บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

บทบาทของเขมรกับการเมืองไทย





พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รับการต้อนรับจากนายกรัฐมนตรีฮุนเซ็น
 ของกัมพูชา เมื่อวันที่ 17 กันยายน หรือสองวันหลังจากที่นายกรัฐมนตรีไทย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการ


การ ดำเนินนโยบายของประเทศต่างๆ ในโลกนี้ ล้วนมีจุดประสงค์เหมือนๆ กัน คือ การรักษาผลประโยชน์ของชาติของตน เมื่อพูดถึงผลประโยชน์ของชาติ ย่อมมีรายละเอียดมากมายเกี่ยวข้องกันหลายเรื่องราว ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม ผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ก็มองเห็นกันง่ายๆ เช่น ป่าไม้ เหมืองแร่ น้ำมันใต้ทะเลและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ ส่วนผลประโยชน์ที่เป็นนามธรรมเช่น ความสงบร่มเย็นของประเทศหรือของสังคม ก็เป็นผลประโยชน์ที่มีความสำคัญมากทีเดียว เพราะหากบ้านเมืองสงบ ผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ และสังคม การทำมาค้าขาย ย่อมดำเนินไปได้ด้วยดี


          เมื่อเราเข้าใจเกี่ยวกับผลประโยชน์ แล้ว จะต้องเข้าใจต่อไปอีกว่า ผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างตนและผลประโยชน์ของชาติ ก็อีกประเด็นหนึ่งที่ควรจะทำความเข้าใจเสียก่อนแล้วค่อยมา “ถกเขมร” กัน
          ผลประโยชน์ทับซ้อนก็คือ การที่รัฐบาล ซึ่งส่วนมากล้วนเป็นนายทุนระดับชาติที่พยายามเข้าถึงทรัพยากรและงบประมาณของ ชาติให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ นักการเมืองที่ร่ำรวยจึงพยายามรวมตัวกันให้เป็นปึกแผ่น เพื่อจะได้เข้าไปบริหารประเทศและบริหารงบประมาณด้วยการวางแผนใช้งบประมาณ อย่างแนบเนียนผ่านนโยบายรัฐบาล ซึ่งดูเหมือนว่าจะดีหากมองอย่างผิวเผิน แต่ถ้ามองอย่างลึกซึ้งแล้ว นายทุนที่แอบแฝงมาในคราบของรัฐบาลนี่เองที่ส่วนใหญ่ก็คือ เสือที่ห่อหุ้มตนเองด้วยหนังวัว แล้วแอบเข้าไปอยู่ในท่ามกลางฝูงวัว เผลอเมื่อไรก็จับกินได้ง่ายๆ อย่างละม่อม จนวัวหมดคอก
          ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในวันนี้ รัฐบาลเริ่มมีนโยบายแบบผลประโยชน์ทับซ้อนเต็มไปหมด นโยบายแต่ละนโยบายล้วนสนับสนุนให้พรรคพวกเพื่อนฝูงพี่น้องและญาติได้รับ ประโยชน์อย่างมหาศาล แล้วพรางตาด้วยผักชีโรยหน้าแบบหลอกชาวบ้านให้ตายใจด้วยเศษเงินเล็กน้อยแล้ว ไปกินของใหญ่ที่ชาวบ้านไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เช่น เรื่องรถยนต์คันแรก และบ้านหลังแรก เป็นเรื่องที่รัฐบาลสร้างนโยบายขึ้นมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องอย่าง แนบเนียน ดูง่ายๆ เช่นการลดภาษีให้ผู้ประกอบการ 23 เปอร์เซ็นต์ งานนี้คนที่ได้รับผลประโยชน์ ดูเหมือนว่าจะเป็นประชาชนผู้ซื้อบ้านซื้อรถ แต่เนื้อหาที่แท้จริงได้แก่นักธุรกิจที่จะขายบ้านและรถด้วยนโยบายแรงจูงใจ ของรัฐบาลที่จะคืนภาษีให้หนึ่งแสนบาท
          จับตามองให้ดี ภาษีที่จะคืนให้คือ เงินของประเทศ แต่เมื่อกระตุ้นตัณหาของผู้ซื้อสำเร็จแล้ว บรรดานายทุนและผู้ประกอบการจะได้รับผลประโยชน์แบบเนื้อๆ สองเด้งรวด นี่คือตัวอย่างของผลประโยชน์ทับซ้อน ไม่ต้องกล่าวถึงบรรดาญาติมิตรผู้ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีที่มีธุรกิจเกี่ยวกับ บ้านที่ดินและรถยนต์กันทั่วหน้าจะได้อานิสงส์สักปานใด
          นี่คือ ต้นแบบโคลนนิ่ง ทักษิณละ เขาจะไม่กินแบบตะกละตะกลามในที่แจ้งๆ แต่เขาจะกินจากเรื่องที่สลับซับซ้อนที่ใครตามไม่ทัน เช่น เขาเคยออกนโยบาย หมู่บ้านละล้าน ทั้งหมดแปดหมื่นหมู่บ้าน รัฐต้องจ่ายเงินแปดหมื่นล้าน แต่คิดคร่าวๆ เงินเหล่านี้ หากประชาชนนำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ที่ขณะนั้นเขาผูกขาดอยู่เพียงคนเดียว เพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์เขาจะโกยเงินเข้ากระเป๋าไปเท่าไร นี่ไม่นับการขายอุปกรณ์โทรคมนาคมให้พม่าโดยบริษัทของเขาเป็นผู้รับเงินที่ กู้ไปจากรัฐแต่มาซื้อของในตระกูลของเขา หากถามว่า ทักษิณโกงไหม ก็ตอบว่าไม่โกง เพราะเขาไม่ได้ขายอุปกรณ์เหล่านี้ แต่ญาติๆ ของเขาเป็นผู้ขาย ฟังดูดีแต่ทับซ้อนไว้ทั้งพวง
          ทีนี้เรามาดูผลประโยชน์ทับซ้อน ที่ทักษิณ กำลังรวมหัวกับฮุนเซ็นเล่นการเมืองข้ามชาติ นั้นคือ ฮุนเซ็นจะพยายามสร้างสถานการณ์ทุกอย่างที่พยายามทำลายความน่าเชื่อถือของ รัฐบาลที่แล้ว เช่น การส่งทหารเข้ามายิงตามแนวชายแดนจนมีคนบาดเจ็บล้มตายเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตราบใดนายกรัฐมนตรีเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตระกูลชินวัตร ตราบนั้นประเทศไทยไม่ต้องสงบ แต่พอรัฐบาลตระกูลชินวัตรเข้ามาพี่ชายมาบัญชาการอยู่กับฮุนเซ็น ปัญหาข้อพิพาทที่ชักจะบานปลายสงบเงียบ ประชาชนตามแนวชายแดนอยู่เย็นเป็นสุข
          พรรคเพื่อไทยก็จะบอกว่า เห็นไหมพอพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแม้แต่ชายแดนยังสงบเลย นี่คือ ตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าตระกูลชินวัตร ทำได้ทุกอย่าง แม้แต่คิดกับต่างชาติมาเข่นฆ่าคนไทยเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ทางการเมือง
          และนายฮุนเซ็น คือเพื่อนบ้านที่ไร้มารยาทที่สุด ยุแหย่ ให้คนไทยที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมารบกันเอง การปล่อยให้พวกเสื้อแดงและพลพรรคเพื่อไทยเข้าไปจัดกิจกรรมทางการเมือง เป็นการตอกย้ำว่า ฮุนเซ็นก็คือ ประธานสาขาพรรคเพื่อไทยประจำเขมร นักการเมืองคนไหนทำผิดกฎหมาย ก็หนีไปอยู่เขมรก็จะปลอดภัย ไม่ว่าตัวน้อยตัวใหญ่ นับว่าเป็นประเทศฝนตกขี้หมูไหลจริงๆ
          พอฮุนเซ็นยุแหย่ สร้างเงื่อนไขให้คนไทยรบกันเองได้สำเร็จแล้ว นักท่องเที่ยวก็ไม่กล้ามาไทยเพราะเขารบกันอยู่เรื่อย ก็มุ่งตรงเข้าเวียดนาม เขมร โดยตรง
          นี่คือ ผลประโยชน์ที่ไทยต้องเสียไปจากการยุแหย่ของฮุนเซ็น
          เราต้องสูญเสียผลประโยชน์จากการ ท่องเที่ยวไปอย่างมหาศาล เพราะความร่วมมือกวนเมืองของทักษิณและฮุนเซ็นนี่เอง ตอนนี้พอมีอำนาจ ก็จะมาร่วมเสวยสุข ด้วยการหยิบยกเรื่องน้ำมันใต้ทะเลในอาณาเขตทับซ้อนไทยเขมรมาคุยก่อนเรื่อง อื่น
          จุดทับซ้อนก็อยู่ตรงที่ว่า ปู มีนโยบาย ที่จะเข้าไปจัดการทรัพยากรน้ำมันและแก๊สใต้ทะเล แต่ทักษิณก็รอที่จะเข้าไปลงทุนในฐานะเอกชนนักลงทุนคนหนึ่ง แม้พี่น้องคู่นี้จะโกหกเก่งทั้งคู่ว่า เรื่องนี้ไม่มีส่วนรู้ส่วนเห็น แต่ติดตามดูให้ดีๆ ผลที่ออกมาล้วนตรงกันข้ามเสมอ มีสิ่งใดบ้างที่ปูปฏิเสธแล้วไม่ทำบ้าง ปฏิเสธแล้วทำทุกเรื่อง... เขาเรียกว่า โกหกหน้าด้านๆ
          ฮุนเซ็นได้ชื่อว่า เป็นเพื่อนยามยากที่ทักษิณ ซาบซึ้งน้ำใจเป็นหนักเป็นหนา ความร่วมมือก่อความวุ่นวายให้ประเทศไทยที่ทำให้รัฐบาลคู่ต่อสู้ต้องพ่ายแพ้ ไปอย่างย่อยยับ บัดนี้ได้อำนาจเบ็ดเสร็จ จึงถึงเวลาที่ทักษิณจะตอบแทนคุณฮุนเซ็นแล้ว การตอบแทนคุณที่ทักษิณจะทำ จะไปกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติมากน้อยเพียงใดไม่สนใจ ขอให้ตัวเองได้แบ่งประโยชน์ให้แก่กันและกันก็พอแล้ว
          ตราบใดที่คนไทยไม่เข้าใจเขมรให้ทะลุทะลวง ตราบนั้น เขมรก็กลายเป็นตัวช่วยนักการเมืองไทยที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว กอบโกยทรัพยากรธรรมชาติไปเป็นของตนเองและพวกพ้องจนชาติแทบจะไม่เหลืออะไร.
           
           
ข่าวสังคมคนไทยในอเมริกา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง