แม้
ผวจ.สุรินทร์จะสั่งการปิดศูนย์อพยพเกือบที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อให้ประชาชนชาวไทยที่อยู่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
อันได้แก่ อ.พนมดงรัก และ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ได้เดินทางกลับเข้าไปอาศัยอยู่ตามบ้านเรือนของตัวเองตั้งแต่เมื่อวานซืน(2 พฤษภาคม)แล้วก็ตาม
แต่ก็ไม่วายที่จะต้องพากันอพยพกลับมายังศูนย์อพยพที่เคยเปิดไว้นั้นตามเดิม
นัยะนี้สะท้อนว่า
ชายแดนไทย-กัมพูชาตอนนี้นั้น ไม่ได้สงบจริง เพียงแต่ฝ่ายไทยอาจจะจำกัดระดับของความรุนแรงในการปะทะลงได้ระดับหนึ่ง
ซึ่งเกิดจากการเสริมกำลังและเพิ่มประสิทธิภาพการรบของอาวุธยุทโธปกรณ์
ซึ่งแน่นอนว่า กองทัพไทยต้องมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่าทุกประตูรบ
อาทิเช่น ฐานยิงจรวด บี -21 ของกัมพูชา ซึ่งตอนนี้ก็ไม่หาญกล้ายิงกระสุนปืนใหญ่เข้ามาตกอย่างไร้เป้าหมายและทิศทางดังเช่นแต่ก่อนเริ่มมีการยิงกันใหม่ๆ
เพราะ “ประสิทธิภาพการรบ”ของฝ่ายไทยที่สูงกว่า เพียงแต่ฝ่ายไทยไม่ต้องการโต้ตอบอย่างไร้มนุษยธรรม
และไม่ต้องการตกเป็นฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ใหญ่รังแกเด็ก”
จึงยังคงมีแต่เพียงการปะทะตามแนวชายแดนของทหารพรานไทยที่อยู่
“หน้าแนว”(ตัวจริง)กับ “ทหารเมายาบ้า”ของฝ่ายกัมพูชาที่มักทำตัวเกะกะระราน
โดยชอบทำทีเดินดุ่ยๆ
เข้ามาหาแนวบังเกอร์ของทหารไทยแล้วก็กราดปืนเข้าใส่อย่างบ้าคลั่ง
และก็ถูกสวนกลับให้กลับไปดินแดนของตัวเองอย่างไร้วิญญาณ หรือ กลางวันก็เข้ามาพูดคุยกับทหารไทยด้วยดี
แต่ตกค่ำมืดก็ยิงปืนใส่อย่างไม่ยั้งมือ เป็นต้น
.....เมื่อการเจรจา “ระดับประเทศ”เริ่มจะมีเค้าลางเกิดขึ้นมาบ้าง ส่วนการตกลง “ในระดับปฏิบัติการ”หรือระดับพื้นที่นั้น มีการริเริ่มตั้งแต่แมื่อเย็นวานนี้(3 พฤษภาคม) ที่ชายแดนด้านปราสาทตาควายก็ได้มีข้อตกลงที่นำไปสู่การปฏิบัติเพื่อให้เกิดผลการสงบศึก
ซึ่งเสมือน “การลองใจ”ว่าทหารกัมพูชา(ของนายกฯ
ฮุนเซ็น)ในระดับปฏิบัติการนั้นจะยอมหยุดยิงจริงหรือไม่
โดยให้ต่างฝ่ายจัดทหารพรานชุดละ
6 นาย ไปประจำการ(ประจันหน้ากันและพูดคุยกันเป็นการผูกมิตร) จำนวน 3 จุด ได้แก่ 1)จุดปราสาทตาควาย 2)จุดต้นไทรกลางเนิน และ 3)จุดประสานงานชั่วคราว รวมแล้วฝ่ายละ
18 นาย
ผลการปฏิบัติการครั้งนี้ปรากฏว่า
ได้ผลดีเกินคาด เหตุการณ์สู้รบเมื่อคืนไม่ได้เกิดขึ้น
จึงไม่เกิดการสูญเสียของทั้งสองฝ่าย
โดยเฉพาะตั้งแต่เริ่มมาตรการนี้
ยังไม่มีการลั่นกระสุนปืนแม้แต่เพียงนัดเดียว ...และเมื่อเช้าวันนี้(4
พฤษภาคม)บรรยากาศการพูดคุยสนทนาก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย
ทหารทั้งสองฝ่ายแบ่งปันอาหารแก่กันกิน ไม่ว่า อาหารเช้า ขนมขบเคี้ยว และ....เหล้าขาว
(ของชื่นชอบของตะหานฮุนเซ็น)
ข่าวการปะทะกันจากด้านชายแดน
จ.สุรินทร์จึงถูกกลบด้วยเสียงสัมภาษณ์ของ ผบ.ทบ.แทนด้วยคำสัมภาษณ์เรื่อง
การแสดงความเสียใจกับการสูญเสียของกำลังพลฝ่ายไทยและประชาชนที่ถูกลูกหลงตามแนวชายแดน
รวมทั้งการบาดเจ็บ และทรัพย์สินเสียหาย
แต่เสียงโอดครวญจากทหารพราน“หน้าแนว” (หรือ Black
Warrior )ของการปะทะจากการสู้รบนั้น เราต้องยกย่องให้พวกเขาเป็น “วีรบุรุษตัวจริง”
เพราะนอกจากความหาญกล้าประจันหน้ากับศัตรูจอมเกเรแล้ว ...พวกเขายังเป็น “นักรบราคาถูก” ที่ทำงานอย่างไม่รู้จักคำว่า “กลัวตาย” ทั้งยังไม่มีคำประกาศยกย่องอย่างสวยหรูจากผู้บังคับบัญชา
และ ผบ.ทบ.อีกด้วย ...กลับไม่มีแม้เงาเสียงสะท้อนใดๆ จาก ผบ.ทบ.
วันนี้...ราคาค่าชีวิตของพวกเขาเทียบอะไรไม่ได้เลยกับคนที่นั่งทำงานในห้องแอร์อันเย็นฉ่ำ
....แต่พวกเขา (ทหารพราน .. Black Warrior) นั้น สายตาพวกเขากลับไม่เคยละวางไปจากการจับตาดูความเคลื่อนไหวของเหล่าอริราชศัตรู
ในขณะที่นิ้วมือยังคงเตรียมเหนี่ยวไกปืนอยู่ตลอดเวลา ไปยังพวกที่เข้ามารุกล้ำเขตแดน
เพราะว่า “นาทีชีวิตเป็นสิ่งที่เผลอไม่ได้”
หาก “แม่ทัพ”ที่รู้ใจกำลังพลว่าจะรบเพื่อปกป้องอธิปไตย เพื่อให้ประชาชนไทยกลับเข้าไปอยู่ในบ้านเรือนของตนเอง
สามารถนอนตาหลับได้อย่างไร และซื้อใจบรรดา“นักรบราคาถูก”เหล่านี้ได้
ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก
จักต้องทำให้กำลังพลเหล่านี้มีค่ามีราคาเเพงกว่า
นักรบฝั่งกัมพูชาอย่างรีบด่วน..เท่านั้นเอง
ขอสดุดีเหล่านักรบราคาถูกนี้ไปตลอดกาล
....
หลับเถิด “ทหารกล้า” ...ปวงข้า "นักรบชุดดำ" จะปกป้องภัยให้ท่านเอง
.....................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น