หลังจากที่กัมพูชายื่นคำร้องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก
ให้ตีความคำวินิจฉัยกรณีปราสาทพระวิหารในปี 1962
คงมีคำถามตามมาว่ากัมพูชาสามารถฟ้องเพื่อให้มีการตีความในศาลโลกได้หรือไม่
เรื่องนี้ต้องพิจารณาจากคำพิพากษาเดิมประกอบกับคำร้องใหม่ของกัมพูชาว่า
มีรายละเอียดอย่างไร
และรัฐไทยควรดำเนินการอย่างไรเพื่อปกป้องสิทธิและอธิปไตยของชาติ
ประเด็นข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณา คือ
กัมพูชาสามารถขอให้ศาลโลกขยายการตีความคำพิพากษาของศาลโลกตามธรรมนูญมาตรา
60 ได้หรือไม่ ซึ่งบางฝ่ายอาจมองว่าสิ่งที่กัมพูชาฟ้องนั้น
เป็นการทำเกินอำนาจขอบเขตที่มาตรา 60 กำหนดไว้
และเสนอให้รัฐบาลไทยสู้ด้วยการตัดฟ้องอำนาจศาลโลกว่า
ไม่มีอำนาจพิจารณาขยายตีความเกินขอบเขตคำพิพากษาศาลโลก
แต่ถ้าพิจารณาจากคำฟ้องของกัมพูชากว่า 30
หน้าที่ยื่นต่อศาลโลกจะพบความจริงว่า
มีมูลเหตุของการฟ้องที่จะให้ตีความคำพิพากษาได้
ซึ่งในคำฟ้องของกัมพูชาอ้างถึงเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคจากการเจรจาทวิภาคีที่
เกี่ยวข้องกับเอ็มโอยู 2543 โดยตรง ดังนี้
กัมพูชาได้อ้างในคำฟ้องว่ารัฐบาลไทยไม่มีความจริงใจในการขับเคลื่อนกลไก
ระดับทวิภาคี
มีการเคลื่อนไหวการเมืองภายในประเทศทำให้การเจรจาเจบีซีไม่มีความคืบหน้า
จนนำไปสู่ความขัดแย้ง โดยระบุในคำฟ้องมีสาระสำคัญ ดังนี้
แม้ว่าจะมีการประชุมของเจบีซี ถึง 3 ครั้ง ในพฤศจิกายน ปี 2008
ซึ่งเป็นกระบวนการที่เริ่มต้นมาจาก mou แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า
เนื่องจากขาดแรงผลักดันทางการเมืองในส่วนของประเทศไทย
หลักก็คือกระบวนการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างสองประเทศ.....ถ้ากระบวนการนี้
ประสบความสำเร็จและสามารถจัดทำจนเสร็จสิ้น ตามที่กัมพูชาได้คาดหวัง
ก็จะสามารถขจัดความขัดแย้งใดๆ
ที่เกี่ยวกับการตีความในเรื่องของเขตแดนในพื้นที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร
ดังนั้น
กัมพูชาจึงถือว่าองค์ประกอบในการยื่นตีความนั้นครบองค์ประกอบแล้ว
เพราะครบเงื่อนไขทั้งสองอย่าง กล่าวคือ มีความจำเป็นต้องตีความหมายคำว่า
พื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารหมายถึงตรงไหน
และการตีความคำพิพากษาที่ต่างกันของทั้งสองประเทศได้นำไปสู่การสู้รบแล้ว
