ไทยโพสต์
กระทรวงพลังงานสบช่องชงข้อมูล “ยิ่งลักษณ์” 
ก่อนบินเจรจาเขมรตกลงผลประโยชน์ในอ่าวไทย ระบุยึดโมเดลไทย-มาเลเซียแบ่ง 
50-50 เผยกลุ่มบริษัทพลังงานซึ่งได้สัมปทานยังคงสิทธิ์ดำเนินการต่อได้ 
ขณะที่นายกฯ ปูควงสามีเข้ากัมพูชา “ฮุน เซน” ต้อนรับชื่นมื่น  
ตามคาดตกลงแบ่งเค้กพลังงานอิงกรอบเจรจาเอ็มโอยูปี 44 เปิดคำพูด “เตีย 
บัณห์” ยัน “ทักษิณ” จะทำธุรกิจพลังงาน ส่วน “วีระ-ราตรี” อาจหมดหวัง 
เพราะกัมพูชาเล่นแง่ต้องรับโทษ 2 ใน 3 ก่อน
 การเดินทางเข้าประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 15 กันยายน ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์
 ชินวัตร นายกรัฐมนตรี 
เพื่อเจรจาข้อตกลงแบ่งผลประโยชน์ด้านพลังงานบริเวณพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย 
โดยก่อน น.ส.ยิ่งลักษณ์  ออกเดินทาง 
กระทรวงพลังงานได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ปิโตรเลียมในพื้นที่
ไทย-กัมพูชา เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการเจรจาดังกล่าว
 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลัง บอกว่า 
ได้เตรียมข้อมูลเกี่ยวสถานการณ์ปิโตรเลียมในพื้นที่ไทย-กัมพูชา 
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ให้ 
น.ส.ยิ่งลักษณ์รับทราบก่อนเดินทางไปประเทศกัมพูชา 
เพื่อใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นในการเจรจาข้อตกลงเพื่อร่วมพัฒนาแหล่งสัมปทาน
ปิโตรเลียม
 “หากกระทรวงการต่างประเทศเจรจาเรื่องการแบ่งเขตพื้นที่ทับซ้อนได้แล้ว 
กระทรวงพลังงานก็พร้อมเข้าไปเจรจาพัฒนาพื้นที่สัมปทาน 
ซึ่งอาจมีลักษณะเดียวกับการพัฒนาพื้นที่ร่วมไทย-มาเลเซีย อย่างไรก็ตาม 
การเจรจาทั้งหมดจะอยู่บนผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก 
และต้องมีการดำเนินการแบบโปร่งใส” นายพิชัยกล่าว
 นายทรงภพ พลจันทร์ อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่า 
กรมเชื้อเพลิงได้เตรียมพร้อมในเรื่องข้อมูลหากการเจรจาพื้นที่ทับซ้อน
ไทย-กัมพูชาเกิดขึ้น 
ซึ่งในหลักการจะใช้โมเดลเดียวกับการจัดตั้งองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (เจดีเอ)
 ที่พัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาติ โดยรัฐบาลทั้ง 2 
ประเทศแบ่งปันผลประโยชน์เท่าเทียมกันในอัตรา 50 ต่อ 50 
ซึ่งไทยได้ผลตอบแทนคืนมาปีละ 1 หมื่นล้านบาท แต่กรณีของไทย-กัมพูชา 
จะเพิ่มความเข้มข้นในเรื่องของการแบ่งผลประโยชน์ 
ที่ไทยจะต้องได้ประโยชน์สูงสุด
 นายทรงภพกล่าวต่อว่า 
สำหรับแปลงสัมปทานปิโตรเลียมในฝั่งไทยที่เคยมีอยู่นั้น 
ผู้ที่ได้รับสัมปทานเดิมยังคงได้สิทธิ์ในการดำเนินการ 
เนื่องจากรัฐบาลได้ระงับการขุดเจาะสำรวจไว้ชั่วคราว หลังเกิดกรณีพิพาท 
และที่ผ่านมาก็ยังไม่มีเอกชนรายใดเข้าไปดำเนินการต่อได้  
โดยผู้ได้รับสัมปทาน ได้แก่ บริษัท Thailand Bloc 5&6 LLC 
ในแปลงสัมปทานที่ 5-6, บริษัท บริติช แก๊ส เอเชีย อิงค์ ในแปลงสัมปทานที่ 
7-8-9, บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิตฯ แปลงสัมปทานที่ 10-11-13 
และพื้นที่ 12 (A) 12 (B)
อ้างต้องเจรจาเพื่อพลังงานอีก 10 ปี
 “ไม่อยากให้มองว่าการเจรจาครั้งนี้มีเรื่องของผลประโยชน์อื่นแอบแฝง 
แต่ต้องควรมองถึงแหล่งพลังงานที่จะเกิดขึ้นในช่วง 10 ปีข้างหน้า 
เพราะวันนี้ถ้าการเจรจามีผลออกมาชัดเจนในทางบวก 
ก็ไม่ได้หมายความว่าจะขุดก๊าซขึ้นมาได้ในทันที 
ต้องใช้เวลาและกระบวนการอีกมาก เพราะอย่างพื้นที่ไทย-มาเลเซีย 
ยังต้องใช้เวลานานถึง 26 ปี”นายทรงภพกล่าว
 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 
ก่อนหน้านี้ฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาก็ได้ให้สัมปทานสำรวจขุดเจาะและผลิตแก่บริษัท
ปิโตรเลียมระดับโลกที่เข้ามาขอสัมปทานสำรวจขุดเจาะ เช่นเดียวกับฝ่ายไทย 
เช่น กลุ่มเชฟรอนและล่าสุดคือโตตาลออยล์จากฝรั่งเศส
 อย่างไรก็ตาม 
กลุ่มบริษัทที่ได้รับสัมปทานสำรวจขุดเจาะดังกล่าวทั้งฝ่ายไทย-กัมพูชายังไม่
สามารถเข้าไปดำเนินการสำรวจและผลิตได้ 
เนื่องจากปัญหาพื้นที่ทับซ้อนที่ยังไม่สามารถตกลงเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์
ระหว่างกัน และผู้ลงทุนยังไม่ชัดเจนว่าจะลงมือสำรวจขุดเจาะได้เมื่อใด 
การแบ่งปันผลประโยชน์จะตกลงกันอย่างไร
 เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.เตีย บัณห์ 
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมกัมพูชา เคยพูดเมื่อเดือนพฤษภาคม 
2551   ขณะร่วมพิธีเปิดถนนหมายเลข 48 ที่จังหวัดเกาะกงของกัมพูชา โดยมี 
นายนพดล ปัทมะ รมว.การต่างประเทศ ในขณะนั้นเข้าร่วมพิธีด้วย
 พล.อ.เตีย บัณห์ ระบุว่า 
“พ.ต.ท.ทักษิณเคยเสนอที่จะเข้ามาลงทุนโครงการพลังงานในกัมพูชา 
และรัฐบาลกรุงพนมเปญก็ยินดีเปิดรับการลงทุน เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ 
พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักธุรกิจที่มีศักยภาพ หากเขาเข้ามาลงทุนในกัมพูชาจริง 
จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตต่อไป” 
 ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ 
ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางถึงการเจรจาเรื่องพลังงานในอ่าวไทยกับประเทศ
กัมพูชาว่า “ขอดูเรื่องจังหวะก่อน เพราะเราไปครั้งแรก 
เดี๋ยวจะรายงานให้ทราบอีกครั้ง”
 นายกฯ ยังกล่าวถึงการเจรจาเพื่อขอปล่อยตัวนายวีระ สมความคิด และ 
น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ แกนนำกลุ่มประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ว่า 
ยังไม่ทราบว่าจะมีการปล่อยตัวหรือไม่ เบื้องต้นที่จะเดินทางไปกัมพูชา 
คงจะไปเปิดศักราชใหม่ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา นี่เป็นภารกิจแรก 
และคงจะดูบรรยากาศการหารือในเรื่องการช่วยคนไทย
ปล่อยวีระ-ราตรีขึ้นอยู่กับเขมร
 ผู้สื่อข่าวถามว่า กัมพูชาพร้อมปล่อยตัวหากฝ่ายไทยหยิบยกขึ้นมาหารือ 
น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า เราก็ยินดี และจะหยิบยกมาหารือ 
แต่ดุลยพินิจปล่อยหรือไม่ขึ้นอยู่กับกัมพูชา 
ซึ่งเราไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้
 “ในการทูตเราคงมีการเจรจาขอความช่วยเหลือมากกว่า 
ไม่ใช่การเจรจาต่างตอบแทน 
เป็นการเจรจาในการทำหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องช่วยเหลือคนไทยทุกคนไม่ว่า
อยู่ประเทศไหน อย่างไรบ้าง เราต้องทำทุกประเทศอยู่แล้ว” นายกฯ ระบุ
 นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 
ซึ่งเดินทางเข้ากัมพูชาพร้อมกับนายกฯ 
กล่าวเช่นเดียวกันว่าการปล่อยตัวนายวีระและ น.ส.ราตรี 
ขึ้นอยู่กับทางการกัมพูชา 
เพราะขณะนี้สถานทูตไทยประจำประเทศกัมพูชายังไม่ได้มีการประสานมายังกระทรวง
การต่างประเทศ ส่วนแนวโน้มที่จะให้มีการปล่อยตัวหรือไม่นั้น  
เราไม่ได้ไปพูดคุยไว้ล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม 
หวังว่าความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งสองประเทศจะสามารถช่วยได้
 ผู้สื่อข่าวถามว่า กัมพูชาระบุว่าจะต้องรับโทษ 2 ใน 3 
ก่อนถึงจะมีการปล่อยตัวได้ รมว.การต่างประเทศบอกว่า 
สิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับทางการกัมพูชาว่าจะทำอย่างไร 
แต่การพูดคุยกันครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่เรามีโอกาสได้พบปะพูดคุยกัน 
ซึ่งอยู่ที่ว่าทางกัมพูชาจะคิดอย่างไร และในประเด็นต่างๆ 
จะมีรายละเอียดอย่างไรต้องมาว่ากันอีกครั้ง
 รมว.การต่างประเทศพูดถึงการเจรจาเรื่องพลังงานในอ่าวไทยกับกัมพูชาว่า 
ต้องรอดูอีกครั้ง เพราะเป็นเรื่องของเอ็มโอยูที่รัฐบาลชุดก่อนๆ ได้ทำไว้ 
เราจะต่อเนื่องหรือทำต่ออย่างไร ต้องดูก่อนว่าเราจะพูดคุยอย่างไร
 จากนั้น นายกฯ พร้อมคณะ ประกอบด้วย นายอนุสรณ์ อมรฉัตร คู่สมรส, 
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ, นายสมปอง สงวนบรรพ์ 
เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ, นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 
คณะเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชน 
ได้เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติกรุงพนมเปญในเวลา 15.25 น.
 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคณะของไทยเดินทางถึงกัมพูชา นางอึง 
กัตถาภาวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสตรี 
ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีเกียรติยศ ได้ให้การต้อนรับ 
และเชิญนายกรัฐมนตรีร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการที่สำนักนายกรัฐมนตรี 
ซึ่งสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา พร้อมภริยา รอต้อนรับ 
มีพิธีตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ
 ทั้งนี้ 
รัฐบาลกัมพูชาได้ให้การต้อนรับคณะของนายกรัฐมนตรีไทยอย่างอบอุ่น 
ตลอดเส้นทางที่รถของคณะผ่าน 
มีเด็กนักเรียนและประชาชนยืนเรียงแถวริมทางเท้าตลอดเส้นทาง 
โบกธงชาติไทยพลิ้วไสว ต้อนรับคณะ จากนั้น 
น.ส.ยิ่งลักลักษณ์ได้เข้าหารือกับสมเด็จฮุน เซน ก่อนเดินทางไปเข้าเฝ้าฯ 
พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี   พระมหากษัตริย์กัมพูชา ณ 
พระราชวังเขมรินทร์ แล้วช่วงค่ำได้ร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ ณ 
สำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และเดินทางกลับถึงประเทศไทยในวันเดียวกันเวลา 
21.20 น.
ตามคาดไทย-กัมพูชาวิน-วิน
สำนักข่าวซินหัวของจีน และสำนักข่าวดีเอพีในกัมพูชา 
รายงานอ้างการเปิดเผยของนายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชา ว่า 
การพบหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับผู้นำกัมพูชา 
สมเด็จฮุน เซน ได้เห็นพ้องกันที่จะฟื้นฟูความร่วมมือกันในหลายประเด็น อาทิ 
เรื่องการพัฒนา เศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว การลงทุน และเรื่องชายแดน
ระหว่างการหารือ 
น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เสนอที่จะจัดงานมหกรรมการค้าของสินค้าไทยในกรุงพนมเปญ 
ซึ่งผู้นำกัมพูชาได้ตอบรับ 
และนายกรัฐมนตรีไทยได้ร้องขอให้ปล่อยตัวนายวีระและ น.ส.ราตรี แต่สมเด็จฮุน 
เซน ตอบว่า ตนกำลังพิจารณาเรื่องนี้ 
รัฐบาลกัมพูชาจะขอให้พระมหากษัตริย์ของกัมพูชาทรงลดหย่อนโทษให้ 
ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาต้องเคารพกฎหมายของกัมพูชา 
ซึ่งบัญญัติว่าผู้ต้องขังที่ถูกพิพากษาจำคุกต้องรับโทษ 2 ใน 3 ก่อน 
จึงจะขอพระราชทานอภัยโทษได้
ในเรื่องชายแดนนั้น นายกฯ ฮุน เซน 
เสนอให้ผู้บัญชาการทหารของทั้งสองฝ่ายซึ่งประจำการที่ชายแดนได้พบปะกันอย่าง
สม่ำเสมอเพื่อสร้างบรรยากาศความเป็นมิตรเพื่อลดความตึงเครียด 
และเสนอด้วยว่าทั้งสองฝ่ายควรปรับกำลังที่ชายแดน
นายฮอร์ นัมฮง กล่าวว่า
 ในเรื่องความขัดแย้งเรื่องเขตแดนนั้น 
ผู้นำของทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของศาลยุติธรรมระหว่าง
ประเทศ 
ซึ่งได้สั่งให้ประเทศทั้งสองถอนทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราวในบริเวณ
ปราสาทพระวิหาร 
และเปิดทางให้ผู้สังเกตการณ์ของอาเซียนเข้าไปในพื้นที่ปลอดทหารชั่วคราว
เพื่อสังเกตการณ์การหยุดยิง อย่างไรก็ดี 
ยังไม่มีการกำหนดวันที่แน่ชัดในการถอนทหาร "สมเด็จฮุน 
เซนกล่าวว่าหากศาลโลกวินิจฉัยว่าพื้นที่พิพาท 4.6 
ตารางกิโลเมตรใกล้ปราสาทพระวิหารเป็นของประเทศไทย 
กัมพูชาจะยกดินแดนส่วนนี้ให้แก่ประเทศไทยโดยไม่มีเงื่อนไข" นายฮอร์ นัมฮง 
กล่าว
ผู้นำของประเทศทั้งสองยังได้เห็นพ้องกันที่จะฟื้นฟูการเจรจาในเรื่องการ
พัฒนาร่วมกันในเขตอ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย 
โดยอิงกับบันทึกความเข้าใจปี 2544 และกลไกต่างๆ ที่มีอยู่
“ฮุน เซน” ได้ทีด่า “ปชป.”
สมเด็จฮุน เซน ได้แจ้งแก่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีไทย 
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เปิดการเจรจาลับกับกัมพูชาเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน
 2552 ในเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 
ผู้นำกัมพูชาได้ขอให้ทั้งสองฝ่ายเปิดการเจรจากันโดยเปิดเผยในเรื่องที่
เกี่ยวเนื่องกับบันทึกความเข้าใจปี 2544
นอกจากนี้ สมเด็จฮุน เซน 
ยังเสนอให้รัฐมนตรีมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดตามแนวชายแดนเปิดการหารือ
กันเพื่อแก้ปัญหาการลักลอบค้ามนุษย์และปัญหาข้ามพรมแดนต่างๆ 
และเสนอให้เปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติมที่สตึงบอต ใกล้กับเมืองปอยเปต 
เพื่อเป็นช่องทางการค้าชายแดนระหว่างประเทศทั้งสอง
"การพบหารือระหว่างผู้นำทั้งสองเป็นไปด้วยบรรยากาศอันดีและมีความเข้าใจ
กัน การหารือได้ข้อยุติที่เป็นประโยชน์"  
รัฐมนตรีต่างประเทศของกัมพูชากล่าว
ด้านโฆษกรัฐบาลกัมพูชา นายเขียว 
กัณหฤทธิ์ กล่าวว่า 
การหารือระหว่างผู้นำทั้งสองนับเป็นจุดเริ่มต้นของศักราชใหม่ของความร่วมมือ
อย่างกว้างขวางระหว่างไทยกับกัมพูชา
 ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ 
กล่าวถึงเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการจับกุม พ.ต.ท.ทักษิณ 
ที่จะเดินทางมาประเทศกัมพูชาในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนว่า 
การส่งผู้ร้ายข้ามแดนต้องเป็นไปตามสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน 
โดยยึดหลักเกณฑ์ 1.ความผิดเหมือนกัน 2.ไม่ใช่เรื่องการเมือง และ 
3.ประเทศนั้นๆ ต้องใช้ดุลยพินิจ ซึ่งเรื่องดังกล่าวรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ 
เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.การต่างประเทศ 
ก็เคยได้ดำเนินการโดยตลอด แต่ก็ไม่มีการออกหมายจับของตำรวจสากล 
เพราะไม่ตรงเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ซึ่งรัฐบาลก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย 
แต่เมื่อกฎหมายระบุว่าไม่สามารถทำได้ รัฐบาลก็จะไปดำเนินการไม่ได้
 สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่ม ส.ส.เสื้อแดง พรรคเพื่อไทย 
ที่จะเดินทางเข้ากัมพูชาเพื่อเตะฟุตบอลกระชับมิตรในวันที่ 24 กันยายนนั้น 
ล่าสุดศาลอาญาได้อนุญาตให้ นพ.เหวง โตจิราการ จำเลยในคดีร่วมก่อการร้าย 
ให้สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ระหว่างวันที่ 15-19 กันยายนนี้ 
เพื่อประสานงานล่วงหน้าเตรียมการจัดการเตะฟุตบอลกระชับมิตร 
โดยให้มารายงานตัวภายในวันที่ 26 กันยายน 
ทั้งต้องแจ้งให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทราบด้วย
 ด้านนายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ 
น.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางเยือนประเทศกัมพูชาซึ่งจะมีการเจรจาเรื่องพลังงานใน
อ่าวไทยว่า เรื่องของการเจรจานั้นคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ 
ปัญหาอยู่ที่กรอบการเจรจาว่าจะใช้กรอบใด 
โดยรัฐบาลชุดก่อนมีความเห็นว่าข้อตกลงเมื่อปี 2544 มีความไม่เหมาะสม 
จึงควรที่จะชัดเจนก่อนที่จะกลับไปใช้หรือทำกรอบขึ้นใหม่ 
แต่ถ้าจะมีการเจรจาอีกครั้ง จะต้องมีกระบวนการผ่านขั้นตอนตามรัฐธรรมนูญ
 เมื่อถามว่า 
ดูเหมือนท่าทีของรัฐบาลไทยและกัมพูชาจะสอดคล้องกันว่าเรื่องผลประโยชน์ทับ
ซ้อนทางทะเลเป็นเรื่องเร่งด่วน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า 
เมื่อถึงช่วงการเจรจาต้องมีกรอบให้ชัดเจนว่าจะหารือในกรอบไหน 
เราทุกคนมีหน้าที่ในการตรวจสอบว่ารัฐบาลได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ
 นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า 
ไทยต้องยืนยันว่าเราอยากเป็นเพื่อนบ้านที่ดีกับกัมพูชาและอยู่ในครอบครัวอา
เซียนด้วยกัน แต่ประเด็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน เช่น 
ความเห็นที่ไม่ตรงกันในเรื่องเขตแดน ก็ควรที่จะหาทางปรับความเข้าใจกัน 
แต่ละประเทศก็ต้องรักษาสิทธิ์ของชาติตัวเอง 
ควรยืนยันว่าการขึ้นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว 
โดยพยายามใช้ความเป็นมรดกโลกเป็นเครื่องมือในการอนุมัติแผนบริหารจัดการ
พื้นที่ที่ถือว่าเป็นของเรา เราก็ไม่ยินยอม 
รวมถึงปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลที่จะต้องมีทั้งประเด็นแหล่งผลประโยชน์ 
การกำหนดเส้นเขตแดนทางทะเลจะต้องพูดให้ชัดว่าเรารักษาจุดยืนอย่างไร
 “ถ้าวางทุกอย่างบนโต๊ะให้ชัดแล้วถามทางกัมพูชาว่าจะเอาอย่างไร 
ด้านหนึ่งบอกว่าอยากจะคุยกัน แต่อีกด้านก็รุกโดยใช้กลไกมรดกโลก  ศาลโลกบ้าง
 ทำให้ไทยเราจำเป็นที่จะต้องรักษาผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก” 
นายอภิสิทธิ์กล่าว.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น