บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

จีนขอมีเอี่ยวในน้ำมันและแก๊สฯไทย-เขมร

โดย  ทรงฤทธิ์ โพนเงิน

 
คน ไทยส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจอย่างคลาดเคลื่อนว่ามีเพียงรัฐบาลกัมพูชาของ ฮุน เซน เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้นที่ได้อนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้าไปสำรวจหาแหล่ง น้ำมันและแก๊สธรรมชาติอยู่ในเขตทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างไทยกับ กัมพูชา ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วรัฐบาลไทยคือฝ่ายที่เริ่มต้นในการอนุญาตให้ บริษัทต่างชาติทั้งหลายได้เข้าไปทำการสำรวจฯในพื้นที่ดังกล่าวนี้ก่อนที่ รัฐบาลนายพล ลอน นอล ของกัมพูชาจะประกาศเขตน่านน้ำทางทะเลในอ่าวไทยเมื่อปี 1972 ด้วยซ้ำ
กล่าวก็คือรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ จอมพลถนอม กิตติขจร นั้นได้อนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้าไปทำการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯใน พื้นที่ดังกล่าวนับตั้งแต่ปี 1968 เป็นต้นมาแล้ว โดยได้ทำการแบ่งพื้นที่อนุญาตออกเป็น 14 แปลงด้วยกัน ส่วนทางฝ่ายรัฐบาลกัมพูชานั้นเพิ่งจะเริ่มอนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้าไป สำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตที่ต่อเนื่องกันในปี 1997 เป็นต้นมานี้เอง โดยได้มีการแบ่งพื้นที่อนุญาตออกเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่จำนวน 6 แปลงด้วยกัน
แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลของ ฮุน เซน จะมีเป้าหมายที่ชัดเจนกว่ารัฐบาลไทยอย่างมากในอันที่จะขุดค้นเพื่นำเอา น้ำมันและแก๊สฯดังกล่าวขึ้นมาใช้ประโยชน์ ดังจะเห็นได้จากการที่ ฮุน เซน ได้หลุด ปากออกมาในระหว่างเป็นประธานในพิธีมอบปริญญาบัตรให้กับผู้จบการศึกษาจาก สถาบันแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญว่า เขานั้นได้กำหนดกรอบเวลาให้กลุ่ม Chevron ดำเนินการขุดค้นและนำเอาน้ำมันหรือแก๊สฯในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้ใน เวลา 12 นาฬิกาของวันที่ 12 ธันวาคม 2012 (ฮุน เซน เชื่อว่า 12-12-12-12 นี้คือเลขมงคลที่จะทำให้ตนสามารถครองอำนาจทางการเมืองได้อย่างยาวนานหรือจน กว่าชีวิตจะหาไม่) หากไม่เช่นนั้นก็จะถูกถอนสัมปทานในทันที
พร้อมกันนั้น ฮุน เซน ก็ยังได้สั่งการให้การปิโตรเลียมแห่งชาติ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลกัมพูชาให้เร่งดำเนินการจัดตั้งบริษัทขึ้นมา ร่วมทุนกับกลุ่ม Chevron ในการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯ ดังกล่าวเป็น การเฉพาะ ทั้งยังได้สั่งการให้การปิโตรเลียมแห่งชาติเร่งเซ็นสัญญากับกลุ่ม TOYO Engineering จากญี่ปุ่น เพื่อดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกใน กัมพูชา ด้วยหวังว่าจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้กลุ่ม TOYO ตัดสินใจลงทุนก่อสร้างโรงกลั่นฯดังกล่าวในระยะต่อไป ทั้งนี้โดย ฮุน เซน ได้ให้คำมั่นว่ารัฐบาลของเขาจะเร่งจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยน้ำมันและแก๊ส ธรรมชาติเพื่อให้สภาแห่งชาติให้การรับรองและประกาศบังคับใช้ในเร็วๆนี้อีก ด้วย
ครั้นเมื่อมองเห็นเป้าหมายของ ฮุน เซน อย่างชัดเจนเช่นนี้กลุ่ม Chevron ก็ได้ร่วมกับกลุ่ม Mitsui จากญี่ปุ่น และกลุ่ม GS Caltex จากเกาหลีใต้ เพื่อดำเนินการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯ ในเขตน่านน้ำของกัมพูชาอย่างขนานใหญ่ และถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยเกี่ยวกับผลที่ได้รับจากการสำรวจในระยะที่ ผ่านมาก็ตาม แต่การที่กลุ่ม Chevron ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขออนุญาตสัมปทานการขุดค้นจาก การปิโตรเลี่ยมแห่งกัมพูชาอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2010 เป็นต้นมาแล้วนั้นก็ย่อมจะถือเป็นคำตอบ ทั้งก็ยังถือเป็นการตอบสนองต่อเป้าหมายดังกล่าวของ ฮุน เซน ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
ทั้งนี้โดยกลุ่ม Chevron พร้อมด้วยกลุ่ม Mitsui และกลุ่ม GS Caltex ได้ร่วมทุนกันในสัดส่วน 55% ต่อ 30% และ 15% ตามลำดับ และได้ทำการขุดเจาะเพื่อสำรวจหาน้ำมันและแก๊สฯในเขตสัมปทาน A ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งทะเลของเขตจังหวัดสีหนุวิลล์ทางภาคใต้ของกัมพูชาประมาณ 150 กิโลเมตรนั้น พบว่า 4 ใน 15 หลุมที่ได้ดำเนินการสำรวจนั้นเป็นแหล่งที่คุ้มค่าที่จะลงทุนอย่างยิ่ง
ซึ่งด้วยผลจากการสำรวจฯดังกล่าว ก็ปรากฏว่ามีบริษัทต่างชาติอีกกว่า 10 รายที่ได้หลั่งไหลเข้าไปขออนุญาตสำรวจหาน้ำมันและแก๊สฯ ในทะเลอ่าวไทยในส่วนที่รัฐบาลกัมพูชาถือว่าเป็นเขตน่านน้ำของฝ่ายตนนั้นแล้ว โดยในที่นี้ยังรวมถึงบริษัทในเครือของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย การปิโตรเลี่ยมแห่งสิงคโปร์ กลุ่ม CONOCO, UNOCAL, TOTAL, British Gas Asia, Idemitsu Oil และยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของจีนอย่าง China National Offshore Oil Corp ด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ทั้งธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ยังได้แสดงการเชื่อมั่นว่าน้ำมันและแก๊สฯในกัมพูชา และในเขตทับซ้อนทางทะเลกับไทยด้วยนั้นมีปริมาณน้ำมันสำรองมากถึง 2,000 ล้านบาร์เรลและมีปริมาณแก๊สฯสำรองอีกมากกว่า 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต หรือคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 5 ล้านล้านบาท ซึ่งทำให้ IMF ได้ประมาณการว่าหากได้มีการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯขึ้นมาใช้ประโยชน์ก็จะทำให้ รัฐบาลของ ฮุน เซน มีรายได้มากกว่า 175 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีแรกของการขุดค้นและจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อได้ดำเนินการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแล้วเสร็จนั้น ก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน ต้องเร่งผลักดันแผนการนี้ให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการตัดสินใจลงทุนของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน พลังงานทั้งหลายในระยะเวลากว่า 3 ปีมานี้ ก็คือความขัดแย้งระหว่างทางการไทยกับทางการกัมพูชาที่ว่าด้วยพื้นที่พิพาทใน เขตปราสาทพระวิหาร และการที่ทางการของทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการแบ่งปันผล ประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างกัน ซึ่งกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างกว่า 27,000 ตารางกิโลเมตรในเขตอ่าวไทยนั้น
โดยถึงแม้ว่าทางการไทยและกัมพูชา (ทักษิณ กับ ฮุน เซน) จะเคยตกลงในหลักการร่วมกันมาแล้วเมื่อเดือนสิงหาคม 2549 โดยตกลงแบ่งเขตทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆกัน โดยส่วนที่อยู่ตรงกึ่งกลางก็ให้แบ่งผลประโยชน์กันในสัดส่วน 50 ต่อ 50 ก็ตาม แต่ส่วนที่ยังตกลงกันไม่ได้ ก็คือเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของไทยและเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่ง ของกัมพูชา เนื่องจากฝ่ายไทยนั้นเสนอให้แบ่งผลประโยชน์เป็น 60 ต่อ 40 คือใกล้ชายฝั่งของฝ่ายไหน ฝ่ายนั้นก็จะได้ส่วนแบ่งมากกว่าแต่ฝ่ายกัมพูชากลับต้องการให้แบ่งผลประโยชน์ เป็น 90 ต่อ 10 เพราะ ฮุน เซน เชื่อว่าเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของกัมพูชานั้นมีปริมาณน้ำมันและแก๊สฯ มากกว่าในเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ฝั่งไทยนั่นเอง
ครั้นเมื่อ ฮุน เซน ก็ได้มองไปถึงผลประโยชน์ก้อนโตที่จะได้จากน้ำมันและแก๊สฯ (ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี) แล้วนั้น ทั้งยังหวังว่าผลประโยชน์ที่ว่านี้จะทำให้มีชัยอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้ง สภาบริหารชุมชนท้องถิ่น (Commune Council) ทั่วประเทศในต้นปี 2012 อันจะเป็นการวางฐานคะแนนเสียงไว้เพื่อรองรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ (National Assembly) ในกลางปี 2013 ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน นั้นยิ่งจะต้องเร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับไทยให้บังเกิดผลให้เร็ว ที่สุด และเพื่อเป็นการทำให้ได้ผลตามที่ต้องการดังกล่าว ฮุน เซน ก็ยอมปรับเปลี่ยนผลประโยชน์ในส่วน 90 ต่อ 10 นั้นมาเป็นสัดส่วนที่ ฮุน เซน เชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้นน่าจะยอมรับได้ ก็คือ 80 ต่อ 20 และส่วนที่อยู่ตรงจุดกึ่งกลางของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างกันนั้นก็ให้ คงไว้ที่ 50 ต่อ 50 ต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเป็นการรับประกันว่าเป้าหมาย 12-12-12-12 ดังกล่าวจะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างแท้ จริง ฮุน เซน ก็ยังได้เชื้อเชิญให้ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของจีนคือ China National Offshore Oil Corp หรือ CNOOC นั้นให้เข้ามามีเอี่ยวในการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในอ่าวไทยด้วย จึงถือเป็นสิ่งที่กดดันต่อกลุ่ม Chevron เป็นอย่างมากจนถึงขนาดที่ประธานกลุ่มอย่าง Steve Glick นั้นต้องบินตรงจากกรุงวอชิงตัน ดีซี เพื่อมาปฏิบัติภารกิจพิเศษทั้งในไทยและกัมพูชาด้วยการนำทัพนักธุรกิจ อเมริกันในนามของ US-ASEAN Business Council ตระเวณไปพบปะเจรจากับทางการกัมพูชาและไทยเมื่อไม่นานมานี้
ส่วนทางฝ่าย CNOOC นั้นก็ได้ตั้งความหวังที่จะได้รับส่วนแบ่งในผลประโยชน์จากน้ำมันและแก๊สฯใน เขตทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างไทยกับกัมพูชานี้อยู่ไม่น้อยเช่นกัน โดยถึงแม้ว่าจะมาทีหลังก็ ตาม แต่การที่สื่อของทางการจีนอย่างสำนักข่าว XINHUA ได้โหมข่าวเกี่ยวกับการครองอันดับ 1 ของจีนในฐานะที่มีมูลค่าการลงทุนในกัมพูชามากที่สุดในช่วงเดียวกันกับทัพนัก ธุรกิจอเมริกันในนามของ US-ASEAN Business Council ได้เดินทางเข้าไปพบปะเจรจากับรัฐบาลฮุน เซนนั้น จึงมีนัยสำคัญที่ต้องการเน้นย้ำให้รัฐบาลฮุน เซน ได้มองเห็นความสำคัญของทุนจีนยิ่งกว่าทุนสหรัฐฯได้เช่นกัน กล่าวคือในขณะที่จีนมีมูลค่าการลงทุนสะสมในกัมพูชามากกว่า 8,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วนั้น สหรัฐฯยังคงมีมูลค่าการลงทุนสะสมในกัมพูชาเพียง 282 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ซึ่งด้วยความเป็นจริงในข้อนี้ จึงทำให้จีนมั่นใจว่าสถานภาพของ CNOOC ในสายตาของ ฮุน เซน นั้นย่อมไม่ด้อยไปกว่ากลุ่ม Chevron จากสหรัฐฯอย่างแน่นอน
และที่แน่นอนยิ่งกว่านั้น ก็คือการที่มียักษ์ใหญ่แห่งวงการธุรกิจพลังงานของโลกทั้งจากสหรัฐฯและจีน เข้ามามีเอี่ยวด้วยเช่นนี้ ย่อมหมายถึงเกมการแย่งชิงผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยที่จะมี ความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นด้วย กล่าวก็คือไม่ใช่เรื่องระหว่าง ฮุน เซน กับ ทักษิณ เหมือนในอดีตที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้วนั่นเอง!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง