คาดศาลโลกตัดสินพระวิหารเร็วสุดสิ้นปี ชี้รบ.ถกจีบีซีไม่ผ่านสภาขัดรธน.
| 
|  |  | 1.   คำสั่งศาลโลกที่เกินขอบเขตอำนาจศาลและล่วงล้ำอำนาจอธิปไตยของไทย ตามที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ซึ่งต่อไปเรียกว่า “ศาลโลก”) 
 ได้มีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว  
ก่อนการพิจารณาตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2554  
โดยสั่งให้ไทยและกัมพูชาถอนกำลังทหารออกจากเขตปลอดทหารชั่วคราว 
(Provisional Demilitarized Zone: PDZ) ตามที่ศาลได้กำหนด
 รวมทั้งให้ไทยจะต้องไม่ขัดขวางการเข้าถึงอย่างอิสระของกัมพูชาไปยัง
ปราสาทพระวิหาร  
ให้ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินความร่วมมือกันต่อไปตามในกรอบอาเซียนรวมทั้ง
ต้องอนุญาตให้คณะผู้สังเกตการณ์เข้าไปยัง PDZ  
และให้ทั้งสองฝ่ายต้องงดเว้นจากการกระทำใดๆ 
ที่อาจทำให้ข้อพิพาทนั้นเกิดมากขึ้น  
ตลอดจนให้แต่ละฝ่ายต้องแจ้งต่อศาลถึงการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว
 คำสั่งที่ศาลโลกให้ไทยและกัมพูชาถอนกำลังทหารออกจาก PDZ  
ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ที่นอกเหนือจากพื้นที่พิพาทที่ทั้งสองฝ่ายอ้างสิทธิทับ
ซ้อนกัน  
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของแต่ละฝ่ายซึ่งไม่ได้เป็น
พื้นที่พิพาทแต่อย่างใดนั้น  
เป็นคำสั่งที่เกินขอบเขตอำนาจของศาลโลกและเป็นการล่วงล้ำอำนาจอธิปไตยของ
ทั้งไทยและกัมพูชา  ดังที่ผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย 5 
คนซึ่งมีประธานศาลโลกรวมอยู่ด้วยได้ให้ความเห็นแย้งไว้
 คำสั่งของศาลโลกในครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่มีการกำหนดเขตปลอดทหารชั่วคราว
ล้ำเข้าไปในดินแดนภายใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐคู่กรณี  
โดยที่ดินแดนนั้นไม่ได้เป็นพื้นที่ที่มีปัญหาข้อพิพาทแต่อย่างใด
 ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ  
รัฐทุกรัฐย่อมมีอำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุด  
ไม่มีอำนาจใดอยู่เหนืออำนาจอธิปไตยของรัฐ  
และไม่มีหน่วยงานใดที่อยู่เหนือกว่ารัฐอีก  
รัฐจึงไม่อยู่ภายใต้กฎข้อบังคับใดๆ  
นอกจากสิ่งนั้นรัฐยินยอมที่จะปฏิบัติเอง
 สิ่งใดที่รัฐไม่ได้ให้ความยินยอม  
จึงไม่สามารถที่จะผูกพันรัฐนั้นได้  
แม้กระทั้งศาลโลกก็ไม่มีอำนาจพิจารณาตัดสินคดีระหว่างรัฐคู่กรณีใด  
นอกจากรัฐคู่กรณีนั้นได้ให้ความยินยอมรับอำนาจศาล  
ดังที่บัญญัติไว้ในธรรมนูญศาลโลก  มาตรา 36
 ไทยยอมรับอำนาจศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหารก็เฉพาะสิ่งที่เป็นข้อพิพาทกับ
กัมพูชา  ศาลโลกจึงไม่มีอำนาจสั่งไทยให้ทำในสิ่งที่ไม่ใช่ข้อพิพาทดังกล่าว 
 ในกรณีนี้คือ 
การสั่งให้ไทยถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ที่อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของไทย
ซึ่งไม่ได้เป็นพื้นที่พิพาทกับกัมพูชาแต่อย่างใด
 ไทยจึงมีสิทธิที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในส่วนที่เป็นการการล่วงล้ำอำนาจ
อธิปไตยของไทย  และควรต้องแย้งต่อศาลโลก    อาจมีผู้โต้แย้งได้ว่า  
คำพิพากษา (Judgment) 
ของศาลโลกถือเป็นที่สุดและอุทธรณ์ไม่ได้ตามธรรมนูญศาลโลก  มาตรา 60  
แต่ในกรณีนี้เป็นแค่คำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว (Indication of 
Provisional Measures) ไม่ใช่คำพิพากษา
 ไทยจึงมีสิทธิโต้แย้งคำสั่งศาลได้สำหรับส่วนที่เกินขอบเขตอำนาจศาล  
ยิ่งไปกว่านั้นมีกรณีตัวอย่างมาแล้วในอดีตหลายคดีที่รัฐคู่กรณีไม่ปฏิบัติ
ตามคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก
 
 2.   ประเด็นที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการของ ค.ร.ม. และ GBC
 ค.ร.ม. 
ทั้งชุดปัจจุบันและชุดที่แล้วไม่ได้โต้แย้งและยอมรับที่จะปฏิบัติตามคำสั่ง
ศาลโลก  
โดยไม่มีการพิจารณาประเด็นคำสั่งศาลในส่วนที่เป็นการการล่วงล้ำอำนาจอธิปไตย
ของไทยแต่อย่างใด  ทั้งนี้ ค.ร.ม. ชุดปัจจุบันได้มีมติเมื่อวันที่  18 ต.ค.
 2554  ให้ความเห็นชอบให้มีการปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก
 ต่อมาที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาได้มีการเปิดการอภิปรายทั่วไปเมื่อวันที่ 15
 พ.ย. 2554  ตามที่ ค.ร.ม. เสนอ  
เพื่อรับฟังความคิดเห็นในเรื่องดังกล่าวโดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ  
มาตรา 179
 ในการประชุมดังกล่าวได้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวางในประเด็นต่างๆ  
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่ว่าเรื่องนี้ต้องให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบตามรัฐ
ธรรมนูญ  มาตรา 190  หรือไม่  ซึ่ง ค.ร.ม. เห็นว่าไม่เข้าข่ายมาตรา 190  
 แต่สมาชิกรัฐสภาหลายคนเห็นตรงข้าม  
แต่เนื่องจากเป็นการประชุมโดยไม่มีการลงมติ  จึงไม่มีข้อสรุปใดๆ
 ในวันที่ 16 พ.ย. 2554  พล.อ. ยุทธศักดิ์  ศศิประภา 
 ร.ม.ว. กระทรวงกลาโหมได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า  
ไทยพร้อมเจรจาโดยจะนำกรอบการเจรจาที่ได้จากการประชุมดังกล่าวไปหารือกับ
กัมพูชาในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) 
ที่จะจัดให้มีขึ้น  เพื่อให้ได้ข้อยุติใน 5 ข้อดังนี้    ข้อ 1 
การปรับกำลัง  ข้อ 2 การปฏิบัติต่อผู้สังเกตการณ์   ข้อ 3 การจัดจุดตรวจ  
 ข้อ 4 การดำเนินการต่อเจ้าหน้าที่ยูเนสโก  ข้อ 5 
การดำเนินการต่อประชาชนที่วัดแก้วสิขาคีรีสะวารา
 ต่อมาในวันที่ 21 ธ.ค. 2554 หลังเสร็จสิ้นการประชุม GBC 
ฝ่ายไทยและกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ร่วมโดยมีส่วนที่สำคัญพอสรุปได้ว่า  
ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะปฏิบัติตามมาตรการคุ้มครองชั่วคราวของศาลโลก 
โดยต้องโปร่งใส  เสมอภาค  และชัดเจนแน่นอน  
ภายใต้การตรวจสอบของผู้สังเกตการณ์ร่วมสามฝ่าย ไทย กัมพูชา และอินโดนีเซีย 
 
พร้อมตั้งคณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชาเพื่อหารือรายละเอียดการปฏิบัติตามคำสั่ง
ศาลโลกใน PDZ ที่ยังไม่ได้มีข้อยุติ  (ซึ่งเดิมมีทั้งสิ้น 5 
ข้อตามที่กล่าวแล้วข้างต้น)
 การที่ ค.ร.ม. 
เคารพคำสั่งศาลโลกและดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามพันธกรณีที่มีอยู่ภายใต้กฎ
บัตรสหประชาชาตินั้นเป็นเรื่องที่มีเหตุผลรับฟังได้  
เพราะการไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลอาจทำให้เกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อไทย  
ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อการพิจารณาคดีของศาลโลกและต่อความเชื่อถือและความร่วม
มือของนานาประเทศ
 แต่การดำเนินการของ ค.ร.ม. รวมทั้ง GBC 
ในเรื่องนี้ต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นที่เกี่ยว
ข้อง  รวมทั้งต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ
 โดยที่รัฐธรรมนูญ  มาตรา 77 
บัญญัติให้รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและบูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐดัง
นั้นการดำเนินการเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลกในส่วนที่สั่งเกินขอบเขตอำนาจ
ศาลและเป็นการล่วงล้ำอำนาจอธิปไตยของไทยดังกล่าว  ค.ร.ม. และ GBC 
จึงต้องพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องเพื่อให้ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญในมาตรานี้  
แต่ที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการโดยไม่มีการพิจารณาในประเด็นดังกล่าวแต่อย่าง
ใด
 ยิ่งไปกว่านั้นรัฐธรรมนูญ  มาตรา 190 
บัญญัติให้หนังสือสัญญาใดที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย  
หรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง
ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา  
โดยก่อนดำเนินการเพื่อทำหนังสือสัญญาดังกล่าว  ค.ร.ม. 
ต้องให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน  
และต้องเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ
 สำหรับการปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลกนั้น  
เป็นเรื่องที่มีความจำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ไทยและกัมพูชาจะต้องจัดทำ
ข้อตกลงร่วมกันเป็นลายลักษณ์อักษรในรายละเอียดที่ทั้งสองฝ่ายต้องปฏิบัติ
เพื่อให้เกิดความชัดเจนและยืนยันตรวจสอบกันได้   
อันจะเป็นการป้องกันปัญหาความขัดแย้งที่อาจมีขึ้น
 ข้อตกลงร่วมดังกล่าวไม่ว่าจะมีชื่อเรียกว่าอะไร  
ย่อมเข้าข่ายหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 190 
  ทั้งนี้เพราะหนังสือสัญญาดังกล่าวถึงแม้อาจไม่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย
ตามที่ ค.ร.ม. กล่าวอ้าง  
แต่ย่อมมีผลกระทบอย่างแน่นอนต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง 
 
เนื่องจากมีประชาชนจำนวนมากในหลายจังหวัดรวมทั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อ
ประชาธิปไตยไม่เห็นด้วยกับการถอนกำลังทหารออกจาก PDZ
 การที่ ค.ร.ม. ให้  GBC 
 จัดการประชุมเพื่อปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลก  และ GBC 
ได้มีการออกแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวแล้วข้างต้น  ซึ่งการประชุม GBC 
นั้นถือได้ว่าเป็นการดำเนินการเพื่อทำหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 
190  ยิ่งไปกว่านั้นแถลงการณ์ร่วมของ GBC 
น่าจะเข้าข่ายหนังสือสัญญาตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 190  อีกด้วย
 แต่ ค.ร.ม. 
ยังไม่มีการให้ข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน  
รวมทั้งไม่มีการเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบแต่อย่างใด  
จึงเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ  มาตรา 190   อย่างชัดเจน
 นอกจากนี้การปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลกโดยต้องยินยอมอย่างเป็นทางการให้ตลาด
 วัด 
และชุมชนของกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่พิพาทบริเวณเขาพระวิหารอยู่ต่อไปได้  
รวมทั้งการให้เจ้าหน้าที่ของกัมพูชาที่มิใช่ทหารเข้าไปประจำการในพื้นที่
พิพาทดังกล่าวนั้น  เป็นการปฏิบัติที่ขัดต่อพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ  
พ.ศ. 2504  ที่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาตามมาในปี พ.ศ. 2541 
กำหนดให้ป่าเขาพระวิหาร ในท้องที่ ต.เสาธงชัย  ต.ภูผาหมอก   อ.กันทรลักษ์  
จ.ศรีสะเกษ  เป็นอุทยานแห่งชาติ  ซึ่งมีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่พิพาทรวมทั้ง
 PDZ บางส่วนด้วย
 จึงขอเรียกร้องให้ ค.ร.ม. และ GBC  
ดำเนินการในเรื่องนี้ให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง  
และหากยังดึงดันที่จะดำเนินการต่อไปโดยไม่แก้ไขให้ถูกต้อง  
ขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน  
จำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสอง
สภาได้ร่วมกันเสนอเรื่องตามรัฐธรรมนูญ  มาตรา 190   วรรคหก  
ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องการดำเนินการของ ครม. และ GBC 
ดังกล่าวที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญโดยเร็วด้วย
 |  | 
 
 
 
 
          
      
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น