บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554

ประเทศไรพรมแดน ( copy มา กรณี ประสาทพระวิหาร )

                              ประเทศไรพรมแดน  ( copy มา  กรณี ประสาทพระวิหาร )
                     http://www.oknation.net/blog/korbsak/2010/08/14/entry-1
         


ผมได้อ่าน ปราสาทพระวิหาร ข้อมูลและข้อคิด โดยศาสตราจารย์ ดร.สมปอง
สุจริตกุล

ผมขอเริ่มที่ปัญหาเขตแดน ไทย – กัมพูชาก่อน  เพราะเป็นสาเหตุของความขัดแย้ง
ไทยยึดถือเขตแดนโดยอ้างอิงสนธิสัญญา สยาม -ฝรั่งเศสเมื่อปีค.ศ. ๑๙๐๘
ระ หว่างปีค.ศ. ๑๙๐๕-๑๙๐๗ คณะกรรมการปักปันเขตแดนผสม สยาม-ฝรั่งเศสได้
ไปตรวจสอบแล้วเห็นว่า การกำหนดเขตแดนในบริเวณทิวเขาดงรักโดยใช้สันปันน้ำเป็น
หลัก ตามสนธิสัญญาทวิภาคีระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๙๐๔ นั้นชัดเจนอยู่แล้ว
เสันสันปันน้ำจึงเป็นเส้นกำหนดเขตชายแดนไทย-กัมพูชา  ซึ่งเป็นที่ยอมรับมาโดย
ตลอดและไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขมาตั้งแต่ปีค.ศ. ๑๙๐๔ จนถึงปัจจุบันโดย
ไม่เคยมีผู้ใดโต้แย้งหรือให้ความเห็นเป็นอย่างอื่น
(สำหรับ ท่านผู้อ่านที่อาจไม่เข้าใจว่าสันปันน้ำหมายถึงอะไร   ให้นึกภาพเทือกเขา
ครับ  แนวสูงสุดของเทือกเขาที่เมื่อฝนตกแล้ว น้ำฝนแยกไหลลงสู่พื้นที่ที่ต่ำกว่าทั้ง
สองด้านคือสันปันน้ำ   เป็นการแบ่งโดยธรรมชาติว่าด้านไหนเป็นเขตไทย  ด้านไหน
เป็นเขตกัมพูชา  สันปันน้ำเป็นส่วนหนึ่งของภูเขา เป็นหินที่แกร่งและอยู่ได้ตลอดไป)


ส่วนกัมพูชาใช้แผนที่ผนวก ๑ ที่ใช้แนบท้ายคำฟ้องคดีปราสาทพระวิหารเป็นแผนที่
กำหนดเขตแดน
ปัญหาของไทย-กัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนบริเวณเทือกเขาดงรักมีสองเรื่องใหญ่
สองช่วงเวลา


ช่วงแรกคดีปราสาทพระวิหาร ไทย-กัมพูชา พ.ศ. ๒๕๐๒ – ๒๕๐๕
วัน ที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๕ กัมพูชาเป็นโจทก์ยื่นคำร้องฝ่ายเดียวเพื่อฟ้องไทยเป็น
จำเลย  ขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า  พื้นที่ที่ประสาทพระวิหารตั้งอยู่
นั้นอยู่ในอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา


(ท่าน อาจารย์สมปองหยิบยกประเด็นที่พวกเราควรทราบไว้ด้วยว่า  คำฟ้องของเขมร
กล่าวถึงเฉพาะพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร  ไม่ใช่พื้นที่เขาพระวิหาร  จากนี้
ไปทุกครั้งเมื่อพูดถึงคดีปราสาทพระวิหาร  ห้ามพูดว่าคดีเขาพระวิหาร หรือคดีปราสาท
เขาพระวิหารเป็นอันขาด)


เนื้อหาจากนี้ไปค่อนข้างจะสำคัญ
เขมรขอให้ศาลฯวินิจฉัย ๕ ประเด็นสำหรับคดีปราสาทพระวิหารครับ


๑. สถานะ ภาพของแผนที่ผนวก ๑ แนบท้ายคำฟ้อง (เป็นแผนที่ที่ทำขึ้นโดยฝรั่งเศส
และ/หรือกัมพูชาโดยไทยไม่มีส่วนร่วมด้วยเลย แม้แต่ฉบับเดียว จึงมีความผิดพลาด
โดยอำนวยประโยชน์ให้ผู้จัดทำคือฝรั่งเศสและนำความเสียหายมา สู่ประเทศไทย)
ท่านอาจารย์สมปองกล่าวด้วยว่า ไทยมิได้เคยยอมรับในอดีตและไม่สมควรอย่างยิ่งที่
จะยอมรับแผนที่ที่กัมพูชานำ มาอ้างอิงในปัจจุบันไม่ว่าในกรณีใด


๒. ความถูกต้องของเขตแดนที่ปรากฏบนแผนที่ผนวก ๑


ทั้งข้อ ๑ และ ข้อ ๒ ศาลงดเว้นการวินิจฉัยความถูกต้องของเส้นเขตชายแดน ศาล
ไม่ได้ทำหน้าที่กรรมการปักปันเขตแดนครับ


๓. ชี้ขาดว่าพื้นที่ที่ประสาทพระวิหารตั้งอยู่นั้น  อยู่ภายใต้อธิปไตยกัมพูชา


ศาลวินิจฉัยด้วยคะแนนเสียง ๙ ต่อ ๓ ว่า ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนพื้นที่ภายใต้
อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา


๔. ให้ไทยถอนกำลังออกจากตัวปราสาทและบริเวณที่ตั้งปราสาท


ศาลวินิจฉัยด้วยคะแนนเสียง ๙ ต่อ ๓ ว่าไทยมีพันธะกรณีจะต้องถอนทหาร ตำรวจ
หรือยามรักษาการณ์ออกจากปราสาทพระวิหาร หรือบริเวณใกล้เคียงที่อยู่บนดินแดน
เขมร


๕.ให้ไทยคืนวัตถุโบราณที่สูญหายไปจากปราสาทพระวิหารเมื่อปี ค.ศ. ๑๓๕๐ –
๑๙๖๒ศาลวินิจฉัยด้วยคะแนนเสียง ๗ ต่อ ๕ ว่าไทยมีพันธะจะต้องคืนให้กัมพูชา
บรรดาวัตถุที่กัมพูชาอ้างถึง


สำหรับจุดยืนและท่าทีของประเทศไทยภายหลังคำพิพากษาของศาลฯมีดังนี้ครับ


ครม. ได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๐๕ ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลฯ
โดยเห็นว่ามิได้เป็นการพิจารณาวินิจฉัยคดีตามกระบวนการที่ชอบ  ขัดต่อหลักยุติ
ธรรมและหลักกฎหมายระหว่างประเทศ


อย่างไรก็ตามในฐานะที่ ไทยเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ   จึงได้ปฏิบัติตาม
พันธะข้อ ๙๔ ของกฎบัตรสหประชาชาติ    ทั้งนี้โดยยื่นคำประท้วงคัดค้านไปยัง
สหประชาชาติ และตั้งข้อสงวนไว้อย่างชัดเจนว่า ไทยสงวนสิทธิที่มีอยู่หรือพึงมี
ในอนาคตที่จะดำเนินการเรียกคืนซึ่งการครอบครองปราสาทพระวิหารโดยสันติวิธี
(หนังสือว่าด้วยข้อสงวน ยังมีผลบังคับจนถึงปัจจุบัน  ไม่มีการขาดอายุความ)


ก่อน จะเดินหน้าต่อไปยังปัญหาที่สอง  มีประเด็นที่พวกเรา (โดยเฉพาะเจ้าหน้า
ที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย) ต้องท่องกันให้ขึ้นใจครับว่า ไทยเรายืนหยัดเส้นแบ่งเขต
แดนไทย-กัมพูชาที่สันปันน้ำเท่านั้น เพราะฉะนั้นพื้นที่ทับซ้อน(ที่มีความหมายว่า
ทั้งไทยและเขมรแย่งกันเป็นเจ้า ของ) จะมีเฉพาะพื้นที่ที่เป็นที่ตั้งของปราสาท
พระวิหารเท่านั้น (เขมรได้ครอบครองโดยคำวินิจฉัยของศาลโลกแต่ไทยยังสงวน
สิทธิอยู่) ส่วนพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารที่แบ่งโดยสันปันน้ำ  เราถือเป็นดินแดน
ของประเทศไทยทั้งสิ้น


ช่วงที่สองการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก


ประเด็นในส่วนนี้ไม่สลับซับซ้อนมากนัก


กัมพูชา ได้ขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก   คำขอขึ้นทะเบียน
ของกัมพูชานี้ได้อ้างอิงคำพิพากษาของศาลในคดีปราสาทพระวิหาร อย่างผิดพลาด
โดยอ้างว่าศาลรับรองแผนที่ผนวก ๑ ท้ายคำฟ้องของกัมพูชาว่าเป็นแผนที่ที่ถูกต้อง
(ข้อเท็จจริงคือศาลโลกมิได้มีการวินิจฉัยเรื่องเขตแดน)


ซ้ำร้ายไปกว่า นั้น ในช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑  รัฐบาลไทยใน
ขณะนั้นโดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงต่างประเทศ และกรมแผนที่ทหาร
ได้พร้อมใจกันยอมรับนับถืออำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือ ปราสาทพระวิหาร โดย
การออกแถลงการณ์ร่วมกับกัมพูชา


แถลงการณ์ร่วมนี้ เป็นเอกสารประกอบการเสนอขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็น
มรดกโลก โดยกัมพูชาฝ่ายเดียว โดยไทยให้ความสนับสนุนอย่างเต็มที่


ลงนามโดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศไทย และรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา
เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๑ ลงนามย่อไว้ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๑




--------------------------------------------------------------------
อ่านทั้งหมดแล้วพอจับประเด็นสั้นๆได้ว่า


๑. ปัญหาเขตแดนไทย – กัมพูชา   ไทยยึดถือสนธิสัญญา  กัมพูชายึดถือแผนที่
ผนวก๑ที่ใช้แนบคำฟ้อง


๒. ศาลโลกไม่ได้วินิจฉัยปัญหาเขตแดน   แต่กัมพูชานำไปใช้อ้างอิงอย่างผิดพลาด
ในคำขอขึ้นทะเบียนมรดกโลก


๓. รัฐบาลไทยยุคก่อนหน้านี้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนกัมพูชาตามข้อ ๒.
เท่ากับเป็นการยอมรับเส้นแบ่งเขตดินแดนตามแผนที่ผนวก ๑  โดยปริยาย     





 
-----------------------------------------------------------------------
       เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา  เขมรใจดี เปิดให้คนไทย เข้าไปชมได้
แต่ทหารไทยก็ควร  ออกมาเพื่อจะได้ส่งเสริมการท่องเทียว  ขณะนี้ ทหารไทย
ก็ไม่ได้กลับเข้าไป เมื่อก่อนประจำการก็เหมือนไม่อยู่

 
//

ดูยังไงก็สันปันน้ำ  ศาลโลกก็ตัดสินเข้าข้างมหาอำนาจ เป็นเหตุให้เราไม่รับ
อำนาจศาลโลกตั้งแต่นั้นมา  แต่เราก็ยืนยันยกแค่ตัวประสาทให้เขาไปในวันนั้น

 

 
//

การตัดสินไม่ได้ตัดสิน ที่ดินตัดสินแค่ตัวประสาท แต่ฮุนเซน ทำให้มันได้ โดนตั้งธงชาติ
และ จนท.ระดับสูงมาในพื้นที่ ทั้งเมียและผัวก็มาเดินเล่นบนพื้นที่ 4.7 ตารางกิโลเมตร
แล้วตอกย้ำอำนาจเหนือดินแดน ของเราไม่เคยเข้าไปเลย ถึงเข้าไปก็ทำเรื่องขออณุญาติ
เขาอีก ก็ไม่ต่างจากการยกให้เขาดีๆ

 
//

แผ่นที่ ที่เขายืนให้มรดกโลก ไม่มีพื้นที่ทับซ้อน การก่อสร้างทาง ไทยประท้วงตาม
mou 43 ก็ไม่สนสร้างจนแล้วเสร็จ

 

 
//

ตอนแพ้ครั้งนั้นก็ยอมตัดให้ไป ถ้ามันอยากขึ้นมาก็ให้มัน ขึ้นหน้าผามา แต่ผ่านไป
เราก็ยอมให้มันตัดถนนมาเลย นี้แหละมิตรประเทศที่ดี

 
//

เขมรเชิญทูต 20 ประเทศมาดู ว่าไม่มีทหารในพื้นที่ ปลอดภัยแล้ว มรดกโลก
มาได้เติมที่เลย ดูมันทำ  ตอกหมุดจบเกมเลย พื้นที่ รอบๆประสาทก็ไม่เหลือ

 
    ตัวประสาทเขาขึ้นมรดกโลกไปแล้ว ทั้งที่ทำไม่ได้เพราะถ้ามองโดยรวมมีแค่
ตัวประสาทมันยืนไม่ผ่าน แถมเป็นพื้นที่มีขอพิพาท และองประกอบอื่นก็อยูฝ้งเรา
เด็กเส้นจริงๆ ประเทศมหาอำนาจ หวังโครงการก่อสร้อง
  ปีนี้  แผ่นการบริหารพื้นที่รอบๆ ก็คงเสร็จ ไม่สนใจเสียงประท้วงจากเราแน่นอน

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง