(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
      
       Clean goal for new exchange
       By Marwaan Macan-Markar 
       19/07/2011
      
       พัฒนาการของตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา ซึ่งเพิ่งทำพิธีเปิดไปเมื่อไม่กี่วันก่อน  น่าจะมีส่วนช่วยในเรื่องการต่อต้านการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง  ตลอดจนในการเพิ่มเงินรายได้จากการจัดเก็บภาษีของประเทศยากจนแห่งนี้  ทั้งนี้ถ้าหากตลาดแห่งนี้สามารถดำเนินงานด้วยความโปร่งใสเต็มที่อย่างชนิด ที่พวกหน่วยงานกำกับตรวจสอบวาดหวังกันเอาไว้  สิ่งหนึ่งซึ่งอาจจะสามารถใช้เป็นมาตรวัดสัมฤทธิผลในเรื่องนี้ได้  ก็คือรัฐวิสาหกิจ 3 รายที่กำหนดจะเป็นหลักทรัพย์แรกๆ  ที่เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดแห่งนี้
      
       กรุงเทพฯ -  ตลาดหลักทรัพย์แห่งใหม่ในกัมพูชาที่เพิ่งทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อไม่ กี่วันก่อน นอกจากมีวัตถุประสงค์เพื่อดึงดูดพวกนักลงทุนระหว่างประเทศแล้ว  หลายๆ ฝ่ายยังวาดหวังเอาไว้ด้วยว่า  มันจะสามารถรุนหลังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รายนี้  ให้ก้าวไปสู่การมีความโปร่งใสเพิ่มมากขึ้น  ในเวลาที่ทำพิธีเปิดตลาดหุ้นแห่งนี้ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า  ตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา (Cambodia  Securities Exchange หรือ CSX) เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น  ยังไม่มีหลักทรัพย์ใดเข้าจดทะเบียนซื้อขายเลยสักหลักทรัพย์เดียว  เนื่องจากแรงขับดันของความต้องการที่จะให้แน่ใจว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องอยู่ในระดับเหนือกว่ามาตรฐาน
      
        “เราต้องการทำให้แน่ใจว่ามีความโปร่งใสอย่างเต็มเปี่ยม” ฮวต พุม (Huot Pum) รองกรรมการผู้จัดการของคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งกัมพูชา (Securities and Exchange Commission of Cambodia) กล่าว “ข้อมูลข่าวสารทางการเงินจะต้องมีการตรวจสอบและมีการเปิดเผยอย่างสม่ำเสมอ”
      
       “พวกบริษัทที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้  จะต้องทำให้ได้ตามมาตรฐานสากล” พุม บอกกับสำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส (  Inter Press Service หรือ IPS) ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ ณ  สำนักงานของเขาในกรุงพนมเปญ  “ตลาดหลักทรัพย์เป็นวิธีที่ดีในการสร้างหลักประกันว่าบริษัทต่างๆ  จะมีบรรษัทภิบาลที่มั่นคงหนักแน่น  ตลาดหุ้นสามารถช่วยทำให้เกิดกระแสการสร้างวัฒนธรรมบรรษัทที่ดียิ่งขึ้นกว่า เดิมขึ้นมา”
      
        เป็นที่คาดหมายกันว่าการซื้อขายหลักทรัพย์จะเริ่มต้นได้ในระยะต่อไป ของปีนี้ ทันทีที่กิจการรัฐวิสาหกิจทั้ง 3  แห่งซึ่งได้ประกาศแผนการที่จะจดทะเบียนในตลาด CSX ไปแล้ว สามารถผ่าน  “มาตรฐานสอบบัญชีระหว่างประเทศ” ได้ รัฐวิสาหกิจเหล่านี้ได้แก่ เทเลคอม  แคมโบเดีย (Telecom Cambodia), การประปาพนมเปญ (Phnom Penh Water Supply Authority), และ การท่าเรือสีหนุวิลล์ (Sihanoukville Autonomous Ports)
      
       อย่างไรก็ดี มีคำเตือนจากทางธนาคารโลกว่า การใช้ตลาด CSX  เพื่อผลักดันภาคเศรษฐกิจและการเงินที่ยังมีขนาดเล็กของกัมพูชาให้ก้าวเดินไป บนเส้นทางแห่งความโปร่งใสตรวจสอบได้นั้น  จะไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาภาวะธรรมาภิบาลย่ำแย่ของทั่วทั้งประเทศได้สัก เท่าไรนักหรอก  “ตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่เป็นยาครอบจักรวาลสำหรับแก้ไขสภาพแวดล้อมที่เรื่องธร รมาภิบาลย่ำแย่” แมธิว เวอร์กิส (Mathew Verghis)  หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ดูแลภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ  สำนักงานภูมิภาคของธนาคารโลกที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ อธิบาย
      
       “ดังนั้นในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์สามารถอำนวยแรงจูงใจบางประการสำหรับ การปรับปรุงเรื่องธรรมาภิบาลให้กระเตื้องดีขึ้น  แต่ประสบการณ์ที่ได้มาจากนานาประเทศก็คือ  การดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ก็จะได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมเรื่องธรรมา ภิบาลในประเทศนั้นๆ ด้วย” เขากล่าวกับไอพีเอส
      
       เรื่องนี้น่าจะช่วยอธิบายได้ว่า  ทำไมพวกนักเคลื่อนไหวชาวกัมพูชาที่รณรงค์ต่อสู้อย่างหนักเพื่อให้ภาวะธรรมา ภิบาลในประเทศนี้ดีขึ้นกว่าเดิม  จึงแสดงท่าทีระมัดระวังตัวเกี่ยวกับความคาดหมายที่มีต่อตลาด CSX  ตั้งแต่แรกๆ ที่ว่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้จะเป็น “ตัวเร่ง” ที่จะ  “ช่วยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ”ขึ้นภายในภาคบรรษัททั้งที่เป็นกิจการของรัฐ และกิจการของเอกชน
      
        “เมื่อตอนที่กัมพูชาเข้าไปเป็นสมาชิกของ WTO (องค์การ การค้าโลก กัมพูชาเข้าเป็นสมาชิกองค์การนี้ในปี 2004)  ก็มีการมองโลกในแง่ดีว่า  เรื่องหลักนิติธรรมและวัฒนธรรมการเคารพทำตามระเบียบกฎหมาย  จะมีการปรับปรุงกระเตื้องดีขึ้น” เยง วิรัค (Yeng Virak)  ผู้อำนวยการบริหารของ ศูนย์การศึกษาทางกฎหมายเพื่อชุมชน (Community Legal Education  Center) องค์กรภาคประชาสังคมซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงพนมเปญ  กล่าวแสดงความคิดเห็นโดยยกตัวอย่างกรณีคล้ายๆ กันมาเปรียบเทียบ  “ผู้คนจำนวนมากในตอนนั้นก็คาดหมายว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจน่าจะปรับปรุงดี ขึ้น เนื่องจากประเทศต้องออกกฎหมายฉบับใหม่ๆ มาบังคับใช้จำนวนมาก  รวมทั้งต้องปรับปรุงโครงสร้างทางด้านกฎหมายอีกด้วย”
      
       ทว่าความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาในระยะเวลา 7  ปีนับตั้งแต่นั้น  วิรัคกล่าวว่ามันกลับเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงแบบผิวเผินเปลือกๆ  เป็นต้นว่ากฎหมายต่างๆ ที่ผ่านออกมานั้น  เอาเข้าจริงแล้วก็ถูกนำมาบังคับใช้แบบเลือกใช้เฉพาะส่วนเฉพาะกรณี  “กัมพูชาเป็นรัฐ 2 มาตรฐาน  นั่นคือคนร่ำรวยและทรงอำนาจยังคงได้รับประโยชน์จากระบบต่อไป  ขณะที่คนยากจนและอ่อนแอเป็นฝ่ายสูญเสียพ่ายแพ้” เยงกล่าว  “สิ่งที่เราได้มาก็คือการปล้นสะดม “อย่างถูกกฎหมาย”  โดยพวกเจ้าพ่อนักธุรกิจที่นั่งอยู่ในรัฐบาลเท่านั้นเอง”
      
        การประเมินสถานการณ์อย่างเลวร้ายเช่นนี้  สอดคล้องกับที่ปรากฏอยู่ในรายงานประจำปีขององค์การเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ  (Transparency International  หรือ TI)  หน่วยงานเฝ้าระวังระดับโลกที่มีจุดมุ่งหมายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น  ทั้งนี้กัมพูชาอยู่ในอันดับที่ 154 จาก 178  ประเทศที่ถูกติดตามจับตาเรื่องการทุจริต  เพื่อจัดทำดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์ปัญหาคอร์รัปชั่น (Corruption Perception Index) ประจำปีของ TI ประจำปี 2010 ดีขึ้นนิดเดียวจากที่เคยอยู่ในอันดับ 158 ในจำนวน 180 ประเทศที่ถูกประเมินโดย TI ในปี 2009
      
       พวกเพื่อนบ้านของกัมพูชานั้นต่างได้อันดับดีกว่ากันเป็นแถว  โดยที่ไทยติดอันดับ 78, มาเลเซีย 56, อินโดนีเซีย 110, และเวียดนาม 116  มียกเว้นก็เพียงพม่า  ซึ่งได้ตำแหน่งเป็นประเทศที่คอร์รัปชั่นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก
      
       นายกรัฐมนตรี ฮุนเซน ของกัมพูชา  กำลังถูกบีบคั้นกดดันให้ยุติการโกงกินกันอันอึกทึกมโหฬาร  ซึ่งก้าวเข้ามาเกาะกุมประเทศชาติ  ตั้งแต่ตอนที่กัมพูชาเดินทางออกจากภาวะความทุกข์ยากแสนสาหัสในปี 1991  ปีแห่งการลงนามในข้อตกลงสันติภาพกรุงปารีส เพื่อยุติช่วงระยะเวลาร่วมๆ 2  ทศวรรษแห่งสงคราม, การล้างเผ่าพันธุ์, และความขัดแย้งภายใน  ในเวลานี้ประเทศที่มีจำนวนประชากร 11 ล้านคนแห่งนี้  ยังคงมีผู้คนมากกว่าหนึ่งในสามซึ่งดำรงชีวิตโดยที่มีรายได้ไม่ถึง 1  ดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน
      
       ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาจากโลกตะวันตก  เป็นสิ่งที่สำคัญมากเหลือเกินสำหรับกัมพูชาซึ่งมีฐานะเป็นประเทศยากจนที่สุด รายหนึ่งของภูมิภาคแถบนี้  ฮุนเซนนั้นมีความสามารถมากในการดึงดูดความช่วยเหลือให้ยังคงหลั่งไหลเข้ามา ไม่ขาดสาย ทั้งๆ  ที่การปกครองของเขากำลังมีสภาพเป็นการปกครองแบบผด็จการอย่างเบ็ดเสร็จมาก ขึ้นทุกที  และคอยรับปากรับคำอย่างขอไปทีต่อเสียงเรียกร้องของพวกผู้บริจาคความช่วย เหลือที่ให้เร่งรัดปราบปรามการทุจริตฉ้อโกง
      
       เมื่อปีที่แล้ว  พวกผู้บริจาคทางโลกตะวันตกได้อัดฉีดเงินช่วยเหลือมาให้เป็นจำนวน 1,100  ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นจากระดับ 950  ล้านดอลลาร์ที่ให้มาในปีก่อนหน้านั้น  เรื่องนี้ทำให้กลุ่มสิทธิมนุษยชนทั้งในกัมพูชาเองและในระดับนานาชาติ  ออกมาวิพากษ์วิจารณ์พวกประเทศผู้บริจาคว่า  กำลังให้รางวัลระบอบปกครองที่ทรยศต่อคำมั่นสัญญาในเรื่องที่จะปรับปรุงยก ระดับ “ภาวะธรรมาธิบาล”  แถมยังทำการปราบปราบอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผยต่อผู้ต่อต้านคัดค้าน  ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกรัฐสภา, นักหนังสือพิมพ์, หรือบุคลากรในภาคประชาสังคม
      
       คณะรัฐบาลอุนเซนพยายามตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์  ด้วยการป่าวร้องความสำเร็จทางด้านเศรษฐกิจของตน  โดยที่อัตราการเติบโตขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ที่ระดับ  10%ทีเดียวในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา  ขณะที่การส่งออกที่มีภาคสิ่งทอและภาคการท่องเที่ยวเป็นตัวนำ  ก็ช่วยให้รายได้ในรูปเงินตราต่างประเทศของกัมพูชาเพิ่มสูงขึ้นจากระดับ 227  ล้านดอลลาร์ในปี 1991 เป็น 6,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2010
      
       คุย วัต (Kuy Vat)  นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชาวกัมพูชาที่ยังอยู่ในวัยหนุ่ม  เป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มซึ่งได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของ ประเทศ และเขากำลังมองตลาดหลักทรัพย์ CSX ว่าเป็น  “ก้าวเดินตามธรรมชาติก้าวต่อไป” ในการพัฒนาของประเทศนี้
      
        “ตลาดหลักทรัพย์จะกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก  ในฐานะเป็นแหล่งอีกแหล่งหนึ่งที่เราสามารถเข้าไประดมเงินทุนเพื่อนำมาขยาย ธุรกิจของเรา” คุย ซึ่งเป็นประธานบริหารของ วีทรัสต์ พร็อบเพอร์ตี (VTrust  Property)  ที่ตั้งสำนักงานอยู่ในกรุงพนมเปญ อธิบายให้ไอพีเอสฟัง  “ตลาดหลักทรัพย์ยังจะจัดการกับปัญหาเรื่องคอร์รัปชั่นได้ด้วย  โดยจะแสดงวิธีการที่พวกบริษัทกัมพูชาจะต้องโปร่งใส, จะต้องเสียภาษี”
      
       (สำนักข่าวอินเตอร์เพรสเซอร์วิส) 
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น