การ
ดำเนินนโยบายของประเทศต่างๆ ในโลกนี้ ล้วนมีจุดประสงค์เหมือนๆ กัน คือ
การรักษาผลประโยชน์ของชาติของตน เมื่อพูดถึงผลประโยชน์ของชาติ
ย่อมมีรายละเอียดมากมายเกี่ยวข้องกันหลายเรื่องราว
ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
ผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้ก็มองเห็นกันง่ายๆ เช่น ป่าไม้
เหมืองแร่ น้ำมันใต้ทะเลและทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ
ส่วนผลประโยชน์ที่เป็นนามธรรมเช่น ความสงบร่มเย็นของประเทศหรือของสังคม
ก็เป็นผลประโยชน์ที่มีความสำคัญมากทีเดียว เพราะหากบ้านเมืองสงบ
ผลประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ และสังคม การทำมาค้าขาย ย่อมดำเนินไปได้ด้วยดี
เมื่อเราเข้าใจเกี่ยวกับผลประโยชน์
แล้ว จะต้องเข้าใจต่อไปอีกว่า
ผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างตนและผลประโยชน์ของชาติ
ก็อีกประเด็นหนึ่งที่ควรจะทำความเข้าใจเสียก่อนแล้วค่อยมา “ถกเขมร” กัน
ผลประโยชน์ทับซ้อนก็คือ
การที่รัฐบาล
ซึ่งส่วนมากล้วนเป็นนายทุนระดับชาติที่พยายามเข้าถึงทรัพยากรและงบประมาณของ
ชาติให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
นักการเมืองที่ร่ำรวยจึงพยายามรวมตัวกันให้เป็นปึกแผ่น
เพื่อจะได้เข้าไปบริหารประเทศและบริหารงบประมาณด้วยการวางแผนใช้งบประมาณ
อย่างแนบเนียนผ่านนโยบายรัฐบาล ซึ่งดูเหมือนว่าจะดีหากมองอย่างผิวเผิน
แต่ถ้ามองอย่างลึกซึ้งแล้ว
นายทุนที่แอบแฝงมาในคราบของรัฐบาลนี่เองที่ส่วนใหญ่ก็คือ
เสือที่ห่อหุ้มตนเองด้วยหนังวัว แล้วแอบเข้าไปอยู่ในท่ามกลางฝูงวัว
เผลอเมื่อไรก็จับกินได้ง่ายๆ อย่างละม่อม จนวัวหมดคอก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในวันนี้
รัฐบาลเริ่มมีนโยบายแบบผลประโยชน์ทับซ้อนเต็มไปหมด
นโยบายแต่ละนโยบายล้วนสนับสนุนให้พรรคพวกเพื่อนฝูงพี่น้องและญาติได้รับ
ประโยชน์อย่างมหาศาล
แล้วพรางตาด้วยผักชีโรยหน้าแบบหลอกชาวบ้านให้ตายใจด้วยเศษเงินเล็กน้อยแล้ว
ไปกินของใหญ่ที่ชาวบ้านไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เช่น เรื่องรถยนต์คันแรก
และบ้านหลังแรก
เป็นเรื่องที่รัฐบาลสร้างนโยบายขึ้นมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่พวกพ้องอย่าง
แนบเนียน ดูง่ายๆ เช่นการลดภาษีให้ผู้ประกอบการ 23 เปอร์เซ็นต์
งานนี้คนที่ได้รับผลประโยชน์ ดูเหมือนว่าจะเป็นประชาชนผู้ซื้อบ้านซื้อรถ
แต่เนื้อหาที่แท้จริงได้แก่นักธุรกิจที่จะขายบ้านและรถด้วยนโยบายแรงจูงใจ
ของรัฐบาลที่จะคืนภาษีให้หนึ่งแสนบาท
จับตามองให้ดี
ภาษีที่จะคืนให้คือ เงินของประเทศ
แต่เมื่อกระตุ้นตัณหาของผู้ซื้อสำเร็จแล้ว
บรรดานายทุนและผู้ประกอบการจะได้รับผลประโยชน์แบบเนื้อๆ สองเด้งรวด
นี่คือตัวอย่างของผลประโยชน์ทับซ้อน
ไม่ต้องกล่าวถึงบรรดาญาติมิตรผู้ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีที่มีธุรกิจเกี่ยวกับ
บ้านที่ดินและรถยนต์กันทั่วหน้าจะได้อานิสงส์สักปานใด
นี่คือ ต้นแบบโคลนนิ่ง ทักษิณละ
เขาจะไม่กินแบบตะกละตะกลามในที่แจ้งๆ
แต่เขาจะกินจากเรื่องที่สลับซับซ้อนที่ใครตามไม่ทัน เช่น เขาเคยออกนโยบาย
หมู่บ้านละล้าน ทั้งหมดแปดหมื่นหมู่บ้าน รัฐต้องจ่ายเงินแปดหมื่นล้าน
แต่คิดคร่าวๆ เงินเหล่านี้ หากประชาชนนำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ
ที่ขณะนั้นเขาผูกขาดอยู่เพียงคนเดียว
เพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์เขาจะโกยเงินเข้ากระเป๋าไปเท่าไร
นี่ไม่นับการขายอุปกรณ์โทรคมนาคมให้พม่าโดยบริษัทของเขาเป็นผู้รับเงินที่
กู้ไปจากรัฐแต่มาซื้อของในตระกูลของเขา หากถามว่า ทักษิณโกงไหม
ก็ตอบว่าไม่โกง เพราะเขาไม่ได้ขายอุปกรณ์เหล่านี้ แต่ญาติๆ
ของเขาเป็นผู้ขาย ฟังดูดีแต่ทับซ้อนไว้ทั้งพวง
ทีนี้เรามาดูผลประโยชน์ทับซ้อน
ที่ทักษิณ กำลังรวมหัวกับฮุนเซ็นเล่นการเมืองข้ามชาติ นั้นคือ
ฮุนเซ็นจะพยายามสร้างสถานการณ์ทุกอย่างที่พยายามทำลายความน่าเชื่อถือของ
รัฐบาลที่แล้ว เช่น
การส่งทหารเข้ามายิงตามแนวชายแดนจนมีคนบาดเจ็บล้มตายเพื่อแสดงให้เห็นว่า
ตราบใดนายกรัฐมนตรีเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตระกูลชินวัตร
ตราบนั้นประเทศไทยไม่ต้องสงบ
แต่พอรัฐบาลตระกูลชินวัตรเข้ามาพี่ชายมาบัญชาการอยู่กับฮุนเซ็น
ปัญหาข้อพิพาทที่ชักจะบานปลายสงบเงียบ ประชาชนตามแนวชายแดนอยู่เย็นเป็นสุข
พรรคเพื่อไทยก็จะบอกว่า
เห็นไหมพอพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแม้แต่ชายแดนยังสงบเลย นี่คือ
ตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าตระกูลชินวัตร ทำได้ทุกอย่าง
แม้แต่คิดกับต่างชาติมาเข่นฆ่าคนไทยเพื่อให้ได้ผลประโยชน์ทางการเมือง
และนายฮุนเซ็น
คือเพื่อนบ้านที่ไร้มารยาทที่สุด ยุแหย่
ให้คนไทยที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมารบกันเอง
การปล่อยให้พวกเสื้อแดงและพลพรรคเพื่อไทยเข้าไปจัดกิจกรรมทางการเมือง
เป็นการตอกย้ำว่า ฮุนเซ็นก็คือ ประธานสาขาพรรคเพื่อไทยประจำเขมร
นักการเมืองคนไหนทำผิดกฎหมาย ก็หนีไปอยู่เขมรก็จะปลอดภัย
ไม่ว่าตัวน้อยตัวใหญ่ นับว่าเป็นประเทศฝนตกขี้หมูไหลจริงๆ
พอฮุนเซ็นยุแหย่
สร้างเงื่อนไขให้คนไทยรบกันเองได้สำเร็จแล้ว
นักท่องเที่ยวก็ไม่กล้ามาไทยเพราะเขารบกันอยู่เรื่อย ก็มุ่งตรงเข้าเวียดนาม
เขมร โดยตรง
นี่คือ ผลประโยชน์ที่ไทยต้องเสียไปจากการยุแหย่ของฮุนเซ็น
เราต้องสูญเสียผลประโยชน์จากการ
ท่องเที่ยวไปอย่างมหาศาล
เพราะความร่วมมือกวนเมืองของทักษิณและฮุนเซ็นนี่เอง ตอนนี้พอมีอำนาจ
ก็จะมาร่วมเสวยสุข
ด้วยการหยิบยกเรื่องน้ำมันใต้ทะเลในอาณาเขตทับซ้อนไทยเขมรมาคุยก่อนเรื่อง
อื่น
จุดทับซ้อนก็อยู่ตรงที่ว่า ปู
มีนโยบาย ที่จะเข้าไปจัดการทรัพยากรน้ำมันและแก๊สใต้ทะเล
แต่ทักษิณก็รอที่จะเข้าไปลงทุนในฐานะเอกชนนักลงทุนคนหนึ่ง
แม้พี่น้องคู่นี้จะโกหกเก่งทั้งคู่ว่า เรื่องนี้ไม่มีส่วนรู้ส่วนเห็น
แต่ติดตามดูให้ดีๆ ผลที่ออกมาล้วนตรงกันข้ามเสมอ
มีสิ่งใดบ้างที่ปูปฏิเสธแล้วไม่ทำบ้าง ปฏิเสธแล้วทำทุกเรื่อง...
เขาเรียกว่า โกหกหน้าด้านๆ
ฮุนเซ็นได้ชื่อว่า
เป็นเพื่อนยามยากที่ทักษิณ ซาบซึ้งน้ำใจเป็นหนักเป็นหนา
ความร่วมมือก่อความวุ่นวายให้ประเทศไทยที่ทำให้รัฐบาลคู่ต่อสู้ต้องพ่ายแพ้
ไปอย่างย่อยยับ บัดนี้ได้อำนาจเบ็ดเสร็จ
จึงถึงเวลาที่ทักษิณจะตอบแทนคุณฮุนเซ็นแล้ว การตอบแทนคุณที่ทักษิณจะทำ
จะไปกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติมากน้อยเพียงใดไม่สนใจ
ขอให้ตัวเองได้แบ่งประโยชน์ให้แก่กันและกันก็พอแล้ว
ตราบใดที่คนไทยไม่เข้าใจเขมรให้ทะลุทะลวง ตราบนั้น
เขมรก็กลายเป็นตัวช่วยนักการเมืองไทยที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
กอบโกยทรัพยากรธรรมชาติไปเป็นของตนเองและพวกพ้องจนชาติแทบจะไม่เหลืออะไร.
ข่าวสังคมคนไทยในอเมริกา |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น