั้น จะกล่าวว่าคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเป็นสิ่งเลื่อนลอยก็คงจะไม่ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อคำทำนายข้ออื่นๆเป็นจริงเกือบจะทั้งหมดแล้ว เหลือแต่สามบทสุดท้ายเท่านั้น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง