บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

คาดศาลโลกตัดสินพระวิหารเร็วสุดสิ้นปี ชี้รบ.ถกจีบีซีไม่ผ่านสภาขัดรธน.


ดร.สุวันชัย แสงสุขเอี่ยม
1.   คำสั่งศาลโลกที่เกินขอบเขตอำนาจศาลและล่วงล้ำอำนาจอธิปไตยของไทย   
       ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ซึ่งต่อไปเรียกว่า “ศาลโลก”)  ได้มีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว  ก่อนการพิจารณาตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2554  โดยสั่งให้ไทยและกัมพูชาถอนกำลังทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว (Provisional Demilitarized Zone: PDZ) ตามที่ศาลได้กำหนด
       รวมทั้งให้ไทยจะต้องไม่ขัดขวางการเข้าถึงอย่างอิสระของกัมพูชาไปยัง ปราสาทพระวิหาร  ให้ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินความร่วมมือกันต่อไปตามในกรอบอาเซียนรวมทั้ง ต้องอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์เข้าไปยัง PDZ  และให้ทั้งสองฝ่ายต้องงดเว้นจากการกระทำใดๆ ที่อาจทำให้ข้อพิพาทนั้นเกิดมากขึ้น  ตลอดจนให้แต่ละฝ่ายต้องแจ้งต่อศาลถึงการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว
                 คำสั่งที่ศาลโลกให้ไทยและกัมพูชาถอนกำลังทหารออกจาก PDZ  ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ที่นอกเหนือจากพื้นที่พิพาทที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิทับ ซ้อนกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของแต่ละฝ่ายซึ่งไม่ได้เป็น พื้นที่พิพาทแต่อย่างใดนั้น  เป็นคำสั่งที่เกินขอบเขตอำนาจของศาลโลกและเป็นการล่วงล้ำอำนาจอธิปไตยของ ทั้งไทยและกัมพูชา  ดังที่ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย 5 คนซึ่งมีประธานศาลโลกรวมอยู่ด้วยได้ให้ความเห็นแย้งไว้
                 คำสั่งของศาลโลกในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดเขตปลอดทหารชั่วคราว ล้ำเข้าไปในดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐคู่กรณี  โดยที่ดินแดนนั้นไม่ได้เป็นพื้นที่ที่มีปัญหาข้อพิพาทแต่อย่างใด
                 ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ  รัฐทุกรัฐย่อมมีอำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุด  ไม่มีอำนาจใดอยู่เหนืออำนาจอธิปไตยของรัฐ  และไม่มีหน่วยงานใดที่อยู่เหนือกว่ารัฐอีก  รัฐจึงไม่อยู่ภายใต้กฎข้อบังคับใดๆ  นอกจากสิ่งนั้นรัฐยินยอมที่จะปฏิบัติเอง
                 สิ่งใดที่รัฐไม่ได้ให้ความยินยอม  จึงไม่สามารถที่จะผูกพันรัฐนั้นได้  แม้กระทั้งศาลโลกก็ไม่มีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีระหว่างรัฐคู่กรณีใด  นอกจากรัฐคู่กรณีนั้นได้ให้ความยินยอมรับอำนาจศาล  ดังที่บัญญัติไว้ในธรรมนูญศาลโลก  มาตรา 36
                 ไทยยอมรับอำนาจศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหารก็เฉพาะสิ่งที่เป็นข้อพิพาทกับ กัมพูชา  ศาลโลกจึงไม่มีอำนาจสั่งไทยให้ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ข้อพิพาทดังกล่าว  ในกรณีนี้คือ การสั่งให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของไทย ซึ่งไม่ได้เป็นพื้นที่พิพาทกับกัมพูชาแต่อย่างใด
                 ไทยจึงมีสิทธิที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในส่วนที่เป็นการการล่วงล้ำอำนาจ อธิปไตยของไทย  และควรต้องแย้งต่อศาลโลก    อาจมีผู้โต้แย้งได้ว่า  คำพิพากษา (Judgment) ของศาลโลกถือเป็นที่สุดและอุทธรณ์ไม่ได้ตามธรรมนูญศาลโลก  มาตรา 60  แต่ในกรณีนี้เป็นแค่คำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว (Indication of Provisional Measures) ไม่ใช่คำพิพากษา
                 ไทยจึงมีสิทธิโต้แย้งคำสั่งศาลได้สำหรับส่วนที่เกินขอบเขตอำนาจศาล  ยิ่งไปกว่านั้นมีกรณีตัวอย่างมาแล้วในอดีตหลายคดีที่รัฐคู่กรณีไม่ปฏิบัติ ตามคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก
      
       2.   ประเด็นที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการของ ค.ร.ม. และ GBC   
                 ค.ร.ม. ทั้งชุดปัจจุบันและชุดที่แล้วไม่ได้โต้แย้งและยอมรับที่จะปฏิบัติตามคำสั่ง ศาลโลก  โดยไม่มีการพิจารณาประเด็นคำสั่งศาลในส่วนที่เป็นการการล่วงล้ำอำนาจอธิปไตย ของไทยแต่อย่างใด  ทั้งนี้ ค.ร.ม. ชุดปัจจุบันได้มีมติเมื่อวันที่  18 ต.ค. 2554  ให้ความเห็นชอบให้มีการปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก
                 ต่อมาที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้มีการเปิดการอภิปรายทั่วไปเมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2554  ตามที่ ค.ร.ม. เสนอ  เพื่อรับฟังความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวโดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 179          
                 ในการประชุมดังกล่าวได้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวางในประเด็นต่างๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ว่าเรื่องนี้ต้องให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบตามรัฐ ธรรมนูญ  มาตรา 190  หรือไม่  ซึ่ง ค.ร.ม. เห็นว่าไม่เข้าข่ายมาตรา 190   แต่สมาชิกรัฐสภาหลายคนเห็นตรงข้าม  แต่เนื่องจากเป็นการประชุมโดยไม่มีการลงมติ  จึงไม่มีข้อสรุปใดๆ
                 ในวันที่ 16 พ.ย. 2554  พล.อ. ยุทธศักดิ์  ศศิประภา  ร.ม.ว. กระทรวงกลาโหมได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า  ไทยพร้อมเจรจาโดยจะนำกรอบการเจรจาที่ได้จากการประชุมดังกล่าวไปหารือกับ กัมพูชาในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ที่จะจัดให้มีขึ้น  เพื่อให้ได้ข้อยุติใน 5 ข้อดังนี้    ข้อ 1 การปรับกำลัง  ข้อ 2 การปฏิบัติต่อผู้สังเกตการณ์   ข้อ 3 การจัดจุดตรวจ   ข้อ 4 การดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ยูเนสโก  ข้อ 5 การดำเนินการต่อประชาชนที่วัดแก้วสิขาคีรีสะวารา    
                 ต่อมาในวันที่ 21 ธ.ค. 2554 หลังเสร็จสิ้นการประชุม GBC ฝ่ายไทยและกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ร่วมโดยมีส่วนที่สำคัญพอสรุปได้ว่า  ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก โดยต้องโปร่งใส  เสมอภาค  และชัดเจนแน่นอน  ภายใต้การตรวจสอบของผู้สังเกตการณ์ร่วมสามฝ่าย ไทย กัมพูชา และอินโดนีเซีย  พร้อมตั้งคณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชาเพื่อหารือรายละเอียดการปฏิบัติตามคำสั่ง ศาลโลกใน PDZ ที่ยังไม่ได้มีข้อยุติ  (ซึ่งเดิมมีทั้งสิ้น 5 ข้อตามที่กล่าวแล้วข้างต้น)
                 การที่ ค.ร.ม. เคารพคำสั่งศาลโลกและดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีอยู่ภายใต้กฎ บัตรสหประชาชาตินั้นเป็นเรื่องที่มีเหตุผลรับฟังได้  เพราะการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลอาจทำให้เกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อไทย  ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการพิจารณาคดีของศาลโลกและต่อความเชื่อถือและความร่วม มือของนานาประเทศ
                 แต่การดำเนินการของ ค.ร.ม. รวมทั้ง GBC ในเรื่องนี้ต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นที่เกี่ยว ข้อง  รวมทั้งต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ
                 โดยที่รัฐธรรมนูญ  มาตรา 77 บัญญัติให้รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐดัง นั้นการดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลกในส่วนที่สั่งเกินขอบเขตอำนาจ ศาลและเป็นการล่วงล้ำอำนาจอธิปไตยของไทยดังกล่าว  ค.ร.ม. และ GBC จึงต้องพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องเพื่อให้ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญในมาตรานี้  แต่ที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการโดยไม่มีการพิจารณาในประเด็นดังกล่าวแต่อย่าง ใด
                 ยิ่งไปกว่านั้นรัฐธรรมนูญ  มาตรา 190 บัญญัติให้หนังสือสัญญาใดที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย  หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา  โดยก่อนดำเนินการเพื่อทำหนังสือสัญญาดังกล่าว  ค.ร.ม. ต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน  และต้องเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ
                 สำหรับการปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลกนั้น  เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ไทยและกัมพูชาจะต้องจัดทำ ข้อตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษรในรายละเอียดที่ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและยืนยันตรวจสอบกันได้   อันจะเป็นการป้องกันปัญหาความขัดแย้งที่อาจมีขึ้น
                 ข้อตกลงร่วมดังกล่าวไม่ว่าจะมีชื่อเรียกว่าอะไร  ย่อมเข้าข่ายหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 190   ทั้งนี้เพราะหนังสือสัญญาดังกล่าวถึงแม้อาจไม่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย ตามที่ ค.ร.ม. กล่าวอ้าง  แต่ย่อมมีผลกระทบอย่างแน่นอนต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง  เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากในหลายจังหวัดรวมทั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตยไม่เห็นด้วยกับการถอนกำลังทหารออกจาก PDZ
                 การที่ ค.ร.ม. ให้  GBC  จัดการประชุมเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลก  และ GBC ได้มีการออกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวแล้วข้างต้น  ซึ่งการประชุม GBC นั้นถือได้ว่าเป็นการดำเนินการเพื่อทำหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 190  ยิ่งไปกว่านั้นแถลงการณ์ร่วมของ GBC น่าจะเข้าข่ายหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 190  อีกด้วย
                 แต่ ค.ร.ม. ยังไม่มีการให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน  รวมทั้งไม่มีการเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบแต่อย่างใด  จึงเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ  มาตรา 190   อย่างชัดเจน
                 นอกจากนี้การปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลกโดยต้องยินยอมอย่างเป็นทางการให้ตลาด วัด และชุมชนของกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่พิพาทบริเวณเขาพระวิหารอยู่ต่อไปได้  รวมทั้งการให้เจ้าหน้าที่ของกัมพูชาที่มิใช่ทหารเข้าไปประจำการในพื้นที่ พิพาทดังกล่าวนั้น  เป็นการปฏิบัติที่ขัดต่อพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ  พ.ศ. 2504  ที่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาตามมาในปี พ.ศ. 2541 กำหนดให้ป่าเขาพระวิหาร ในท้องที่ ต.เสาธงชัย  ต.ภูผาหมอก   อ.กันทรลักษ์  จ.ศรีสะเกษ  เป็นอุทยานแห่งชาติ  ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่พิพาทรวมทั้ง PDZ บางส่วนด้วย
                 จึงขอเรียกร้องให้ ค.ร.ม. และ GBC  ดำเนินการในเรื่องนี้ให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง  และหากยังดึงดันที่จะดำเนินการต่อไปโดยไม่แก้ไขให้ถูกต้อง  ขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน  จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสอง สภาได้ร่วมกันเสนอเรื่องตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 190   วรรคหก  ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องการดำเนินการของ ครม. และ GBC ดังกล่าวที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญโดยเร็วด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง