เรื่องการเสียดินแดน ฉบับย่อสำหรับเด็ก เยาวชน และคนทั่วไปอ่าน
1.ข้อได้เปรียบ และข้อควรยึดปฏิบัติในเรื่องของดินแดน จากฝ่ายไทย
1.1 ความมั่นคงแห่งรัฐ – ชาติไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นใคร ในภูมิภาคนี้เราเป็นศูนย์รวมอำนาจมาโดยตลอด กระทั่งเราต้องเป็นฝ่ายเสียดินแดนบางส่วนให้แก่พวกล่าอาณานิคม ฝั่งพม่า กับมาเลเซียให้กับอังกฤษ ฝั่งลาว เขมรให้กับฝรั่งเศส เราไม่ได้เสียให้เขมร ลาว พม่า ดังนั้นในยามที่เสีย เราย่อมตระหนักดีว่า แผ่นดินที่เสียอยู่ตรงไหน บริเวณใด มีการสำรวจและปักปันหลักเขตที่ชัดเจน เป็นพื้นฐานเพื่อปกป้องอาณาเขตต่อไปอยู่แล้ว
1.2 คำพิพากษาศาลโลก – หลังเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสไปแล้ว เมื่อพ.ศ.2446และ2450 ศาลโลกได้ตัดสินให้มีการยึดหลักเขตแดน ที่มีการปักปันไปแล้ว บริเวณเขตแดนไทย – เขมร โดยในส่วนที่เป็นที่สูง(เขาที่มีด้านบนเป็นที่ราบ) ให้ใช้ “สันปันน้ำ” เป็นตัวเขตแดนตามธรรมชาติ แทนหลักเขตแดน ด้านบนเขาเป็นดินแดนของเรา ด่านล่างที่น้ำไหลลงเป็นของเขมร ส่วนบนพื้นราบอื่นที่เหลือจรดจังหวัดตราด ให้ใช้หลักเขตแดนที่ปักปันไว้แล้วทั้ง 73 หลัก(หลักที่1-73)
2. เหตุที่เกิด
2.1 ก่อนมี MOU 43 (บันทึกความเข้าใจ ปี43) เมื่อพ.ศ.2446และ2450 เกิดข้อโต้แย้งระหว่างไทย – เขมรในเรื่องความเป็นเจ้าของตัวประสาทพระวิหาร ที่ถูกนำขึ้นสู่ศาลโลก ศาลโลกได้ตัดสินให้อธิปไตยบนตัวประสาทตกเป็นของเขมรเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ส่วนอื่นๆบริเวณนั้น
2.2 จาก 2450 มาจนถึงก่อน 2522 อาณาเขตของเรา ยังมีความชัดเจนตลอดมา(จากข้อ1.2) จนกระทั่งเกิดสงครามในเขมร ตลอดแนวบริเวณหลักเขตทั้ง 73 หลัก ถูกเขมรรุกล้ำเข้ามาบ้างจากการสู้รบ ผู้คนอพยพหนีตายเข้ามาบ้าง จนกระทั่งสหประชาชาติ ได้ข้อร้องให้ไทยได้ช่วยจัดสรรพื้นที่เพื่อช่วยเหลือ ตั้งแคมป์รองรับผู้อพยพที่ทะลักเข้ามาเป็นล้านคนเหล่านี้ ซึ่งไทยก็ได้ช่วยเหลือเป็นอย่างดีด้วยหลักมนุษยธรรมทุกประการ
2.3 การเกิดขึ้นของ MOU43 – นับแต่ครั้งที่เราได้จัดพื้นที่ให้ผู้อพยพชาวเขมร ได้พักพิงได้หนีตาย จนสิ้นสุดสงครามของเขมรเองลง จาก2531 มาจนถึง2542 ปรากฏว่าผู้อพยพเหล่านี้ ไม่ได้คืนกลับสู่ดินแดนของตนเอง หลายส่วนยังยึดพื้นที่ดังกล่าวตั้งเป็นชุมชนอยู่อาศัยเรื่อยมา ไทยเราก็มิได้นำการผลักดันอย่างเป็นรูปธรรม ปล่อยปละละเลยให้สภาพดินแดนของไทย มีพวกเขมรเหล่านี้อาศัยอยู่มาอย่างต่อเนื่อง ซ้ำร้ายเมื่อเขมรที่นำโดยฮุนเซน เริ่มคืนสู่สภาวะปกติ มีความมั่นคงทางการเมืองขึ้นได้ใช้โอกาสที่ไทย ไม่จัดการเรื่องดินแดนของตนให้กลับคืนสู่สภาพเดิม ฮุนเซนเข้าต่อรองกับไทยเพื่อหวังฮุบดินแดนบริเวณดังกล่าวมาเป็นของเขมร ในช่วงรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ มีนายกชวนเป็นนายก ฝ่ายไทยแทนที่จะรักษาสิทธิ์ ยืนกระต่ายขาเดียวว่าเป็นของเราอย่างชัดเจนแล้ว กลับปล่อยให้เกิดการเจรจา ต่อรองกับทางฮุนเซน จนเป็นที่มาของ MOU 43 และแผนที่ 1ต่อ2แสน ดังกล่าว
2.4 ผลของ MOU43 นับแต่ 2543 มาจนถึงปัจจุบัน แทนที่บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ จะทำให้เราได้ดินแดนกลับคืน หรือ กันเราไม่ให้ถูกรุกล้ำดินแดนมากยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน ฝ่ายเขมรยิ่งทำให้ดิน แดนที่ได้รุกล้ำ มีพื้นที่เพิ่มมากขึ้น มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำกองกำลังทหารเข้ามาดูแลชุมชนในเขตพื้นที่ตลอดแนวหลักเขตแดนที่1 - 73 ซึ่งรวมพื้นที่ที่ได้มีการจับตัว 7 คนไทยรวมอยู่ด้วย ผนวกกับพื้นที่บนเขาพระวิหาร ที่เขมรได้รุกล้ำเข้าไปพัฒนา จากบริเวณด้านล่างเขาขึ้นมาถึงบริเวณพื้นที่ตัวประสาทพระวิหาร ที่เรียกว่า พื้นที่4.6ตารางกิโลเมตร ซึ่งเขมรกำลังรุดหน้าหาข้อพิสูจน์ ปรับเปลี่ยนแนวเขตแดนบริเวณนี้ให้เป็นของเขมร อย่างที่เราได้ยินได้ฟังกัน ว่ากำลังหรือกระทั่งได้เสียดินแดนส่วนนี้ให้เขมรไปแล้ว เหล่านี้จึงเป็นเหตุผลให้พันธมิตร ได้ออกมาชุมนุม เพื่อ กดดันให้รัฐบาลต้องทำตามข้อเรียกร้อง 3 ข้อ เพื่อรักษาอธิปไตยและดินแดนของเราแต่เก่าก่อนไว้
2.5 ผลที่จะตามมา – หากพันธมิตรไม่ออกมาชุมนุมเพื่อกดดันให้รัฐบาล 1.ยกเลิก MOU43 2. ถอนตัวจากการเป็นกรรมการมรดกโลก และ3.ไล่ชาวเขมรที่รุกล้ำขึ้นมา รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่เขมรสร้างขึ้นโดยพลการ เขมรจะรุกคืบกำหนดแนวเขตแดนของตนขึ้นใหม่ ครอบคลุมพื้นที่ด้านบนเขาพระวิหาร ที่เป็นของเรามาเก่าก่อน จนทำให้แนวเขตแดนอื่นๆ ตลอดแนวไปจนถึงจังหวัดตราด จะต้องสูญเสียให้กับเขมร ไม่นับรวมเขตพื้นที่ทางทะเลที่จะตกเป็นของเขมรตามไปด้วย
ปล.ไม่ทราบว่าเด็กๆจะเข้าดีขึ้นบ้าง หรือ ยิ่งหนักเข้าไปอีกไม่ทราบนะขอรับ?