และทั้งหมดที่ทำได้นั้นเพราะกระบวนการจัดทำหลักเขตแดน และ mou 43 ล้มเหลว
จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คำฟ้องของกัมพูชาลงวันที่ 20 เมษายน
แต่กลับกล่าวถึงเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นล่วงหน้าระหว่างวันที่ 22-26
เมษายน
สะท้อนชัดเจนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแผนที่กัมพูชากำหนดล่วงหน้าไว้แล้ว
อาจมีข้อสงสัยว่าทำไมกัมพูชาจึงเพิ่งจะยื่นต่อศาลโลกหลังผ่านการตัดสินคดีไป
นานถึง 49 ปี
สาเหตุก็เป็นเพราะว่ากัมพูชาประสบปัญหาความขัดแย้งภายในกว่าจะสร้างชาติให้
เป็นหนึ่งเดียวได้เวลาก็ล่วงเลยไปหลายปี
เมื่อความเป็นชาติของกัมพูชามีความเข้มแข็งขึ้นจึงเริ่มสนใจที่จะเข้ามาดูแล
เขตแดนของตัวเองมากขึ้น
ทำให้เกิดข้อพิพาทกับไทยตามแนวตะเข็บชายแดนหลายครั้ง
จนนำไปสู่การทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันในการปักหลักเขตแดนให้มีความชัดเจนเพื่อ
ยุติความขัดแย้งระหว่างสองประเทศอันเป็นที่มาของเอ็มโอยู 2543
ทำให้สองฝ่ายมีกลไกทวิภาคีในการเจรจาระหว่างกัน
จนกัมพูชาไม่สามารถนำเรื่องขึ้นตีความต่อศาลโลกได้
เนื่องจากเงื่อนไขที่จะเป็นมูลเหตุของการตีความหมายคำพิพากษาตามมาตรา 60
นั้น มี 2 ประการ คือ
1. ต้องมีความตั้งใจในการทำให้ความหมายของคำพิพากษานั้นๆชัดเจนขึ้น
ไม่ใช่ต้องการให้ตอบคำถามที่ยังไม่ได้มีการตัดสิน และ 2.
ต้องมีความขัดแย้งในเรื่องของการตีความหมายคำพิพากษาจนเป็นผลให้เกิดปัญหาใน
การปฏิบัติ
สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปคือ
เราจะไม่เดินเข้าสู่การต่อสู้ในศาลโลกได้หรือไม่
คำตอบคือไม่ว่าเราจะไปหรือไม่ไม่มีผลต่อการพิจารณาของศาล
เพราะเป็นคดีเดิมที่ศาลโลกสามารถพิจารณาคดีได้แม้จะมีฝ่ายกัมพูชาเบิกความ
ข้างเดียวก็ตาม ซึ่งเท่ากับจะทำให้ไทยเสียสิทธิในการต่อสู้
เมื่อเป็นเช่นนี้ประเด็นที่ต้องวางแนวทางต่อ คือ
จะสู้คดีอย่างไรไม่ให้แพ้คดีซ้ำรอยประวัติศาสตร์ปี 1962
ซึ่งเรื่องนี้จะต้องดูรายละเอียดจากคำพิพากษาของศาลโลกและการดำเนินการของ
ทั้งฝ่ายไทยกับกัมพูชาหลังคำตัดสินเป็นตัวตั้งแล้วจะเห็นแง่มุมในการต่อกร
กับเขมร
ศาลโลกได้มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1962 ใน 3 ประเด็น คือ
1. ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา 2.
ประเทศไทยมีพันธกรณีในการถอนทหาร หรือตำรวจ หรือยาม หรือผู้ดูแล
ที่ประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหาร หรือบริเวณพื้นที่อันอยู่บนดินแดนของกัมพูชา
และ 3. ประเทศไทยมีพันธกรณีที่ต้องคืนวัตถุใดๆ
ที่ได้นำออกมาจากปราสาทหรือบริเวณพื้นที่ปราสาท
จะเห็นได้ว่าหลังคำพิพากษาของศาลโลก
ครม.ในขณะนั้นมีมติล้อมรั้วลวดหนามบริเวณรอบตัวปราสาทเพื่อเป็นแนวปฏิบัติ
การให้ทหารไทยดำเนินการดูแลขอบเขตภายใต้อธิปไตยของไทย
ซึ่งในประเด็นนี้นอกจากกัมพูชาจะไม่ได้โต้แย้งแล้ว
กษัตริย์สีหนุของกัมพูชายังเดินทางไปในพื้นที่โดยไม่มีการคัดค้าน
เท่ากับยอมรับว่าไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกอย่างสมบูรณ์แล้ว
ด้วยการถอนทหารและธงชาติไทยจากตัวปราสาท
แต่ยังคงกำลังทหารรอบปราสาทพระวิหารซึ่งอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย
ซึ่งในเรื่องนี้ประธานศาลโลกก็เคยกล่าวในงานสัมนาวิชาการครั้งหนึ่งเกี่ยว
กับกรณีปราสาทพระวิหารไว้ว่า
ไทยได้ดำเนินการทุกอย่างตามคำพิพากษาของศาลโลกแล้ว
ดังนั้นในแง่ข้อเท็จจริงก็มีมุมที่เราสามารถโต้แย้งได้อย่างมีน้ำหนัก
ประกอบกับคำฟ้องของกัมพูชามีความขัดแย้งในตัวเอง คือ มีการอ้างว่าเอ็มโอยู
2543 เกิดขึ้นเพื่อปักหลักเขตแดนตามคำพิพากษาของศาลโลก
ซึ่งขัดกับข้อเท็จจริงเพราะศาลโลกมิได้ตัดสินในเรื่องเขตแดนและแผนที่ 1 ต่อ
200,000 ตามที่กัมพูชายื่นคำร้องเพิ่มเติมเข้าไปในปีเดียวกัน (1962)
โดยศาลยกคำร้องไม่รับไว้พิจารณา
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าการที่กัมพูชายื่นคำร้องขอให้ตีความคำพิพากษา
เดิมโดยอ้างเรื่องเขตแดนรอบปราสาทพระวิหารและแผนที่ 1 ต่อ 200,000 นั้น
ถือเป็นคดีใหม่ ไม่ใช่คดีเดิมที่มีการตัดสินไปแล้ว
ซึ่งไม่เข้าเงื่อนไขตามข้อ 1 ที่ระบุว่า
ต้องมีความตั้งใจในการทำให้ความหมายของคำพิพากษานั้นๆ ชัดเจนขึ้น
ไม่ใช่ต้องการให้ตอบคำถามที่ยังไม่ได้มีการตัดสิน
จะเห็นชัดเจนว่าในทางเทคนิคของกฎหมายสิ่งนี้เป็นข้อต้อสู้สำคัญที่ไทยต้อง
โต้แย้งเป็นอันดับแรกว่า กัมพูชาไม่มีสิทธิฟ้องตามมาตรา 60
เพราะไม่ใช่คดีเดิม หากจะฟ้องต้องฟ้องเป็นคดีใหม่
ซึ่งไทยก็มีสิทธิที่จะไม่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาลโลกได้อย่างชอบ
ธรรม เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศภาคีสมาชิก
แต่ถ้าศาลโลกยังรับคำร้องของกัมพูชาไว้พิจารณา
ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการต่อสู้ในข้อเท็จจริงประกอบกับข้อกฎหมายระหว่าง
ประเทศ ซึ่งในส่วนของข้อเท็จจริงได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น
โดยกระทรวงการต่างประเทศมีหลักฐานเป็นรูปถ่ายที่กษัตริย์สีหนุเดินทางไป
ปราสาทพระวิหารในวันที่ไทยล้อมรั้วลวดหนามรอบตัวปราสาทด้วย
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค
บทความย้อนหลัง
-
▼
2011
(568)
-
▼
พฤษภาคม
(131)
-
▼
07 พ.ค.
(7)
- บทความ 20 หน้า แสดงจุดยืนรัฐบาลประชาธิปัตย์ เปรียบ...
- ศาลโลกตีความใหม่ไทยไม่เสียเปรียบ
- ทนายพันธมิตรฯ เตรียมฟ้องกองทัพไทย
- แฉนายกฯ หลอกชาวบ้านหยุดพูด 7 คนถูกจับในเขตไทย--ยัน...
- ชมคลิป ชาวสระแก้วจับโกหกรัฐ ยันบ่อน้ำ UN อยู่ในเขตไทย
- มาร์คยกพระวิหารซักฟอกหมักปี51
- เปิดจม.เสนีย์ มติครม.2505 ชี้ชัด ปราสาทพระวิหารของ...
-
▼
07 พ.ค.
(7)
-
▼
พฤษภาคม
(131)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น