บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

บันทึกเครือข่ายภาคประชาชนกรณีข้อเท็จจริงกรณีปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ

บันทึก

เครือข่ายภาคประชาชน

กรณีข้อเท็จจริงกรณีปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบ

            ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้จัดเวลาในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับภาคประชาชน โดยการถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ระหว่างเวลา 10.00 น. – 13.00 น.นั้น เครือข่ายภาคประชาชนซึ่งติดตามเรื่องปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบขอประกาศจุดยืนดังต่อไปนี้


1.      เราขอบันทึกเอาไว้เป็นหลักฐานว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยอมรับ

และยืนยันว่าไทยยึดหลักสันปันน้ำตามทิวเขาดงรักเป็นเส้นเขตแดนอย่างเคร่งครัด 


ยืนยันว่าเฉพาะปราสาทพระวิหารเท่านั้นที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิพากษาว่าตั้งอยู่บนพื้นที่ที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และไทยได้โต้แย้งและสงวนสิทธิ์เอาไว้แล้วตามหนังสือกระทรวงการต่างประเทศ เลขที่ (0601) 22239/2505  ลงวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2505  ดังนั้นฝ่ายไทยจึงยังถือว่าพื้นที่ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่นั้น อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของไทย


ยอมรับว่าฝ่ายกัมพูชาได้รุกล้ำและยึดครองดินแดนไทยในบริเวณพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารนั้นเป็นความจริง


ยืนยันว่าจะดำเนินการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำอธิปไตยด้วยมาตรการการทูตและการทหาร


ยืนยันว่าไทยจะไม่เข้าร่วมกับคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ (ICC) ที่จะทำหน้าที่อนุรักษ์อย่างยั่งยืนที่ตัวปราสาทพระวิหารในการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก


ยืนยันจะคัดค้านการขึ้นทะเบียนประสาทพระวิหารของกัมพูชาเป็นมรดกโลกต่อไปอย่างต่อเนื่อง และจะคัดค้านแผนบริหารจัดการพื้นที่รอบตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกด้วย


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนยันว่าในช่วงที่เป็นฝ่ายค้านได้ขอให้มีการถอนแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งเป็นเอกสารประกอบกรอบการเจรจาออกจากการขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551 


ยืนยันว่ายูเนสโกได้ละเมิดอำนาจหน้าที่ของตัวเอง ตามธรรมนูญของยูเนสโกในข้อ 1 วรรค 3 ว่าห้ามมิให้ยูเนสโกแทรกแซงกิจการภายในของรัฐสมาชิก


ยืนยันว่าเอกสารและการดำเนินการที่จะผูกพันระหว่างไทย-กัมพูชาจะต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนอีกครั้ง ก่อนขอความเห็นชอบจากรัฐสภา เช่น พิจารณาเห็นชอบหรือรับรองรายงานการประชุมลับของรัฐสภาเรื่องกรอบการเจรจาระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551, ร่างข้อตกลงชั่วคราวระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชากับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยปัญหาชายแดนในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร, ฯลฯ 


2.      การอัญเชิญพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรณีเนิน 491 ระหว่างไทย

-พม่า    และกรณีของไทย-กัมพูชา นั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่บังควรที่นำพระราชดำรัสในต่างกรรมต่างวาระมากล่าวสรุปปิดท้ายรายการโดยมีความประสงค์ที่จะกลบเกลื่อนเพื่อเบี่ยงเบนปัญหาที่มีอยู่จริง  เพราะกรณีเนิน 491 นั้น ยังไม่มีความชัดเจนในการครอบครองซึ่งแตกต่างจากพื้นที่ปราสาทพระวิหารซึ่งมีเขตแดนชัดเจนอยู่แล้ว  และกรณีไทย-กัมพูชา ในขณะนั้น ก็มีความแตกต่างจากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ฝ่ายกัมพูชามีเป้าหมายในการรุกล้ำและเข้ามายึดครองดินแดนไทย โดยใช้ MOU 2543 เป็นเครื่องมือ ในกรณีหากมีข้อพิพาทห้ามใช้กำลัง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นประโยชน์ต่อกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียวทั้งสิ้น


3.      เราขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าการปักปันเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชานั้น ได้จัดทำเสร็จสิ้น

โดยคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส เมื่อ 103 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะทิวเขาดงรักอันเป็นที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร คณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส ได้มีมติให้ยึดหลักสันปันน้ำตามสนธิสัญญาแล้ว ดังนั้นเขาพระวิหารอันเป็นที่ตั้งของตัวปราสาทพระวิหารจึงไม่มีความจำเป็นต้องปักปันเขตแดนใหม่ หรือจัดทำหลักเขตแดนใหม่แต่ประการใด  การระบุเอาไว้ในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทย-กัมพูชา พ.ศ. 2543 (MOU 2543) ในข้อ 1 ค. ซึ่งระบุให้การสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนเป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวได้ด้วย ย่อมทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อการนำไปใช้ต่อไปในอนาคตทั้งที่การปักปันเขตแดนได้เสร็จสิ้นไปแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907 ( พ.ศ. 2450) 


            เราขอยืนยันว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวนั้น  เป็นแผนที่ที่ผิดพลาด ไม่สามารถนำมาใช้ได้ และศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่เคยพิพากษาแผนที่และเส้นเขตแดนตามแผนที่ดังกล่าว ดังนั้นจึงไม่ควรกำหนดแผนที่ดังกล่าวไว้ใน MOU 2543  อนึ่ง คำพิพากษาแย้งของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกรณีปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 นั้นระบุว่าแผนที่ดังกล่าวมีข้อผิดพลาดหลายแห่ง


