นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ 
ได้เผยกับสื่อมวลชนเมื่อเช้าวันนี้ 
แย้งความเห็นของรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศว่าการไปขึ้นศาลโลกคือกระบวนการ
ขายชาติ ที่ตระเตรียมกันมาไว้อย่างดี
     นายไพศาล พืชมงคล 
กล่าวว่ารองปลัดกระทรวงการต่างประเทศท่านหนึ่งได้เขียนบทความเผยแพร่ชี้แจง
เหตุผลว่าต้องไปขึ้นศาลโลกว่า 
เป็นเรื่องที่เขมรขอตีความและบังคับตามคำตัดสินเดิมของศาลโลก 
หากไม่ไปขึ้นศาลจะเสียเปรียบว่ามีการปกปิดความจริงและบิดเบือนความจริงหลาย
ประการ 
     นายไพศาล พืชมงคล 
กล่าวว่าก่อนอื่นจะต้องเข้าใจเรื่องประเด็นพิพาทเดิมก่อน 
ว่าเขมรฟ้องไทยเรื่องอะไร ซึ่งในเรื่องนี้ไม่พูดถึงกันเลย 
ในฐานะที่ตนทราบเรื่องนี้ดีและมีเอกสารสำคัญอยู่ในมือ 
ขอบอกว่าในคดีเดิมนั้นเขมรฟ้องไทยเป็น 2 ตอน คือ
     ตอนที่หนึ่ง
 ยื่นฟ้องไทยเรียกเอาตัวปราสาทพระวิหาร อ้างว่าเป็นของเขมร 
รัฐบาลไทยยอมรับอำนาจศาลเข้าไปต่อสู้คดี ซึ่งถ้าหากไม่ยอมรับ 
ศาลโลกก็ไม่สามารถตัดสินให้ผูกพันรัฐบาลไทยได้ 
นี่คือปฐมบทแห่งความโง่ของรัฐบาลไทยและทำให้กระบวนการขายชาติยุคนั้นเดิน
หน้าไปได้
     ตอนที่สอง 
หลังจากยื่นฟ้องและรัฐบาลไทยให้การต่อสู้คดีแล้ว 
เขมรได้ยื่นคำฟ้องเพิ่มเติมเรียกเอาดินแดนรอบปราสาทพระวิหารว่าเป็นของเขมร
ด้วย ในขั้นตอนที่สองนี้รัฐบาลไทยในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ 
ลงมติตามความเห็นของพระยาอรรถการีนิพนธ์และนายบุศย์ ขันธวิทย์ 
อดีตประธานกรรมการสำนักงานกฎหมายธรรมนิติ ให้คัดค้านการขอเพิ่มเติมฟ้อง 
เป็นผลให้ศาลโลกพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่าเมื่อรัฐบาลไทยคัดค้านการเพิ่มเติมคำ
ฟ้องในส่วนที่เรียกเอาดินแดน ศาลโลกจึงไม่มีอำนาจพิจารณา จึงยกคำร้อง 
และเขมรก็ยอมรับคำสั่งศาลตลอดมากว่า 50 ปีแล้ว
     
ดังนั้นคดีที่ต่อสู้กันในศาลโลกจึงคงเหลือแต่เรื่องตัวปราสาท 
และธรรมนูญของศาลโลกก็เหมือนกับธรรมนูญศาลทั้งหลายในโลก 
คือศาลมีอำนาจพิจารณาเฉพาะประเด็นที่พิพาทกันตามคำฟ้อง คำให้การเท่านั้น 
ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษานอกเหนือไปจากประเด็นที่พิพาทกัน 
นั่นคือศาลโลกไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาในเรื่องดินแดนซึ่งรัฐบาลไทยไม่ยอม
รับมาตั้งแต่ต้น 
ประเด็นนี้รัฐบาลไทยและกระทรวงการต่างประเทศทำเป็นโง่งมงายประหนึ่งไม่รู้
ไม่เห็นประหนึ่งว่าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น  ดังนั้นคำตัดสินของศาลโลกที่เคย
ตัดสินมาจึงตัดสินเฉพาะเรื่องของตัวปราสาทว่าอยู่ในอำนาจอธิปไตยของเขมร 
เพราะศาลโลกไม่มีอำนาจตัดสินเกี่ยวกับดินแดนและมิได้ตัดสินเกี่ยวกับดินแดน 
หลังจากศาลโลกตัดสินแล้วรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 
เห็นว่าพฤติกรรมของศาลโลกเป็นแค่ศาลการเมืองที่อาศัยพวกมากลากไป 
ไม่ประสาธน์ความยุติธรรมให้แก่ประเทศไทย ป่วยการที่จะเป็นภาคีของศาลแบบนี้ 
จึงถอนตัวออกจากการเป็นภาคีของศาลโลก 
นับแต่บัดนั้นประเทศไทยจึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับศาลโลกและศาลโลกก็ไม่มี
อำนาจที่จะพิจารณาตัดสินคดีใด ๆ ให้ผูกพันประเทศไทยได้อีก 
เว้นแต่ประเทศไทยจะหน้าโง่เสือกเข้าไปยอมรับอำนาจศาลอีกครั้งหนึ่ง 
ซึ่งวันนี้ขบวนการขายชาติแกล้งทำเป็นหน้าโง่เข้าไปยอมรับอำนาจศาลอีกแล้ว 
ไม่สำนึกและตระหนักในสิ่งที่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ได้ทำไว้ 
จึงทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในความเสี่ยงทำให้เสียดินแดนครั้งมโหฬาร 
เพราะอย่าคิดว่าเกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องเก่า 
เนื่องจากหากไทยแพ้คดีครั้งนี้ก็จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เขมรฟ้องเรียกดินแดน
ตาม MOU 2543 คือ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบพระวิหาร 1.8 ล้านไร่ ตลอดแนวชายแดน 7
 จังหวัดและอ่าวไทย 1 ใน 3 จำนวน 27 ล้านตารางกิโลเมตรต่อไปอีก
    
 นายไพศาล พืชมงคล 
กล่าวว่าเขมรจะไปขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาไม่ได้อีกแล้ว 
เพราะเวลาล่วงเลยมานานกว่า 50 ปี และได้ยอมรับปฏิบัติกันมาจนเป็นปกติแล้ว 
จะไปอธิบายขยายความไม่ได้ 
นอกจากนั้นศาลโลกก็ไม่มีอำนาจพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องดินแดน 
ซึ่งในคดีเดิมนั้นไม่มีประเด็นพิพาทมาตั้งแต่ต้น 
จะมาตัดสินเพิ่มเติมหรือตัดสินขยายความเพิ่มเติมจากเดิมไม่ได้ 
เพราะคำอธิบายคำพิพากษาต้องไม่เกินคำตัดสินเดิม 
และไปแตะต้องเรื่องดินแดนไม่ได้
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น