ฟิฟทีนมูฟ
 — แหล่งข่าวเผยมีความเคลื่อนไหวทางทหารสองฝ่ายไม่ปกติบนพื้นที่เขาพระวิหาร
 ฝ่ายไทยส่งราชินีสนามรบเข้าพื้นที่ พร้อมเครื่องจักรกลตั้งบังเกอร์ 
และเสริมกำลัง ขณะรัฐบาลมุ่งหน้าถอนทหารลูกเดียวเพื่อกินน้ำมัน ผบ.สส. 
ออกส่งสัญญาณ หากเงื่อนไขทหาร-รัฐบาลไม่ลงตัว ผสมปัจจัยอื่น 
อาจมีงานเลี้ยงใหญ่บนเขาพระวิหาร
วานนี้ เป็นครั้งแรกที่ผู้นำสูงสุดของฝ่ายทหาร พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ออกมาพูดอย่างชัดเจนว่า 
หากถอนทหารก็ถือว่าเป็นการเสียดินแดนโดยพฤตินัย
 และส่งนัยยะถึง “เงื่อนไข” บางประการที่ทหารต้อง “รับได้” 
พร้อมเปิดประเด็นว่า 
การเจรจาเรื่องการถอนทหารอยู่นอกกรอบของคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC 
ซึ่งหากรัฐบาลจะมอบหมาย เรื่องต้องไปผ่านสภา และให้แนวทางมา 
จึงเป็นเหตุผลที่รัฐบาลต้องรี่นำเอาเรื่องการถอนทหารเข้าผ่านความเห็นชอบของ
รัฐสภาโดยประชุมปกปิด
หากสำรวจสถานการณ์ในพื้นที่เขาพระวิหาร 
แหล่งข่าวในพื้นที่และสายความมั่นคงหลายแหล่ง 
รายงานตั้งแต่เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนว่า 
มีความเคลื่อนไหวและกิจกรรมทางทหารที่ไม่ปกติของทั้งสองฝ่าย 
โดยฝ่ายกัมพูชามีการเสริมกำลังทหารไม่ทราบจำนวนเข้าพื้นที่ 
ข่าวในทางเปิดพบว่ามีการ
ฝึกอบรมตำรวจกว่า ๔๐๐ คน เพื่อเข้าประจำการแทนที่เมื่อมีการถอนทหาร
 โดยจัดกำลังมาจากตำรวจในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงจังหวัดพระวิหาร 
ขณะที่แหล่งข่าวระบุว่า 
ประมาณครึ่งหนึ่งเป็นทหารและครอบครัวทหารในพื้นที่เขาพระวิหารที่ไปเป็น
ตำรวจ นอกจากนี้ ผู้บัญชาการระดับสูงในภูมิภาคทหารของกัมพูชา 
มีการตรวจเยี่ยมหน่วยทหารและกองกำลังตำรวจป้องกันพรมแดน หรือ ตชด. 
ค่อนข้างถี่ รวมถึงการตรวจเยี่ยมการฝึกซ้อมของกองรถถังที่จังหวัดกำปงสปือ
ฝ่ายไทย มีรายงานว่า หลังมีการถอนทหารออกไปจำนวนมากก่อนวิกฤตน้ำท่วม 
เมื่อต้นเดือนมีการปรับกำลังนำหน่วยที่ได้ชื่อว่า “ราชินีแห่งสนามรบ” 
กลับขึ้นมาจากภาคใต้ เข้าประจำในพื้นที่ เป็นหน่วยที่ช่ำชองภูมิประเทศ 
มีความรู้ภาษาเขมรเป็นอย่างดี เป็นหน่วยที่ทหารเขมรเกรงกลัวเป็นที่สุด 
ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 
มีการส่งทหารและเครื่องจักรกลเข้าพื้นที่เพื่อทำแนวบังเกอร์ใหม่นอกเขตปลอด
ทหาร และเพื่อกิจกรรมบางอย่าง และล่าสุดตลอดวันของวานนี้และวันนี้ 
มีการส่งทหารพร้อมยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ เมื่อ ๑๘ 
พฤศจิกายน อ.กันทรลักษ์ 
ได้มีหนังสือสั่งการชะลอการปฏิบัติตามคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการศูนย์สั่งการ
ชายแดน ผามออีแดง อุทยานแห่งชาติพระวิหาร ที่ออกมาตั้งแต่เมื่อ ๒๗ กรกฎาคม 
๒๕๕๔
แม้ว่า ปัจจุบัน ความสัมพันธ์ในระดับพื้นที่ของทั้งสองฝ่าย 
ตั้งแต่ช่องซำแตไปจนถึงเขต จ.สุรินทร์ ค่อนข้างดี 
มีการติดต่ออย่างใกล้ชิดและแจ้งข่าวการลาดตระเวนต่อกันต่อเนื่อง 
ไม่มีการยั่วยุ โอภาปราศรัยกันค่อนข้างดี 
แต่ทว่าเป็นแต่เพียงสถานการณ์เหนือผิวน้ำเท่านั้น
ขณะที่ ฝ่ายนโยบาย รัฐบาลของผู้หลบหนีโทษจำคุก 
มีท่าที่ที่ชัดเจนว่าต้องการมุ่งหน้าสู่การถอนทหารและปฏิบัติตามมาตรการชั่ว
คราวของศาลโลก “ไอ้ปึ้ง” สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล 
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 
ยืนยันอย่างชัดเจนหลายครั้งและล่าสุดที่รัฐสภาในการพิจารณาเรื่องการถอนทหาร
 
การประชุมที่ยูเนสโก กรุงปารีส ครั้งล่าสุด มีประเด็นให้ตั้งข้อสังเกต 
คือ รัฐบาลได้ให้นายพิทยา พุกกะมาน ที่มีตำแหน่งทางการเมืองเพียงแค่ 
“ผู้ช่วย” 
ของรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย 
นายพิทยา เป็นอดีตทูตและที่ปรึกษารัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยนายนพดล ปัทมะ 
ปัจจุบันเป็นหัวหน้าฝ่ายต่างประเทศของพรรคเพื่อไทย  
แหล่งข่าวจากการประชุมที่ยูเนสโกให้ข้อมูลว่า 
ในการพบหารือระหว่างหัวหน้าคณะฝ่ายไทยกับ นายซก อาน หัวหน้าคณะฝ่ายกัมพูชา 
ที่ทำเนียบทูตกัมพูชา มีการหยิบยกเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ “น้ำมัน” 
ขึ้นเป็นหัวข้อสนทนา เป็นที่ทราบว่า นายซก อาน 
นอกจากรับผิดชอบเรื่องมรดกโลกในฐานะประธานคณะกรรมการมรดกโลกของกัมพูชาแล้ว 
ยังเป็นประธานองค์การปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา ที่นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรี
 มอบหมายให้ดูแลการเจรจาการแบ่งปันผลประโยชน์น้ำมันในอ่าวไทย 
เมื่อไม่นานมานี้ เคิร์ท แคมป์เบลล์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ 
สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ได้เข้าพบ 
ยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายพิทยา พุกกะมาน ก็อยู่ร่วมด้วย 
นอกจากนี้ การที่ นางฮิลลารี คลินตัน 
เดินทางเยือนไทยก็เป็นเรื่องควรให้ตั้งข้อสังเกต 
แม้หน้าฉากจะพูดถึงความสัมพันธ์และความช่วยเหลือน้ำท่วม 
แต่ย่อมเป็นที่ทราบกันดีว่า ลมหายใจเข้าออกของสหรัฐอเมริกาคืออะไร ทั้งนี้ 
จะสังเกตเห็นได้ว่าหลายเดือนที่ผ่านมีโฆษณาของบริษัทน้ำมันของสหรัฐในจอ
โทรทัศน์ของไทยต่อเนื่อง และเป็นครั้งแรก
เป็นที่ทราบอย่างชัดเจนว่า กัมพูชาต้องการทั้งปราสาทพระวิหาร 
เขตแดนและน้ำมัน ขณะที่ปัจจุบันของอดีตไทยรักไทย “หัวใจคือน้ำมัน” ดังนั้น 
ทิศทางจึงพุ่งเป้าเอาใจกัมพูชาเพื่อพากันออกทะเล 
เป็นเรื่องชวนจับตาว่ารัฐบาลเพื่อไทยจะใช้เงื่อนไขใดต่อรองให้ทหาร “รับได้”
 
แม้อาจมองได้ว่าการขยับของทหารระดับสูงเป็นไปเพื่อต้องการเกราะคุ้มกันตนเอง
 แต่แหล่งข่าวหลายสายของฟิฟทีนมูฟมองตรงกันว่า 
เงื่อนไขของฝ่ายทหารตั้งอยู่บนประโยชน์ของชาติ พร้อมแนะให้จับตาสภาพอากาศ 
ที่ร่อง “ความกดอากาศสูง” กำลังปกคลุมพื้นที่เขาพระวิหาร 
พร้อมสังเกตความเคลื่อนไหวของทหารอย่างใกล้ชิด หากเงื่อนไขไม่ลงตัว 
หรือมีปัจจัยบางอย่าง เป็นไปได้ว่าจะมี “งานเลี้ยงใหญ่” 
บนพื้นที่เขาพระวิหารอีกรอบ 
ที่คราวนี้ฝ่ายทหารไทยจะไม่ให้เขมรกินเปล่าอย่างคราวเดือนกุมภาพันธ์!
 
ฟิฟทีนมูฟ — สื่อเขมรอ้างเจ้าหน้าที่องค์การพระวิหาร 
ระบุเขมรเสริมทหารเข้าประชิดชายแดนด้านปราสาทพระวิหาร 
ขณะไทยปรับเพิ่มกำลังเข้าประจำช่องตาเฒ่า จักจะแรง และตาเส็ม  
ระบุสั่งเจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมตลอดเวลา
หนังสือพิมพ์พนมเปญโพสต์ของกัมพูชา วันนี้ (๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) 
รายงานอ้าง นายจัน ชอน 
เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวสารขององค์การพระวิหารแห่งชาติกัมพูชา ที่ระบุว่า 
กัมพูชาได้เสริมกำลังทหารตามแนวชายแดนในพื้นที่เขาพระวิหาร 
เช่นเดียวกับที่ฝ่ายไทยได้เสริมกำลังในพื้นที่ช่องตาเฒ่า จักจะแรง 
และตาเส็ม 
นายจัน ชอน กล่าวว่า เราต้องเตรียมพร้อม 
และเจ้าหน้าที่องค์การพระวิหารแห่งชาติอยู่ในภาวะเฝ้าระวังตลอดเวลา 
หลังจากที่ฝ่ายไทยยืนยันว่าจะไม่มีการถอนทหารออกจากพื้นที่ซึ่งเกิดกรณี
พิพาท ใกล้กับปราสาทพระวิหาร
รายงานข่าวดังกล่าว สอดคล้องกับแหล่งข่าวในพื้นที่ใกล้ปราสาทพระวิหารของฟิฟทีนมูฟ ที่เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า 
ทั้งสองฝ่ายมีการเสริมกำลังเข้าพื้นที่ มีความเคลื่อนไหวและกิจกรรมทางทหารที่ไม่เป็นปกติ
 พร้อมให้จับตา 
หากการต่อรองประเด็นการถอนทหารระหว่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทยและผู้นำฝ่ายทหาร
ไม่ลงตัว อาจมีการปะทะรอบใหม่ในพื้นที่ ตั้งแต่ต้นเดือน 
ทหารไทยได้ปรับกำลังนำหน่วยรบที่ช่ำชองภูมิประเทศกลับขึ้นมาจากภาคใต้ 
เข้าประจำพื้นที่ พร้อมขนเครื่องจักรกลเข้าปฏิบัติงาน 
และตลอดช่วงสองวันที่ผ่าน 
มีการลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมกำลังทหารเข้าพื้นที่อย่างต่อเนื่อง