4.      การที่กระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือแจ้งไปรัฐบาลกัมพูชาเมื่อปี พ.ศ. 2551  ว่า

ฝ่ายไทยไม่ยึดถือแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งจัดทำโดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียว ในระวางที่เรียกว่าดงรัก เพราะถือว่าไม่ใช่ผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนผสมระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส   เราจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยเอกสารดังกล่าว แจ้งให้ประชาชนชาวไทยได้รับทราบอย่างชัดเจนโดยเร็วที่สุด  


อย่างไรก็ตามการแสดงออกดังกล่าวยังอยู่ในระดับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศของไทยฝ่ายเดียว และไม่มีผลเท่ากับการยกเลิก MOU 2543 ตามที่ภาคประชาชนร้องขอแต่ประการใด 


นอกจากนี้ความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศในยุคปัจจุบันยังมีความคลาดเคลื่อนอย่างมากจากความเป็นจริงและขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศ อาทิ เข้าใจผิดว่าการยึดแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 นั้นมีความสำคัญมากกว่าข้อบทแห่งสนธิสัญญาเพราะแผนที่เกิดขึ้นภายหลัง,  เข้าใจผิดว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 เป็นผลงานของคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส,  เข้าใจผิดว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 เป็นผลของการปฏิบัติตามสนธิสัญญาระหว่างสยามฝรั่งเศส, นอกจากนั้นยังเข้าใจคำพิพากษาของศาลโลกไม่ถูกต้องว่าได้พิพากษายอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะถ้าไทยยังคงใช้ MOU 2543 ต่อไป  


ดังนั้นกระทรวงการต่างประเทศต้องแสดงความรับผิดชอบ โดยการออกมากล่าวคำขอโทษต่อประชาชนในการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จและเป็นข้อกฎหมายที่ผิดพลาด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา


5.      เราเห็นว่าบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่าง

ไทย-กัมพูชา (MOU 2543) ถือได้ว่าเป็นหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐ แต่กลับไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งถือว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 224





6.      กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนยันว่าในช่วงที่เป็นฝ่ายค้านได้ขอให้มีการถอนแผนที่

มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ซึ่งเป็นเอกสารประกอบกรอบการเจรจาขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2551  เราขอให้มีการบันทึกกรณีดังกล่าวในรายงานการประชุมของรัฐสภา


7.      ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีอ้างว่า MOU 2543 มีประโยชน์เพียง

เพื่อให้รู้ว่าฝ่ายกัมพูชาละเมิดตาม MOU 2543   ซึ่งฝ่ายไทยได้ทำหนังสือประท้วงไปไม่น้อยกว่า 20 ครั้ง แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการถูกรุกล้ำอธิปไตยและเข้ายึดครองดินแดนไทยได้   จึงเป็นเหตุสมควรที่จะยกเลิก MOU 2543 ตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยสนธิสัญญาปี ค.ศ. 1969 ได้ในทันที


เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแสดงอำนาจอธิปไตยของไทยในพื้นที่ซึ่งถูกรุกล้ำนอกเหนือจากมาตรการทางการทูตและการทหาร เช่น การทำหน้าที่ของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง,  การทำหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย, การจัดเก็บภาษีต่างๆของกระทรวงการคลัง  ตลอดจนใช้กำลังทหารในการผลักดัน เพื่อปกป้องรักษาดินแดนและอธิปไตยของไทย


8.       เราขอยืนยันว่า หากยกเลิก MOU 2543 แล้ว  ไทยไม่ได้เสียประโยชน์แต่อย่างใด

และยังสามารถใช้ประโยชน์ในการอธิบายกับนานาชาติได้ว่าสาเหตุในการยกเลิกเพราะมีเหตุสืบเนื่องมาจากการละเมิด MOU 2543 ของฝ่ายกัมพูชา และถึงแม้ยกเลิก MOU 2543 แล้วเขตแดนไทยตามสันปันน้ำบริเวณทิวเขาดงรักก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด


9.      เราขอให้รัฐบาลไทยทำการประท้วงนายซก อาน รองนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา กรณีที่

ประกาศว่ากัมพูชาได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่จากการที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ ได้ไปลงนามในร่างมติประนีประนอมการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกครั้งที่ 34 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งจะกลายเป็นมติมรดกโลกต่อไป    และทำหนังสือยืนยันคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารและพื้นที่โดยรอบให้เป็นมรดกโลกของกัมพูชา ที่นำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกตั้งแต่ครั้งที่ 31 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน


10.   คำแถลงของ ฮุน เซน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553  และวันจันทร์ที่ 9

สิงหาคม พ.ศ. 2553 ว่าพร้อมจะนองเลือด  ย่อมแสดงให้เห็นว่ามีความขัดแย้งเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือพื้นที่ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ และการประกาศของฝ่ายกัมพูชาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายกัมพูชานั่นเองที่จะเป็นผู้เริ่มใช้ความรุนแรงก่อน  จึงขอรัฐบาลไทยทำการประท้วงและทำหนังสือแจ้งไปยังองค์การสหประชาชาติ คณะกรรมการมรดกโลก และยูเนสโก ว่าในกรณีนี้กัมพูชาซึ่งเป็นฝ่ายรุกล้ำอธิปไตยและเข้ายึดครองดินแดนไทยจะเป็นผู้ที่เริ่มใช้ความรุนแรงก่อน  ดังนั้นย่อมเป็นการตอกย้ำว่าการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกครั้งนี้ เป็นการทำลายสันติภาพในภูมิภาคนี้อย่างชัดเจน



                                                                                                เครือข่ายภาคประชาชน


                                                                                                10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง