บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ความเป็นชาติและความสิ้นชาติ

ขณะที่กำลังปวดหัวอยู่กับเรื่องหญ้าแพรก เรือดันน้ำ เรื่องนิติเรด ไปจนถึงเรื่องทหารไทยแห่งกองทัพไทยแท้ๆ แต่กลับคิดจะหาทางแก้ไขกฎหมายสภากลาโหม ที่ช่วยปกป้องไม่ให้เกิดการแทรกแซงกองทัพ ฯลฯ จนแทบไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรต่อมิอะไรต่อไปดี เผอิญมีโอกาสไปเปิดดูเว็บไซต์ของพรรคพวก ชื่อว่า Muslim Today เห็นข่าวเล็กๆ อยู่ชิ้นหนึ่ง ที่ดูจะแปลกออกไป จากข่าวซึ่งปรากฏอยู่ในสื่อทั่วๆ ไป เลยต้องขออนุญาตนำมาขยายผลเอาไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้…
                             ——————————————-


 ข่าวดังกล่าวพาดหัวเอาไว้ว่า ยุคแรงงานเขมรเป็นใหญ่ ล้อมกรอบทุบรถพังยับ ทำร้ายตำรวจไม่ถูกจับ โดยแจกแจงรายละเอียดไว้ว่า…วันที่ 2 ต.ค.54 บริเวณสนามฟุตบอลข้างบ้านพักพนักงานของโรงเชือดไก่ บจก.พนัส อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี เกิดเหตุแรงงานจากกัมพูชาเกือบ 2,000 คน ก่อการจลาจล ทุบตีรถยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เหตุเกิดในช่วงเย็น ขณะที่มีการแข่งขันฟุตบอลเชื่อมสัมพันธ์แรงงานไทยกับแรงงานเขมร ของโรงเชือดไก่ โดยแรงงานไทยมีประมาณ 100 คน ขณะที่แรงงานเขมรและกองเชียร์ของโรงเชือดไก่ที่เดียวมีประมาณ 2,000 คน ซึ่งมีการดื่มสุราจนเมากันเป็นจำนวนมาก และระหว่างแข่งขัน นักเตะแรงงานเขมรเล่นแรงและเตะแรงงานไทย ทำให้เกิดชุลมุนต่างตะลุมบอนกันวุ่นวาย
 เจ้าของโรงงานแจ้ง พ.ต.ท.ณัฐจักร นำตำรวจและหน่วยกู้ภัยมากว่า 100 คน มาถึงก็ให้แรงงานไทยกว่า 100 คน ออกจากที่เกิดเหตุไปก่อน เพราะกลัวจะทะเลาะบานปลายไปอีก สร้างความไม่เข้าใจต่อแรงงานเขมร เพราะเข้าใจว่า เข้าข้างแรงงานไทย จึงปิดล้อมตำรวจและรถยนต์สายตรวจ เอาไม้ก้อนอิฐ ก้อนหินขว้างปา และไล่ทำร้ายตำรวจ ทำลายรถยนต์สายตรวจและทรัพย์สินตำรวจเสียหาย และใช้ไม้ อิฐ ก้อนหิน ทำร้ายพันตำรวจโท ณัฐจักร เอี่ยมสุวรรณ รอง ผกก.สถานีตำรวจภูธรพนัสนิคม และปิดล้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยกู้ภัย ต่อมา พ.ต.อ.พิสิฐ โปรยรุ่งโรจน์ รอง ผกก.ตำรวจภูธร จังหวัดชลบุรี นำกำลังตำรวจ และกองร้อยควบคุมฝูงชนกว่า 500 นาย พร้อมอาวุธกระบองและโล่เข้าไปกดดัน….
 จนกระทั่งเวลา 21.30 น. ทางแกนนำแรงงานเขมรยอมสลายตัว และเลิกปิดล้อมตำรวจภูธรพนัสนิคม และคืนรถยนต์สายตรวจ โดยตำรวจรับปากจะหาแรงงานไทยที่เป็นคนก่อเหตุชกต่อยแรงงานเขมรมาดำเนินคดี ส่วนเจ้าของโรงงานก็รับปากจะยอมชดใช้ค่าเสียหาย ซ่อมรถยนต์สายตรวจและทรัพย์สินของตำรวจที่เสียหาย จำนวน 100,000 บาท
 ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 10 ก.ค.54 ที่โรงงานจีเอฟพีที (ไทย) อ.หนองใหญ่ จ.ชลบุรี เกิดปัญหาพิพาททะเลาะชกต่อย ระหว่างแรงงานกัมพูชากับแรงงานไทย รปภ.ของโรงงานควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ จึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หนองใหญ่ มาระงับเหตุ คนงานเขมรรวมตัวกันกว่า 200 คน เพราะไม่พอใจคนงานไทย 2 คน ขณะที่กำลังนำตัวคนงานไทย 2 คนขึ้นรถและกำลังขับออกจากโรงงาน กลุ่มคนงานเขมรยังไม่พอใจ รวมตัวกันมากขึ้นถึง 700 คน ตำรวจพยายามเจรจากับแกนนำคนงานเขมร แต่ก็ไม่เป็นผล คนงานเขมรต่างก็หยิบไม้และก้อนหินขว้างปาใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจและรถยนต์ของตำรวจที่จอดอยู่จนเสียหาย โดยไม่มีการดำเนินคดีกับกลุ่มแรงงานเขมร…
                            ——————————————————
 อันที่จริงข่าวที่ว่านี้ก็คงเป็นแค่ข่าวการทะเลาะเบาะแว้งธรรมดาๆ จะเป็นด้วยความเข้าใจผิด หรือไม่เข้าใจก็แล้วแต่ ซึ่งย่อมสามารถเกิดขึ้นได้เสมอๆสำหรับผู้คนทุกชาติ ทุกภาษา แต่จะเป็นเพราะเหตุที่บรรดานักการเมืองไทยระดับรัฐมนตรี ระดับประธานรัฐสภา เพิ่งยกขบวนไปแสดงมิตรไมตรี เตะฟุตบอลเชื่อมความสัมพันธ์กับรัฐบาลเขมร อย่างชนิดเป็นที่ชื่นมื่น ระดับบางรายที่เคยมีอุปนิสัยหยาบกร้าน ก้าวร้าว ต่อใครก็ตามที่มีฐานะเป็นฝ่ายตรงกันข้าม แม้ว่าจะเป็นคนไทยด้วยกันก็แล้วแต่ ถึงขั้นผวาเข้ากราบไข่ผู้นำกัมพูชา อย่างแทบไม่น่าเชื่อสายตา มันเลยทำให้อดไม่ได้ที่จะนำเอาข่าวคราวเหล่านี้มาขบคิด พิจารณา ภายใต้ภาวะที่ความเป็นชาติ ความเป็นประเทศในหมู่ชนชาวไทย มันชักจะเป็นอะไรที่ดูจะตกต่ำ เสื่อมโทรม ลงไปเรื่อยๆ…
                             ——————————————————–
 เพราะแม้ว่าสัมพันธภาพระหว่างไทยกับกัมพูชาภายใต้รัฐบาลชุดนี้…จะดูดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ อันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ยินดี อย่างไม่พึงต้องสงสัย แต่ภายใต้สัมพันธภาพที่ดีขึ้นนั้น ถ้าหากมันเกิดขึ้นภายใต้ความตกต่ำของความเป็นชาติในหมู่คนไทยด้วยกันเอง มันก็ออกจะเป็นอะไรที่น่าหนักใจ น่าวิตก ห่วงใย เป็นอย่างยิ่ง เพราะมันอาจไม่ใช่สัมพันธภาพที่ตั้งอยู่บนความรัก ความปรารถนาดี ระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ด้วยกันตามปกติ แต่มันอาจกลายเป็นสัมพันธภาพ ที่ตั้งอยู่บนการรับใช้ การเป็นทาส อันมีที่มาจากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มคนที่ไม่ได้สนใจความเป็นชาติ นอกเสียจากผลประโยชน์ของตัวกู-พวกกูล้วนๆ…



                           ————————————————————
 ยิ่งถ้าใครได้รับทราบคำพูด คำจา ของคนไทยบางกลุ่ม บางราย ในงานเลี้ยงรื่นเริง แสดงความยินดีของกลุ่มคนไทยในแผ่นดินเขมรนั้น ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องหนักใจเข้าไปใหญ่ ไม่เพียงแต่คำพูดอันเป็นที่เสียดแทงความรู้สึกของผู้คนในชาติเดียวกันกับตัวเองเท่านั้น ความไม่สนใจในความเป็นชาติ ไร้เสียซึ่งความรู้สึกผูกพันกับผู้คนในแผ่นดินเดียวกันกับตัวเอง ชนิดแทนที่จะคิดยกพวกไปตีกับใครต่อใคร ที่ไม่ใช่ชาติเดียวกัน ดันคิดจะอาศัยแผ่นดินเขมรยกพวกไปตีกับคนชาติเดียวกันไปซะนี่…ทำให้คนเหล่านี้ดูจะเป็นอะไรที่ตกต่ำซะยิ่งกว่าแรงงานเขมร ซึ่งเข้ามาหากินในเมืองไทย ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า…
                              ————————————————————–
 ว่าไปแล้ว…การนำเอาความเป็นชาติมาใช้เป็นตัวแบ่งแยก กีดกัน มุ่งร้ายทำลายซึ่งกันและกัน มันย่อมเป็นสิ่งที่ควรปฏิเสธอยู่แล้วแน่ๆ แต่การไร้เสียซึ่งความเป็นชาติ ไร้เสียซึ่งความผูกพันต่อผู้คนในแผ่นดินเดียวกัน เหลือแต่เพียงผลประโยชน์ของ ตัวกู-พวกกู เป็นสรณะ แต่เพียงเท่านั้น อันนี้…ไม่ว่าจะเป็นชาติไหน แบบไหน ฝ่ายไหน ล้วนแล้วแต่ อันตราย ไปด้วยกันทั้งนั้น ยิ่งประเภทที่มุ่งแต่จะได้มาซึ่งผลประโยชน์ของ ตัวกู-พวกกู โดยไม่สนใจแม้กระทั่งปราการด่านสุดท้าย ในการปกป้องความเป็นชาติอย่าง กองทัพ ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นอะไรที่ฉิบหายหนักขึ้นไปใหญ่ ไม่ต้องรอให้กองทัพไทยเผชิญหน้ากับกองทัพเขมรหรอก แค่เจอเข้ากับแรงงานเขมรไล่ตีแรงงานไทยในแผ่นดินไทยแท้ๆ ก็เรียกว่า สิ้นชาติ กันเห็นๆ…
                            —————————————————————
 ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก วิลเลียมที่ 3 กษัตริย์อังกฤษ…มีอยู่วิธีหนึ่งที่แน่นอน ในอันที่จะทำให้ข้าพเจ้าไม่ต้องได้เห็นความย่อยยับของประเทศตัวเอง นั่นคือ…ข้าพเจ้าจะขอตายในคูรบแห่งสุดท้าย…

ท่านขุนน้อย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง