จีนขอมีเอี่ยวในน้ำมันและแก๊สฯไทย-เขมร
| โดย  ทรงฤทธิ์ โพนเงิน | 
| 
 | 
|  | 
| 
|  |  | คน
ไทยส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจอย่างคลาดเคลื่อนว่ามีเพียงรัฐบาลกัมพูชาของ ฮุน
 เซน 
เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้นที่ได้อนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้าไปสำรวจหาแหล่ง
น้ำมันและแก๊สธรรมชาติอยู่ในเขตทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างไทยกับ
กัมพูชา 
ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วรัฐบาลไทยคือฝ่ายที่เริ่มต้นในการอนุญาตให้
บริษัทต่างชาติทั้งหลายได้เข้าไปทำการสำรวจฯในพื้นที่ดังกล่าวนี้ก่อนที่
รัฐบาลนายพล ลอน นอล ของกัมพูชาจะประกาศเขตน่านน้ำทางทะเลในอ่าวไทยเมื่อปี 
1972 ด้วยซ้ำ กล่าวก็คือรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ จอมพลถนอม กิตติขจร 
นั้นได้อนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้าไปทำการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯใน
พื้นที่ดังกล่าวนับตั้งแต่ปี 1968 เป็นต้นมาแล้ว 
โดยได้ทำการแบ่งพื้นที่อนุญาตออกเป็น 14 แปลงด้วยกัน 
ส่วนทางฝ่ายรัฐบาลกัมพูชานั้นเพิ่งจะเริ่มอนุญาตให้บริษัทต่างชาติเข้าไป
สำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตที่ต่อเนื่องกันในปี 1997 เป็นต้นมานี้เอง 
โดยได้มีการแบ่งพื้นที่อนุญาตออกเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดใหญ่จำนวน 6 
แปลงด้วยกัน
 แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลของ ฮุน เซน 
จะมีเป้าหมายที่ชัดเจนกว่ารัฐบาลไทยอย่างมากในอันที่จะขุดค้นเพื่นำเอา
น้ำมันและแก๊สฯดังกล่าวขึ้นมาใช้ประโยชน์ ดังจะเห็นได้จากการที่ ฮุน เซน 
ได้หลุด 
ปากออกมาในระหว่างเป็นประธานในพิธีมอบปริญญาบัตรให้กับผู้จบการศึกษาจาก
สถาบันแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญว่า เขานั้นได้กำหนดกรอบเวลาให้กลุ่ม Chevron 
ดำเนินการขุดค้นและนำเอาน้ำมันหรือแก๊สฯในอ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ให้ได้ใน
เวลา 12 นาฬิกาของวันที่ 12 ธันวาคม 2012 (ฮุน เซน เชื่อว่า 12-12-12-12 
นี้คือเลขมงคลที่จะทำให้ตนสามารถครองอำนาจทางการเมืองได้อย่างยาวนานหรือจน
กว่าชีวิตจะหาไม่) หากไม่เช่นนั้นก็จะถูกถอนสัมปทานในทันที
 พร้อมกันนั้น ฮุน เซน ก็ยังได้สั่งการให้การปิโตรเลียมแห่งชาติ 
ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐบาลกัมพูชาให้เร่งดำเนินการจัดตั้งบริษัทขึ้นมา
ร่วมทุนกับกลุ่ม Chevron ในการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯ ดังกล่าวเป็น การเฉพาะ 
ทั้งยังได้สั่งการให้การปิโตรเลียมแห่งชาติเร่งเซ็นสัญญากับกลุ่ม TOYO 
Engineering จากญี่ปุ่น 
เพื่อดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกใน
กัมพูชา ด้วยหวังว่าจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้กลุ่ม TOYO 
ตัดสินใจลงทุนก่อสร้างโรงกลั่นฯดังกล่าวในระยะต่อไป ทั้งนี้โดย ฮุน เซน 
ได้ให้คำมั่นว่ารัฐบาลของเขาจะเร่งจัดทำร่างกฎหมายว่าด้วยน้ำมันและแก๊ส
ธรรมชาติเพื่อให้สภาแห่งชาติให้การรับรองและประกาศบังคับใช้ในเร็วๆนี้อีก
ด้วย
 ครั้นเมื่อมองเห็นเป้าหมายของ ฮุน เซน อย่างชัดเจนเช่นนี้กลุ่ม Chevron 
ก็ได้ร่วมกับกลุ่ม Mitsui จากญี่ปุ่น และกลุ่ม GS Caltex จากเกาหลีใต้ 
เพื่อดำเนินการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯ 
ในเขตน่านน้ำของกัมพูชาอย่างขนานใหญ่ 
และถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดเผยเกี่ยวกับผลที่ได้รับจากการสำรวจในระยะที่
ผ่านมาก็ตาม แต่การที่กลุ่ม Chevron 
ได้ยื่นข้อเสนอเพื่อขออนุญาตสัมปทานการขุดค้นจาก 
การปิโตรเลี่ยมแห่งกัมพูชาอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2010 
เป็นต้นมาแล้วนั้นก็ย่อมจะถือเป็นคำตอบ 
ทั้งก็ยังถือเป็นการตอบสนองต่อเป้าหมายดังกล่าวของ ฮุน เซน 
ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
 ทั้งนี้โดยกลุ่ม Chevron พร้อมด้วยกลุ่ม Mitsui และกลุ่ม GS Caltex 
ได้ร่วมทุนกันในสัดส่วน 55% ต่อ 30% และ 15% ตามลำดับ 
และได้ทำการขุดเจาะเพื่อสำรวจหาน้ำมันและแก๊สฯในเขตสัมปทาน A 
ซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งทะเลของเขตจังหวัดสีหนุวิลล์ทางภาคใต้ของกัมพูชาประมาณ 
150 กิโลเมตรนั้น พบว่า 4 ใน 15 
หลุมที่ได้ดำเนินการสำรวจนั้นเป็นแหล่งที่คุ้มค่าที่จะลงทุนอย่างยิ่ง
 ซึ่งด้วยผลจากการสำรวจฯดังกล่าว ก็ปรากฏว่ามีบริษัทต่างชาติอีกกว่า 10 
รายที่ได้หลั่งไหลเข้าไปขออนุญาตสำรวจหาน้ำมันและแก๊สฯ 
ในทะเลอ่าวไทยในส่วนที่รัฐบาลกัมพูชาถือว่าเป็นเขตน่านน้ำของฝ่ายตนนั้นแล้ว
 โดยในที่นี้ยังรวมถึงบริษัทในเครือของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 
การปิโตรเลี่ยมแห่งสิงคโปร์ กลุ่ม CONOCO, UNOCAL, TOTAL, British Gas 
Asia, Idemitsu Oil และยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของจีนอย่าง China National 
Offshore Oil Corp ด้วย
 ยิ่งไปกว่านั้น การที่ทั้งธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
 ยังได้แสดงการเชื่อมั่นว่าน้ำมันและแก๊สฯในกัมพูชา 
และในเขตทับซ้อนทางทะเลกับไทยด้วยนั้นมีปริมาณน้ำมันสำรองมากถึง 2,000 
ล้านบาร์เรลและมีปริมาณแก๊สฯสำรองอีกมากกว่า 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต 
หรือคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 5 ล้านล้านบาท ซึ่งทำให้ IMF 
ได้ประมาณการว่าหากได้มีการขุดค้นน้ำมันและแก๊สฯขึ้นมาใช้ประโยชน์ก็จะทำให้
รัฐบาลของ ฮุน เซน มีรายได้มากกว่า 175 
ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีแรกของการขุดค้นและจะเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 1,700 
ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อได้ดำเนินการก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันแล้วเสร็จนั้น 
ก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน ต้องเร่งผลักดันแผนการนี้ให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
 อย่างไรก็ตาม 
สิ่งที่เป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการตัดสินใจลงทุนของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน
พลังงานทั้งหลายในระยะเวลากว่า 3 ปีมานี้ 
ก็คือความขัดแย้งระหว่างทางการไทยกับทางการกัมพูชาที่ว่าด้วยพื้นที่พิพาทใน
เขตปราสาทพระวิหาร 
และการที่ทางการของทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการแบ่งปันผล
ประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างกัน 
ซึ่งกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้างกว่า 27,000 ตารางกิโลเมตรในเขตอ่าวไทยนั้น
 โดยถึงแม้ว่าทางการไทยและกัมพูชา (ทักษิณ กับ ฮุน เซน) 
จะเคยตกลงในหลักการร่วมกันมาแล้วเมื่อเดือนสิงหาคม 2549 
โดยตกลงแบ่งเขตทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆกัน 
โดยส่วนที่อยู่ตรงกึ่งกลางก็ให้แบ่งผลประโยชน์กันในสัดส่วน 50 ต่อ 50 ก็ตาม
 แต่ส่วนที่ยังตกลงกันไม่ได้ 
ก็คือเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของไทยและเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่ง
ของกัมพูชา เนื่องจากฝ่ายไทยนั้นเสนอให้แบ่งผลประโยชน์เป็น 60 ต่อ 40 
คือใกล้ชายฝั่งของฝ่ายไหน 
ฝ่ายนั้นก็จะได้ส่วนแบ่งมากกว่าแต่ฝ่ายกัมพูชากลับต้องการให้แบ่งผลประโยชน์
เป็น 90 ต่อ 10 เพราะ ฮุน เซน 
เชื่อว่าเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของกัมพูชานั้นมีปริมาณน้ำมันและแก๊สฯ
มากกว่าในเขตทับซ้อนที่อยู่ใกล้ฝั่งไทยนั่นเอง
 ครั้นเมื่อ ฮุน เซน 
ก็ได้มองไปถึงผลประโยชน์ก้อนโตที่จะได้จากน้ำมันและแก๊สฯ 
(ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี) แล้วนั้น 
ทั้งยังหวังว่าผลประโยชน์ที่ว่านี้จะทำให้มีชัยอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้ง
สภาบริหารชุมชนท้องถิ่น (Commune Council) ทั่วประเทศในต้นปี 2012 
อันจะเป็นการวางฐานคะแนนเสียงไว้เพื่อรองรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ 
(National Assembly) ในกลางปี 2013 ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน 
นั้นยิ่งจะต้องเร่งเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับไทยให้บังเกิดผลให้เร็ว
ที่สุด และเพื่อเป็นการทำให้ได้ผลตามที่ต้องการดังกล่าว ฮุน เซน 
ก็ยอมปรับเปลี่ยนผลประโยชน์ในส่วน 90 ต่อ 10 นั้นมาเป็นสัดส่วนที่ ฮุน เซน 
เชื่อว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์นั้นน่าจะยอมรับได้ ก็คือ 80 ต่อ 20 
และส่วนที่อยู่ตรงจุดกึ่งกลางของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างกันนั้นก็ให้
คงไว้ที่ 50 ต่อ 50 ต่อไป
 ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเป็นการรับประกันว่าเป้าหมาย 12-12-12-12 
ดังกล่าวจะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างแท้ จริง ฮุน เซน 
ก็ยังได้เชื้อเชิญให้ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของจีนคือ China National 
Offshore Oil Corp หรือ CNOOC 
นั้นให้เข้ามามีเอี่ยวในการสำรวจหาแหล่งน้ำมันและแก๊สฯในอ่าวไทยด้วย 
จึงถือเป็นสิ่งที่กดดันต่อกลุ่ม Chevron 
เป็นอย่างมากจนถึงขนาดที่ประธานกลุ่มอย่าง Steve Glick 
นั้นต้องบินตรงจากกรุงวอชิงตัน ดีซี 
เพื่อมาปฏิบัติภารกิจพิเศษทั้งในไทยและกัมพูชาด้วยการนำทัพนักธุรกิจ
อเมริกันในนามของ US-ASEAN Business Council 
ตระเวณไปพบปะเจรจากับทางการกัมพูชาและไทยเมื่อไม่นานมานี้
 ส่วนทางฝ่าย CNOOC 
นั้นก็ได้ตั้งความหวังที่จะได้รับส่วนแบ่งในผลประโยชน์จากน้ำมันและแก๊สฯใน
เขตทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างไทยกับกัมพูชานี้อยู่ไม่น้อยเช่นกัน 
โดยถึงแม้ว่าจะมาทีหลังก็ ตาม แต่การที่สื่อของทางการจีนอย่างสำนักข่าว 
XINHUA ได้โหมข่าวเกี่ยวกับการครองอันดับ 1 
ของจีนในฐานะที่มีมูลค่าการลงทุนในกัมพูชามากที่สุดในช่วงเดียวกันกับทัพนัก
ธุรกิจอเมริกันในนามของ US-ASEAN Business Council 
ได้เดินทางเข้าไปพบปะเจรจากับรัฐบาลฮุน เซนนั้น 
จึงมีนัยสำคัญที่ต้องการเน้นย้ำให้รัฐบาลฮุน เซน 
ได้มองเห็นความสำคัญของทุนจีนยิ่งกว่าทุนสหรัฐฯได้เช่นกัน 
กล่าวคือในขณะที่จีนมีมูลค่าการลงทุนสะสมในกัมพูชามากกว่า 8,800 
ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วนั้น สหรัฐฯยังคงมีมูลค่าการลงทุนสะสมในกัมพูชาเพียง 
282 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ซึ่งด้วยความเป็นจริงในข้อนี้ 
จึงทำให้จีนมั่นใจว่าสถานภาพของ CNOOC ในสายตาของ ฮุน เซน 
นั้นย่อมไม่ด้อยไปกว่ากลุ่ม Chevron จากสหรัฐฯอย่างแน่นอน
 และที่แน่นอนยิ่งกว่านั้น 
ก็คือการที่มียักษ์ใหญ่แห่งวงการธุรกิจพลังงานของโลกทั้งจากสหรัฐฯและจีน
เข้ามามีเอี่ยวด้วยเช่นนี้ 
ย่อมหมายถึงเกมการแย่งชิงผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยที่จะมี
ความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นด้วย กล่าวก็คือไม่ใช่เรื่องระหว่าง ฮุน เซน กับ
 ทักษิณ เหมือนในอดีตที่ผ่านมาอีกต่อไปแล้วนั่นเอง!!!
 |  | 
 
 
 
          
      
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น