บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ศาลโลกตีความใหม่ไทยไม่เสียเปรียบ

หลังจากที่กัมพูชายื่นคำร้องให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก ให้ตีความคำวินิจฉัยกรณีปราสาทพระวิหารในปี 1962 คงมีคำถามตามมาว่ากัมพูชาสามารถฟ้องเพื่อให้มีการตีความในศาลโลกได้หรือไม่
     
       เรื่องนี้ต้องพิจารณาจากคำพิพากษาเดิมประกอบกับคำร้องใหม่ของกัมพูชาว่า มีรายละเอียดอย่างไร และรัฐไทยควรดำเนินการอย่างไรเพื่อปกป้องสิทธิและอธิปไตยของชาติ
     
       ประเด็นข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณา คือ กัมพูชาสามารถขอให้ศาลโลกขยายการตีความคำพิพากษาของศาลโลกตามธรรมนูญมาตรา 60 ได้หรือไม่ ซึ่งบางฝ่ายอาจมองว่าสิ่งที่กัมพูชาฟ้องนั้น เป็นการทำเกินอำนาจขอบเขตที่มาตรา 60 กำหนดไว้ และเสนอให้รัฐบาลไทยสู้ด้วยการตัดฟ้องอำนาจศาลโลกว่า ไม่มีอำนาจพิจารณาขยายตีความเกินขอบเขตคำพิพากษาศาลโลก
     
       แต่ถ้าพิจารณาจากคำฟ้องของกัมพูชากว่า 30 หน้าที่ยื่นต่อศาลโลกจะพบความจริงว่า มีมูลเหตุของการฟ้องที่จะให้ตีความคำพิพากษาได้ ซึ่งในคำฟ้องของกัมพูชาอ้างถึงเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคจากการเจรจาทวิภาคีที่ เกี่ยวข้องกับเอ็มโอยู 2543 โดยตรง ดังนี้
     
       กัมพูชาได้อ้างในคำฟ้องว่ารัฐบาลไทยไม่มีความจริงใจในการขับเคลื่อนกลไก ระดับทวิภาคี มีการเคลื่อนไหวการเมืองภายในประเทศทำให้การเจรจาเจบีซีไม่มีความคืบหน้า จนนำไปสู่ความขัดแย้ง โดยระบุในคำฟ้องมีสาระสำคัญ ดังนี้
     
       แม้ว่าจะมีการประชุมของเจบีซี ถึง 3 ครั้ง ในพฤศจิกายน ปี 2008 ซึ่งเป็นกระบวนการที่เริ่มต้นมาจาก mou แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากขาดแรงผลักดันทางการเมืองในส่วนของประเทศไทย หลักก็คือกระบวนการจัดทำหลักเขตแดนระหว่างสองประเทศ.....ถ้ากระบวนการนี้ ประสบความสำเร็จและสามารถจัดทำจนเสร็จสิ้น ตามที่กัมพูชาได้คาดหวัง ก็จะสามารถขจัดความขัดแย้งใดๆ ที่เกี่ยวกับการตีความในเรื่องของเขตแดนในพื้นที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร
     
       ดังนั้น กัมพูชาจึงถือว่าองค์ประกอบในการยื่นตีความนั้นครบองค์ประกอบแล้ว เพราะครบเงื่อนไขทั้งสองอย่าง กล่าวคือ มีความจำเป็นต้องตีความหมายคำว่า พื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหารหมายถึงตรงไหน และการตีความคำพิพากษาที่ต่างกันของทั้งสองประเทศได้นำไปสู่การสู้รบแล้ว และทั้งหมดที่ทำได้นั้นเพราะกระบวนการจัดทำหลักเขตแดน และ mou 43 ล้มเหลว
     
       จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คำฟ้องของกัมพูชาลงวันที่ 20 เมษายน แต่กลับกล่าวถึงเหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นล่วงหน้าระหว่างวันที่ 22-26 เมษายน สะท้อนชัดเจนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแผนที่กัมพูชากำหนดล่วงหน้าไว้แล้ว
     
       อาจมีข้อสงสัยว่าทำไมกัมพูชาจึงเพิ่งจะยื่นต่อศาลโลกหลังผ่านการตัดสินคดีไป นานถึง 49 ปี สาเหตุก็เป็นเพราะว่ากัมพูชาประสบปัญหาความขัดแย้งภายในกว่าจะสร้างชาติให้ เป็นหนึ่งเดียวได้เวลาก็ล่วงเลยไปหลายปี เมื่อความเป็นชาติของกัมพูชามีความเข้มแข็งขึ้นจึงเริ่มสนใจที่จะเข้ามาดูแล เขตแดนของตัวเองมากขึ้น ทำให้เกิดข้อพิพาทกับไทยตามแนวตะเข็บชายแดนหลายครั้ง จนนำไปสู่การทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันในการปักหลักเขตแดนให้มีความชัดเจนเพื่อ ยุติความขัดแย้งระหว่างสองประเทศอันเป็นที่มาของเอ็มโอยู 2543 ทำให้สองฝ่ายมีกลไกทวิภาคีในการเจรจาระหว่างกัน จนกัมพูชาไม่สามารถนำเรื่องขึ้นตีความต่อศาลโลกได้ เนื่องจากเงื่อนไขที่จะเป็นมูลเหตุของการตีความหมายคำพิพากษาตามมาตรา 60 นั้น มี 2 ประการ คือ
     
       1. ต้องมีความตั้งใจในการทำให้ความหมายของคำพิพากษานั้นๆชัดเจนขึ้น ไม่ใช่ต้องการให้ตอบคำถามที่ยังไม่ได้มีการตัดสิน และ 2. ต้องมีความขัดแย้งในเรื่องของการตีความหมายคำพิพากษาจนเป็นผลให้เกิดปัญหาใน การปฏิบัติ
     
       สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไปคือ เราจะไม่เดินเข้าสู่การต่อสู้ในศาลโลกได้หรือไม่ คำตอบคือไม่ว่าเราจะไปหรือไม่ไม่มีผลต่อการพิจารณาของศาล เพราะเป็นคดีเดิมที่ศาลโลกสามารถพิจารณาคดีได้แม้จะมีฝ่ายกัมพูชาเบิกความ ข้างเดียวก็ตาม ซึ่งเท่ากับจะทำให้ไทยเสียสิทธิในการต่อสู้
     
       เมื่อเป็นเช่นนี้ประเด็นที่ต้องวางแนวทางต่อ คือ จะสู้คดีอย่างไรไม่ให้แพ้คดีซ้ำรอยประวัติศาสตร์ปี 1962 ซึ่งเรื่องนี้จะต้องดูรายละเอียดจากคำพิพากษาของศาลโลกและการดำเนินการของ ทั้งฝ่ายไทยกับกัมพูชาหลังคำตัดสินเป็นตัวตั้งแล้วจะเห็นแง่มุมในการต่อกร กับเขมร
     
       ศาลโลกได้มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 1962 ใน 3 ประเด็น คือ 1. ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา 2. ประเทศไทยมีพันธกรณีในการถอนทหาร หรือตำรวจ หรือยาม หรือผู้ดูแล ที่ประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหาร หรือบริเวณพื้นที่อันอยู่บนดินแดนของกัมพูชา และ 3. ประเทศไทยมีพันธกรณีที่ต้องคืนวัตถุใดๆ ที่ได้นำออกมาจากปราสาทหรือบริเวณพื้นที่ปราสาท
     
       จะเห็นได้ว่าหลังคำพิพากษาของศาลโลก ครม.ในขณะนั้นมีมติล้อมรั้วลวดหนามบริเวณรอบตัวปราสาทเพื่อเป็นแนวปฏิบัติ การให้ทหารไทยดำเนินการดูแลขอบเขตภายใต้อธิปไตยของไทย ซึ่งในประเด็นนี้นอกจากกัมพูชาจะไม่ได้โต้แย้งแล้ว กษัตริย์สีหนุของกัมพูชายังเดินทางไปในพื้นที่โดยไม่มีการคัดค้าน
     
       เท่ากับยอมรับว่าไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกอย่างสมบูรณ์แล้ว ด้วยการถอนทหารและธงชาติไทยจากตัวปราสาท แต่ยังคงกำลังทหารรอบปราสาทพระวิหารซึ่งอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย ซึ่งในเรื่องนี้ประธานศาลโลกก็เคยกล่าวในงานสัมนาวิชาการครั้งหนึ่งเกี่ยว กับกรณีปราสาทพระวิหารไว้ว่า ไทยได้ดำเนินการทุกอย่างตามคำพิพากษาของศาลโลกแล้ว
     
       ดังนั้นในแง่ข้อเท็จจริงก็มีมุมที่เราสามารถโต้แย้งได้อย่างมีน้ำหนัก ประกอบกับคำฟ้องของกัมพูชามีความขัดแย้งในตัวเอง คือ มีการอ้างว่าเอ็มโอยู 2543 เกิดขึ้นเพื่อปักหลักเขตแดนตามคำพิพากษาของศาลโลก ซึ่งขัดกับข้อเท็จจริงเพราะศาลโลกมิได้ตัดสินในเรื่องเขตแดนและแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตามที่กัมพูชายื่นคำร้องเพิ่มเติมเข้าไปในปีเดียวกัน (1962) โดยศาลยกคำร้องไม่รับไว้พิจารณา
     
       เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าการที่กัมพูชายื่นคำร้องขอให้ตีความคำพิพากษา เดิมโดยอ้างเรื่องเขตแดนรอบปราสาทพระวิหารและแผนที่ 1 ต่อ 200,000 นั้น ถือเป็นคดีใหม่ ไม่ใช่คดีเดิมที่มีการตัดสินไปแล้ว ซึ่งไม่เข้าเงื่อนไขตามข้อ 1 ที่ระบุว่า ต้องมีความตั้งใจในการทำให้ความหมายของคำพิพากษานั้นๆ ชัดเจนขึ้น ไม่ใช่ต้องการให้ตอบคำถามที่ยังไม่ได้มีการตัดสิน
     
       จะเห็นชัดเจนว่าในทางเทคนิคของกฎหมายสิ่งนี้เป็นข้อต้อสู้สำคัญที่ไทยต้อง โต้แย้งเป็นอันดับแรกว่า กัมพูชาไม่มีสิทธิฟ้องตามมาตรา 60 เพราะไม่ใช่คดีเดิม หากจะฟ้องต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ ซึ่งไทยก็มีสิทธิที่จะไม่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาลโลกได้อย่างชอบ ธรรม เพราะเราไม่ได้เป็นประเทศภาคีสมาชิก
     
       แต่ถ้าศาลโลกยังรับคำร้องของกัมพูชาไว้พิจารณา ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนของการต่อสู้ในข้อเท็จจริงประกอบกับข้อกฎหมายระหว่าง ประเทศ ซึ่งในส่วนของข้อเท็จจริงได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น โดยกระทรวงการต่างประเทศมีหลักฐานเป็นรูปถ่ายที่กษัตริย์สีหนุเดินทางไป ปราสาทพระวิหารในวันที่ไทยล้อมรั้วลวดหนามรอบตัวปราสาทด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง