บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

ปราสาทพระวิหารควรเป็นของใคร?

ปราสาทพระวิหารควรเป็นของใคร?



15 กพ 2553    

พ.ต.พันธ์ศักดิ์ ศรีเฟื่องฟุ้ง    






ซุ้มมนเทียรแรกสร้าง (ภาพ หนังสือการเมืองเรื่องเขาพระวิหาร)

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมบังเอิญเปิด TV ดู  พบว่าช่อง 3 หรือ 5 (ไม่แน่ใจ)  ได้เชิญอาจารย์มหาวิทยาลัยท่านหนึ่งซึ่งไว้หนวด    มาเป็นวิทยากรในรายการที่วิเคราะห์สถานการณ์การมาเยือนเขาพระวิหาร  และบริเวณชายแดนที่ติดกับไทยของนายฮุนเซน นายกเขมร       วิทยากรท่านนั้นได้เริ่มเกริ่นนำว่าการเยือนเขาพระวิหารนั้นคงไม่มีปัญหา เพราะ ไทยได้ยอมรับว่าเป็นของเขมร แต่การไปเยือนในบริเวณที่อื่น ๆ นั้นอาจเกิดปัญหาได้ เพราะ ทั้งสองฝายต่างก็อ้างกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อน 4.7 ตร.กม.”


ฟังแค่นี้คนทั่วไปก็คงไม่รู้สึกอะไร ไม่มีอะไรแปลกเหมือนน้ำแข็งลอยในแก้วน้ำแต่สำหรับผมกลับเกิดความไม่สบายใจอย่างมาก คิดถึงนายก คิดถึงนายสาทิตและคิดถึงนายกษิต ว่าจะรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่า เพราะ ผมไม่คิดว่านี่คือก้อนน้ำแข็งลอยในแก้ว  แต่เป็นก้อนน้ำแข็งลอยในมหาสมุทรแบบที่เรือไททานิคเจอ  ทำไมผมจึงคิดเช่นนั้น?


การที่อาจารย์คนหนึ่งออกมาพูดแบบนั้น แล้วคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยไม่รู้สึกอะไรแสดงว่าคนไทย มองไม่ออกว่าอาจารย์ได้พูดคลาดเคลื่อน  ในสิ่งสำคัญที่เกี่ยวกับอธิปไตยของประเทศไทย  แสดงว่าคนส่วนใหญ่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับอธิปไตยของประเทศไทย ถ้าคนในชาติเข้าใจคลาดเคลื่อนขาดความรู้ที่ถูกต้อง  อีกไม่นานเราก็จะเห็นเจ้ากรมแผนที่ทหาร, อธิบดีกรมสนธิสัญญา, และนักการเมืองไทย  ตกลงยอมยกดินแดนที่ควรเป็นของไทยให้เขมรอีกเพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ


อะไรบ้างที่คลาดเคลื่อน?

1.การที่พูดว่าไทยได้ยอมรับว่าเป็นของเขมรนั้นคลาดเคลื่อน  เพราะ  รัฐบาลสมัยจอมพลสฤษดิ์ ได้  ตกลงยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลก       แต่ได้ประท้วงและแสดงความไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษา  รวมทั้งตั้งข้อสงวนสิทธิอันชอบธรรมของประเทศไทยในเรื่องนี้ไว้  เพราะฉะนั้นจะถือว่ายอมรับว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเขมรไม่ได้


2.  การที่พูดว่า ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อน 4.7 ตร.กม.” จริง ๆ แล้วก็ไม่ถึงกับคลาดเคลื่อนแต่ฟังคล้ายกับว่าทั้งสองฝ่ายมีสิทธิ์เท่ากัน  และคนไทยทั่วไปก็เข้าใจว่าต่างฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์    โดยอ้างแผนที่คนละฉบับบ้าง  หรือเข้าใจว่าไทยอ้างสนธิสัญญาแต่เขมรอ้างแผนที่  ไม่รู้ว่าใครถูกใครผิดกันแน่  ผมคิดว่าถ้าคนไทยมีความเข้าใจแค่นี้อีกไม่นาน เราคงเจรจาแบ่งดินแดนที่ทับซ้อน 4.7 ตร.กม. นี้ให้เขมรครึ่งหนึ่งเพื่อเป็นการประนีประนอม


ย้อนกลับไปเรื่องคดีปราสาทพระวิหาร คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจว่าศาลโลกเข้าข้างเขมร เพราะมีฝรั่งเศสหนุนหลัง  จึงไม่ได้ตัดสินด้วยความเป็นธรรม  บางคนก็ว่าเพราะคนไทยมีไส้ศึกในกระทรวงต่างประเทศ เอาแผนการต่อสู้คดีไปให้ฝ่ายเขมร  แต่คนไทยเหล่านี้ไม่สามารถตอบโดยอิงหลัก กม. ว่าศาลโลกตัดสินไม่ยุติธรรมอย่างไร  เวลาไปบอกเพื่อนบ้านในอาเซียน หรือบอกฝรั่งเราก็พูดแต่เพียงว่าศาลโลกตัดสินไม่ยุติธรรมปราสาทพระวิหารควรเป็นของไทย  แต่ที่ศาลอ้างว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยได้แสดงการยอมรับแผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำ  ในหลายกรณีเป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี  คนไทยก็จะบอกว่านั่นเป็นเพราะ เจ้าหน้าที่ไม่รู้  แต่คนไทยพูดไปก็ไม่สบายใจ เพราะ นักการเมืองและเจ้าหน้าที่ไทยไม่รู้เป็นเวลายาวนานมาก   แม้กระทั่งเมื่อไทยตั้งกรมแผนที่ทหารทำแผนที่ใช้เองได้  แผนที่ก็ยังเคยแสดงเขตแดนว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเขมร(ดูความเห็นแย้งของผู้พิพากษามอรี่โน่ ควินตานา  ย่อหน้าแรก หน้า 71)


เอาเป็นว่าเมื่อไม่ถึง 2 ปีมานี้  ในรัฐบาลนายสมัคร  ก็ยังทำร่างคำแถลงการณ์ร่วมกับเขมรสนับสนุนให้เขมรนำปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก   ซึ่งก็คือยอมรับว่าปราสาทพระวิหารเป็นของเขมร  โดยเขมรได้แนบแผนที่ไปกับแถลงการณ์ร่วมด้วย แล้วเจ้ากรมแผนที่ทหาร, เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ, อธิบดีกรมสนธิสัญญา  ก็ยังออก TV ยืนยันว่าไทยไม่เสียดินแดนและไม่เสียหายจากการทำร่างคำแถลงการณ์ร่วม



จริง ๆ แล้วปราสาทพระวิหารควรเป็นของใคร?

เรื่องนี้ต้องเริ่มตั้งแต่สนธิสัญญา คศ. 1904(พศ. 2447) ไทยยกดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส  การกำหนดเขตแดนในข้อ 1.  ของสนธิสัญญาเขียนว่า เขตแดนระหว่างประเทศสยามกับกัมพูชา  เริ่มต้นบนฝั่งซ้ายของทะเลสาบจากปากแม่น้ำสะตุง โรลูโอส  และไปตามเส้นขนานจากจุดนั้นในทางทิศตะวันออก  จนกระทั่งถึงแม่น้ำแปรก  กำปงเทียม  แล้วเลี้ยวไปทางด้านทิศเหนือไปพบกับเส้นตั้งฉากจากจุดบรรจบนั้น  จนกระทั่งถึงทิวเขาดงรัก  จากที่นั่นเส้นเขตแดนคือสันปันน้ำ  ระหว่างลุ่มน้ำของแม่น้ำเสนและแม่น้ำโขงด้านหนึ่งกับแม่น้ำมูลอีกด้านหนึ่ง  และสมทบกับทิวเขาภูผาด่าง  โดยถือยอดเขาเป็นเส้นเขตแดนไปทางทิศจะวันออก  จนถึงแม่น้ำโขง  จากจุดนั้นทวนน้ำขึ้นไปให้ถือแม่น้ำโขงเป็นเขตแดนของอาณาจักรสยามตามข้อ 1.  แห่งสนธิสัญญาฉบับวันที่ 3 ตค. คศ. 1893(พศ. 2436) “


นี่คือถ้อยคำในสนธิสัญญาที่ไทยตกลงยกดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ให้ฝรั่งเศสในปี คศ 1904  จะเห็นได้ว่าอ่านเข้าใจยากมาก(เหมือนการบอกทางให้เพื่อนทางโทรศัพท์  ถ้าหลายเลี้ยวมาก ๆ ฟังแล้วจะงงทุกที)  และเนื่องจากยังไม่มีการทำแผนที่ที่ได้มาตรฐานในบริเวณดังกล่าวมาก่อน  คนไทยก็ยังไม่มีความรู้เรื่องการทำแผนที่  จึงปล่อยให้ฝรั่งเศสทำแผนที่แต่เพียงฝ่ายเดียว  3 ปีต่อมา(คศ. 1907)  ทหารฝรั่งเศสก็ทำแผนที่เสร็จ มีชุดละ 11 แผ่น  ส่งให้รัฐบาลไทยหลายชุด  ไทยก็รับเอาแผนที่นี้และใช้เรื่อยมา  โดยไม่ได้เฉลียวใจเลยว่าทหารฝรั่งเศสเล่นไม่ซื่อ  กล่าวคือ แผนที่ของฝรั่งเศสนั้นไม่ได้สอดคล้องกับถ้อยคำในสนธิสัญญาในหลายจุด  โดยเฉพาะบริเวณเขาพระวิหาร  ทหารฝรั่งเศสเห็นว่าบริเวณนี้สวยดีอยากได้  อยากให้เป็นของฝรั่งเศสก็ขีดเส้นพรมแดนตรงนั้นให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตแดนเขมร  ทั้ง ๆ ที่ในสนธิสัญญากล่าวว่าบริเวณนั้นให้ยึดถือแนวสันปันน้ำเป็นหลัก  และถ้าแผนที่ได้ถูกทำขึ้นอย่างสอดคล้องกับสนธิสัญญา  ปราสาทพระวิหารก็ต้องอยู่ในเขตไทย


เป็นอันว่าคนฝรั่งเศสที่ทำแผนที่มีเจตนาฉ้อฉลมาแต่แรก  เพราะมีความรู้เรื่องการทำแผนที่เป็นอย่างดี  แต่กลับจงใจทำให้ปราสาทพระวิหารและพื้นที่อื่น ๆ อีกหลายแห่งตกเป็นของเขมร


ในทางหลัก กม.  แผนที่ที่ฝรั่งเศสทำขึ้นนี้จึงควรตกเป็นโมฆะ เพราะ ผู้ทำมีเจตนาฉ้อฉล  ขีดเส้นพรมแดนโดยไม่มีหลักการอ้างอิงและขัดต่อสนธิสัญญา คศ.1904  ซึ่งเป็นแม่บทและเป็นพื้นฐานที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลฝรั่งเศสต้องการให้มีการจัดทำแผนที่


การที่เจ้าหน้าที่ไทยจำนวนมากทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย หลงใช้แผนที่โดยไม่คัดค้านก็เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริง(ถ้ารู้ใครจะยอมยกบ้านตัวเองให้คนอื่น)  อย่างไรก็ดีการไม่คัดค้านและการยอมรับเอามาใช้ก็ไม่ได้ทำให้สิ่งที่เป็นโมฆะตั้งแต่ต้นกลับมาดีขึ้นได้  เพราะ เป็นการยอมรับในลักษณะสำคัญผิดในข้อเท็จจริง  ไม่เคยมีเจตนายกดินแดนให้ฝรั่งเศสเพิ่มเติมไปจากในสนธิสัญญา


คำพิพากษาศาลโลกนั้นพูดยืดยาวมากในเรื่องพฤติกรรมที่ข้าราชการไทยยอมรับการใช้แผนที่และไม่ได้ปฏิเสธแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำขึ้น  ฉะนั้นรัฐบาลไทยในปี 2553 จึงควรทำความเข้าใจกับคนไทยทั้งประเทศและต่อชาวโลกให้ได้ว่า


1.     ไทยยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลโลก เนื่องจากไทยเป็นสมาชิกสหประชาชาติโดยการถอนกำลังทหารออกจากตัวปราสาท แต่ไทยไม่ยอมรับและไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษานั้น  ไทยจึงถือว่าปราสาทพระวิหารยังคงเป็นของไทย


แผนที่ทางราชการควรแสดงอาณาเขตของไทยครอบคลุมถึงตัวปราสาทพระวิหาร(แผนที่ต่างจากนี้ให้เผาทิ้งให้หมด)  การจะแสดงแนวเขตลวดหนามหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึง


2.     ไทยยังคงยืนยันว่าเขตแดนไทยกับเขมรต้องเป็นไปตามสนธิสัญญา คศ.1904 ข้อ 1. และแผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นโดยเจตนาฉ้อฉลนั้นเป็นโมฆะตั้งแต่ต้น  ไม่อาจรับรองให้ใช้บังคับได้ ไม่ว่าโดยคนไทยคนหนึ่งหรือหลายคน(แต่การยอมรับของคนไทยบางคนย่อมทำให้ข้ออ้างสิทธิของไทยอ่อนลง  และคงจะมีผู้พิพากษาบางคนยึดถือเป็นหลัก)  เรื่องการเปลี่ยนแปลงเขตแดนหรือยกดินแดนให้ประเทศอื่นนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก  โลกยุคประชาธิปไตยนี้นอกจากต้องทำสนธิสัญญาโดยรัฐบาลแล้วยังต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาอีกด้วย (ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ต้องอยู่ในพระราชอำนาจเท่านั้น)


ไทยแพ้คดีก็เพราะแผนที่ที่ฝรั่งเศสทำขึ้น  ถ้าเรายอมรับแผนที่นี้ เราก็จะต้องเสียดินแดนอีก(บริเวณ 4.7 ตร.กม. และพื้นที่ในทะเล)    เขมร(โดยฮุนเซน) รู้เรื่องนี้ดีจึงพยายามแนบแผนที่ฝรั่งเศสนี้ไว้ท้ายข้อตกลงทุกฉบับ  แต่ไทยก็ยังไม่ประสีประสายอมแนบแผนที่ตามคำขอของเขมรทุกครั้ง  จึงต้องแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้  และไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีก


3.     รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการ  เพื่อสำรวจแนวสันปันน้ำที่แท้จริงให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน    ชี้แจงและทำแผนผังอย่างง่าย ๆ  แต่ถูกต้องแจกจ่ายให้ประชาชนทราบ  อย่านึกว่าการหาแนวสันปันน้ำเป็นเรื่องง่าย เพราะ ในการต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารนั้น  ไทยได้อ้างการสำรวจของผู้เชี่ยวชาญชาวดัทช์  ซึ่งทำแผนผังมีเส้นสันปันน้ำและที่ตั้งปราสาทพระวิหารอยู่ในฝั่งไทย   แต่เขมรก็อ้างผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันซึ่งทำแผนผังมีเส้นสันปันน้ำอีกเส้นและที่ตั้งปราสาทพระวิหารอยู่ฝั่งเขมร (ดูความเห็นแย้งของผู้พิพากษา เวลลิงตัน คู ข้อ 51)


จึงควรมีการเทน้ำและบันทึกวีดีโอ แสดงทิศทางของการไหลของน้ำประกอบมาตรการทางเทคนิคอย่างอื่น    การเผยแพร่วิดีโอแสดงทิศทางการไหลของน้ำถือเป็นเรื่องสำคัญ  และควรมีการเทน้ำลงหลาย ๆ จุด  บริเวณไหนน้ำไหลมาทางเรา บริเวณนั้นก็เป็นของเรา  บริเวณไหนน้ำไหลไปทางเขมรเราต้องยกให้เขมร


ท่านนายกอภิสิทธิ์   ท่านรัฐมนตรีสาทิต  ท่านรัฐมนตรีกษิต  ท่านได้ทำในสิ่งควรทำเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติหรือยัง?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง