เรื่องเดิม
เมื่อ 25 มีนาคม 2547 เวลา 15.11 น. นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ประชุมร่วมกับนาย ซก อาน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยประชุมกันที่กรุงเทพฯ เรื่อง การร่วมพัฒนาปราสาทพระวิหาร พร้อมแถลงข่าวร่วม ภายหลังการประชุมโดย นายสุรเกียรติ์ กล่าวว่าที่ประชุมมีข้อสรุป ดังนี้
1.จะดำเนินโครงการให้เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพไทย-กัมพูชา โดยร่วมมือและอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน
2.อนุรักษ์ปราสาทพระวิหาร ให้เป็นมรดกโลกของมนุษย์ชาติ โดยจะร่วมกับ UNESCO พัฒนา หลังจากจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว
1.จะดำเนินโครงการให้เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพไทย-กัมพูชา โดยร่วมมือและอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน
2.อนุรักษ์ปราสาทพระวิหาร ให้เป็นมรดกโลกของมนุษย์ชาติ โดยจะร่วมกับ UNESCO พัฒนา หลังจากจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว
3.จะแก้ไขปัญหาสำคัญๆ และแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าทันที
โดยฝ่ายกัมพูชาจะตั้งคณะอนุกรรมการ 2 คณะ เหมือนกับไทย
และจำมีการประชุมระหว่างคณะอนุกรรมการไทย-กัมพูชา ต่อไป
เพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาต่างๆ เช่น การตั้งร้านค้าที่มีระเบียบ
ปัญหาสิ่งแวดล้อม การเก็บกู้ทุ่นระเบิด
4.จะดำเนินโครงการพัฒนาร่วมปราสาทพระวิหารให้เข้ากับโครงการในกรอบอื่นๆ
เช่น ยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจ ประเทศลุ่มแม่น้ำอิรวดี เจ้าพระยา
แม่โขง (ACMECS)
5.ไทยและกัมพูชายินดีให้ประเทศที่ 3 องค์การระหว่างประเทศ และภาคเอกชนมาพัฒนาร่วมกัน
6.การพัฒนาปราสาทพระวิหารจะไม่กระทบกับการปักปันเขตแดน
7.กำหนดแผนปฏิบัติการให้เป็นขั้นตอน
โดยจะมีการสำรวจรายละเอียดเพื่อหายอดงบประมาณในการดำเนินการโครงการทั้งหมด
ว่าจะใช้จำนวนเท่าไร อย่างไรก็ตาม หาก UNESCO
รับจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว
จะไม่เป็นเรื่องยากที่จะมีการบูรณะและพัฒนา
ความร่วมมือตามมติที่ประชุมร่วมคณะรัฐมนตรีไทย-กัมพูชา เรื่องการพัฒนาร่วมปราสาทพระวิหาร
คณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนาเขาพระวิหาร (ฝ่ายไทย) มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน ตามที่ได้รับมอบหมายโดยมติคณะรัฐมนตรีร่วมฯ ได้เริ่มดำเนินงานแล้ว ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2546 โดยในส่วนของกัมพูชา ได้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการระหว่างกระทรวงเพื่อเตรียมการพัฒนาพื้นที่ช่องตาเฒ่าและเขาพระวิหาร โดยมี นายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นประธาน
คณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนาเขาพระวิหาร (ฝ่ายไทย) มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นประธาน ตามที่ได้รับมอบหมายโดยมติคณะรัฐมนตรีร่วมฯ ได้เริ่มดำเนินงานแล้ว ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2546 โดยในส่วนของกัมพูชา ได้มีการจัดตั้ง คณะกรรมการระหว่างกระทรวงเพื่อเตรียมการพัฒนาพื้นที่ช่องตาเฒ่าและเขาพระวิหาร โดยมี นายสก อาน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นประธาน
ฝ่าย
ไทย ได้จัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 2 ชุดได้แก่
คณะอนุกรรมการวางแผนการพัฒนาร่วเขาพระวิหาร โดยมีรองปลัดกระทรวงมหาดไทย
(นายบัณฑิต โสตถิพลาฤทธิ์) เป็นประธาน
และคณะอนุกรรมการเพื่อบูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทเขาพระวิหาร โดยมีนายเตช บุนนาค
อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศในฐานะนักประวัติศาสตร์เป็นประธาน
คณะ
กรรมการร่วมเพื่อพัฒนาปราสาทพระวิหาร ไทยและกัมพูชา
ได้จัดประชุมกลุ่มย่อยโดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและนาย สก
อาน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา
เป็นประธานการประชุมร่วมกันเมื่อ 25 มีนาคม 2547
ซึ่งทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานในการพัฒนาร่วมเขาพระ
วิหาร ทั้งนี้ โครงการบูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทพระวิหารจะเริ่มดำเนินการภายหลังจากที่ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว
การเยือนกัมพูชาของนายกรัฐมนตรีไทย
เมื่อ 15 ตุลาคม 2549 พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและคณะ
เดินทางไปเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ
สรุปสาระสำคัญผลการเยือนได้ดังนี้
นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจที่ถูกต้องถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ในประเทศไทย เพื่อยืนยันถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างประเทศทั้งสอง
ซึ่งไทยให้ความสำคัญกับกัมพูชาในฐานะที่มีพรมแดนติดกันและเป็นมิตรประเทศที่
สำคัญของไทย
โดยนายกรัฐมนตรีแจ้งให้ทราบว่า
ความผูกพันที่รัฐบาลไทยได้มีกับกัมพูชาที่ผ่านมา
ทั้งในกรอบความร่วมมือแบบทวิภาคี และความร่วมมือภายใต้กรอบ ACMECS
ประเทศไทยจะคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงประเด็นความร่วมมือกับฝ่ายกัมพูชาอย่างต่อเนื่องและ
ใกล้ชิด
อย่างไรก็ดี ฝ่ายกัมพูชา ได้แสดงความวิตกกังวลต่อการให้ความช่วยเหลือด้านการสร้างเส้นทางคมนาคมของไทย ได้แก่ การสร้างถนนหมายเลข 48 (เกาะกง-สแรอัมเปิล) ถนนหมายเลข 67 (สะงำ-อันลองเวง-เสียมราฐ) ถนนหมายเลข 68 (โอเสม็ด-สำโรง-กรอลัน)
นายกรัฐมนตรีจึงได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรับไปพิจารณาและดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป อย่าง
ไรก็ตามฝ่ายไทยจะให้การช่วยเหลือในการก่อสร้างและซ่อมแซมถนนหมายเลข 48 กับ
67 ให้เสร็จสิ้นก่อน
แล้วจึงจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือในการก่อสร้างถนนหมายเลข 68 ต่อไป
นอกจากนี้ ได้มีการเจรจาเกี่ยวกับการปักปันเขตแดน
โดยฝ่ายกัมพูชาได้หยิบยกขึ้นมาระหว่างการหารือ ซึ่งนายกรัฐมนตรียืนยันว่า
การตัดสินใจของรัฐบาลจะอยู่บนพื้นฐานของหลักฐาน
จะไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ
ทั้งต่อประชาชนชาวไทยและกัมพูชาอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาได้เสนอให้มีการพบปะระหว่าง ไทย ลาว และกัมพูชา เพื่อร่วมกันพัฒนาในพื้นที่บริเวณสามเหลี่ยมมรกตต่อไป
สำหรับการเปิดช่องทางที่บริเวณช่องตาเฒ่า เขาพระวิหาร นั้น ไทย
พร้อมที่จะร่วมพัฒนาเขาพระวิหารกับกัมพูชา
และยินดีที่กัมพูชาขอจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว
ผลการเยือนประเทศไทยของรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา
เรื่องการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชา นาย ฮอร์ นำ ฮง
รองนายกรัฐมนตรี.และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา
ได้หารือข้อราชการกับรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2550
ในประเด็นเรื่องความพยายามของทางการกัมพูชาในการยื่นขอจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกจะได้พิจารณาเรื่องดังกล่าวในการประชุมสมัย
ที่ 31 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ นครไครสท์เชิร์ช นิวซีแลนด์ ในปลายมิถุนายน 2550
การหารือเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวในระหว่างการเยือนครั้งนี้เป็นไปอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งทั้งสองฝ่ายยังมีท่าทีและความเห็นที่แตกต่างกันในหลายประเด็น เนื่องจากมีประเด็นด้านกฎหมาย
เขตแดนและอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง
ซึ่งการเดินทางมาหารือกับฝ่ายไทยของรองนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชาครั้งนี้กระชั้นกับช่วงเวลาประชุมคณะกรรมการ
มรดกโลกมาก
แม้ว่าก่อนหน้า
นี้ฝ่ายไทยได้พยายามขอพบฝ่ายกัมพูชาเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้ง
แต่ได้รับการปฏิเสธ ยังผลให้การหารือระหว่างไทย-กัมพูชา
ในครั้งนี้ไม่อาจกระทำได้ในรายละเอียดซึ่งมีความละเอียดอ่อนได้อย่างครบถ้วน
รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยจึงได้มอบหมายให้ ดร.มนัสพาสน์ ชูโต
ที่ปรึกษารัฐมนตรีต่างประเทศในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนกัมพูชาที่จะเข้าร่วม
ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่นครไครสท์เชิร์ส
เพื่อหาข้อสรุปที่เป็นยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น