การปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะของคนไทย
“มหาวิกฤตสยาม” ที่กำลังคุกคามอยู่ในทุกด้าน เชื่อมโยงทั้งระบบการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม จนกลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยครั้งใหญ่
ดังที่ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ได้เรียกว่า วิกฤตการณ์ที่ยากที่สุดในการหาทางออก ไม่รู้จะเริ่มต้นจากจุดใด และไม่สามารถแก้ได้เพียงแค่การ “ปฏิรูปการเมือง” อย่างที่เคยมีความพยายามทำกันมา
โครงการการปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะคนไทยที่กำลังดำเนินอยู่จริง มีเครือข่ายสถาบันทางปัญญาและบุคคลเข้ามาทำงานร่วมกัน โดยมี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เป็นผู้ประสานและสนับสนุน
“การปฏิรูปประเทศไทยนี้ จะขับเคลื่อนขยายตัวจนเป็นกระแสใหญ่ที่ทุกภาคส่วนสามารถเข้าร่วม
เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก”
สถาบันวิชาการที่รวมตัวกันในรูปแบบที่เรียกว่า “เครือข่ายสถาบันทางปัญญา กระทำโดยประชาชนคนละไม้คนมือ ทำในสิ่งที่ดีมีประโยชน์ต่อสังคมและชุมชนท้องถิ่น ไม่ต้องรอคอยอำนาจรัฐระดับชาติ หรือสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อระดมสมองหาทางถอดรหัสการปฏิรูปประเทศไทย โดยหนึ่งในนั้น คือ การพุ่งเป้าไปที่การปฎิรูปธรรมาภิบาลระบบการเมืองการปกครอง ด้วยเห็นว่าคือจุดที่เป็นตอใหญ่ของปัญหาในเวลานี้
การปฏิรูปประเทศไทย ซึ่ง ศ.นพ.ประเวศ วะสี ได้เสนอ “เป้าหมายร่วม” ให้กับคนไทยทั้งมวล ไว้ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด และคนไทยมีสุขภาวะ โดยให้ลักษณะทั้ง 5 ประการ คือ
การปฏิรูปประเทศไทย ซึ่ง ศ.นพ.ประเวศ วะสี ได้เสนอ “เป้าหมายร่วม” ให้กับคนไทยทั้งมวล ไว้ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด และคนไทยมีสุขภาวะ โดยให้ลักษณะทั้ง 5 ประการ คือ
1) ประเทศแห่งความพอเพียง โดยการมีสัมมาชีพเต็มพื้นที่ โดยสัมมาชีพนี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้บ้านเมืองสงบสุข
2) ประเทศแห่งความดี เช่น มีน้ำใจ มีความปลอดภัย มีความยุติธรรม มีสันติภาพ และมีธรรมาภิบาล เป็นต้น
3) ประเทศแห่งความงาม ศิลปะ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม
4) ประเทศแห่งปัญญา สาเหตุที่ทำให้ประเทศไทยประสบภาวะวิกฤติ เนื่องจากเป็นสังคมแห่งอำนาจนิยม เป็นสังคมการเรียนรู้น้อย ดังนั้นสังคมไทยจำเป็นต้องปรับจากสังคมแห่งอำนาจนิยมไปสู่สังคมแห่งปัญญานิยม ซึ่งปัญญานิยมนี้ควรเป็นวิสัยทัศน์ใหญ่ของประเทศไทย
5) ประเทศแห่งสุขภาวะ ทั้งทางกาย จิต สังคม และปัญญา
ทั้งหมดนี้ เป็นเบญจคุณ ได้แก่ พอเพียง ดี งาม ปัญญา และความสุข
ประเทศไทยจะมีคุณลักษณะเบื้องต้นดังที่กล่าวมา อาจกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนา ประกอบด้วย 10 ยุทธศาสตร์ (ในเบื้องต้น) ดังนี้
ทั้งหมดนี้ เป็นเบญจคุณ ได้แก่ พอเพียง ดี งาม ปัญญา และความสุข
ประเทศไทยจะมีคุณลักษณะเบื้องต้นดังที่กล่าวมา อาจกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนา ประกอบด้วย 10 ยุทธศาสตร์ (ในเบื้องต้น) ดังนี้
1) สร้างจิตสำนึกใหม่ (new consciousness) ประเด็นนี้ได้มีการหารือว่าประเทศไทยภายใน 2 ปีข้างหน้าจะต้องสร้างจิตสำนึกใหม่ วิธีคิดใหม่ เป็นสังคมที่คิดเพื่อส่วนรวม หลุดจากความคิดที่คับแคบและคิดเฉพาะเรื่องส่วนตัว
2) สร้างสัมมาชีพเต็มพื้นที่ หากทำได้จะทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข เศรษฐกิจดี ความชั่วไม่มี ครอบครัวอบอุ่น สัมมาชีพนี้ในความเป็นจริงควรเป็นเป้าหมายใหญ่และเป็นตัวชี้วัดของประเทศ ไม่ควรเป็น GDP ซึ่งไม่ได้บอกศีลธรรม หากแต่สัมมาชีพนี้สามารถระบุได้ทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทั้งนี้นโยบาย เช่น ที่ดิน เทคโนโลยี จำเป็นจะต้องหนุนให้เกิดสัมมาชีพเต็มพื้นที่
3) สร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น ทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม การเมือง และประชาธิปไตย ซึ่งมีเจ้าภาพในการดำเนินการ
4) สร้างระบบการศึกษาที่พาชาติออกจากวิกฤติ ทำอย่างไรให้มีระบบการศึกษาที่สามารถอภิวัฒน์คุณภาพคนทั้งประเทศได้อย่างรวดเร็ว กุญแจสำคัญคือ คุณภาพคน ซึ่งจะต้องหาเจ้าภาพในการดำเนินงานให้ได้
5) สร้างธรรมาภิบาล การเมือง การปกครอง และระบบความยุติธรรม เพราะที่ผ่านมา ประเทศเสียหายเนื่องจากขาดธรรมาภิบาลในเรื่องต่างๆ ทั้งการเมือง การปกครอง องค์กรต่างๆ ซึ่งตรงนี้กระทบกับระบบใหญ่ของประเทศ
6) สร้างระบบสวัสดิการสังคม เป็นระบบที่ทำอย่างไรให้ชีวิตเกษตรกรและผู้ใช้แรงงานทั้งหมดดีขึ้น นโยบาย ระบบและยุทธศาสตร์ควรเป็นอย่างไร ถ้าทำได้สังคมไทยดีขึ้น ชีวิตเกษตรกรและผู้ใช้แรงงานดีขึ้น
7) สร้างความสมดุลของสิ่งแวดล้อมและพลังงาน
8) สร้างระบบสุขภาพเพื่อสุขภาวะของคนทั้งมวล มีเจ้าภาพ องค์กรมาก มีเครื่องมือเยอะ และเชื่อมกับประเด็นอื่นๆ โดยมองสุขภาพไม่ใช่แบบเดิม แต่มองครอบคลุม 4 มิติ กาย จิต สังคม และปัญญา ซึ่งเชื่อมโยงทุกเรื่อง
9) สร้างสมรรถนะในการวิจัยและสามารถทำเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ สำหรับประเด็นนี้เป็นประเด็นที่น่าห่วง ทั้งนี้เราจำเป็นจะต้องรู้ทั้งหมดว่ามีอะไรเกิดขึ้นในโลกบ้าง มหาวิทยาลัยเองจำเป็นต้องมีการปฏิรูป หากมหาวิทยาลัยไม่จัดทำนโยบายและยุทธศาสตร์และปล่อยให้เรื่องดังกล่าวอยู่ในมือของบุคคลที่มีความรู้น้อย จะนำพาประเทศไปสู่ความเสียหาย
10) สร้างระบบการสื่อสาร ที่ผสมผสานการสร้างสรรค์ทั้งหมด เพราะว่าการสื่อสารสำคัญมาก เป็นตัวเชื่อมโยงและทำให้ทั้ง 9 ยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนไปได้
ถ้าเราสามารถเชื่อมโยงทั้งหมดได้ ทำให้สามารถขับเคลื่อนงานและมีคนมาเชื่อมต่อได้ แต่ละคนสามารถทำได้หลายเรื่อง ขอเพียงแต่ว่าช่วยกันพัฒนาและปรับปรุง
โดยเครือข่ายสถาบันทางปัญญาจะจัดเวทีให้แก่บุคคลที่อาสามาร่วมกันหาทางออกให้กับประเทศไทยโดยอาศัย “ความรู้” และ “กระบวนการเรียนรู้” ร่วมกัน ซึ่งบุคลากรส่วนใหญ่จะมีบทบาทสำคัญในองค์กร เช่น มหาวิทยาลัยและสถาบันทางปัญญารูปแบบอื่น โดยแต่ละท่านได้ทำงานศึกษาวิจัยในประเด็นปัญหาตามสาขาความถนัดของตน ล้วนมีจุดมุ่งหมายภายใต้หัวข้อเดียวกันคือ “ปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะของคนไทยทั้งมวล
โดยเครือข่ายสถาบันทางปัญญาจะจัดเวทีให้แก่บุคคลที่อาสามาร่วมกันหาทางออกให้กับประเทศไทยโดยอาศัย “ความรู้” และ “กระบวนการเรียนรู้” ร่วมกัน ซึ่งบุคลากรส่วนใหญ่จะมีบทบาทสำคัญในองค์กร เช่น มหาวิทยาลัยและสถาบันทางปัญญารูปแบบอื่น โดยแต่ละท่านได้ทำงานศึกษาวิจัยในประเด็นปัญหาตามสาขาความถนัดของตน ล้วนมีจุดมุ่งหมายภายใต้หัวข้อเดียวกันคือ “ปฏิรูปประเทศไทยเพื่อสุขภาวะของคนไทยทั้งมวล
หากการปฏิรุปประเทศไทยทุกด้านคงไม่อาจทำสำเร็จได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ และมิใช่เพียงการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) อย่างที่เคยมีมาแต่ละรูปแบบหนึ่งจะจัดให้มีกิจกรรมลักษณะการวิจัยเชิงปฎิบัติการและการรณรงค์ต่อเนื่องไป โดยใช้เวลา 1-3 ปี และคาดว่าแวดวงผู้สนใจเรื่องปฎิรูปประเทศไทยจะขยายกว้างขวางออกไปเรื่อยๆ
การปฏิรูปประเทศไทย โดย นายแพทย์ประเวศ วะสี
๑. ไม่มีรัฐบาลใดแก้ปัญหาประเทศได้ (เพราะใช้แต่กลไกที่เป็นทางการ)
สังคมไทยติดอยู่ในมายาคติ ๔-๕ อย่างที่ทอนพลังและทำลายตัวเอง มายาคติอย่างหนึ่งคือ การให้ความสำคัญกับความเป็นทางการมากเกินไป ที่จริงความไม่เป็นทางการมีมาก่อน ใหญ่กว่า และมีสาระมากกว่าความเป็นทางการ ภาษาอังกฤษว่า Formal ก็ติดใน Form หรือรูปแบบมากกว่าสาระ
โครงสร้างแท่ง (รูป ก.) จะใช้อำนาจมากกว่าปัญญา เนื่องจากสังคมปัจจุบันมีความซับซ้อนและยาก การพัฒนาด้วยอำนาจจะไม่สำเร็จ หากทำงานด้วยโครงสร้างนี้จะไม่สำเร็จต่อการแก้ไขปัญหา เพราะทุกรัฐบาลมุ่งแต่ใช้กลไกที่เป็นทางการ
โครงสร้างแท่ง (รูป ข.) การอาศัยการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ (Interactive learning through action) ในแต่ละพื้นที่มีบุคคล กลุ่ม องค์กร สถาบันต่างๆ เป็นจำนวนมาก แต่ต่างคนต่างอยู่เพราะความเป็นทางการ หากบุคคล กลุ่ม องค์กร สถาบัน เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ จะเกิดอิทธิพลังแห่งความสำเร็จ (รูป ข.)
การบริหารจัดการใหม่ คือ การส่งเสริมการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ องค์กร และทุกเรื่อง เกิดเป็นเครือข่ายของความร่วมมือร่วมใจของคนไทยเต็มประเทศ เพื่อจะลดพลังทางลบเพิ่มพลังทางบวก พาประเทศออกจากวิกฤตการณ์ไปสู่การสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด จากทรัพยากรต่างๆ ที่มากเกินพอจะสร้างความสุขให้คนไทยทุกคน
๒. ความฝันใหญ่ของคนไทยร่วมกัน
การบริหารจัดการใหม่ คือ การส่งเสริมการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำในทุกพื้นที่ องค์กร และทุกเรื่อง เกิดเป็นเครือข่ายของความร่วมมือร่วมใจของคนไทยเต็มประเทศ เพื่อจะลดพลังทางลบเพิ่มพลังทางบวก พาประเทศออกจากวิกฤตการณ์ไปสู่การสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด จากทรัพยากรต่างๆ ที่มากเกินพอจะสร้างความสุขให้คนไทยทุกคน
๒. ความฝันใหญ่ของคนไทยร่วมกัน
การสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก ถือว่าเป็นจิตนาการที่ใหญ่ ประเทศใดหรือองค์กรใดมีจิตนาการใหญ่ ประเทศนั้นองค์กรนั้นจะมีพลังมหาศาลในการขับเคลื่อนไปสู่ความเป็นจริง การทำอะไรให้มีพลังไม่ใช่เริ่มต้นที่ความรู้ เพราะความรู้มักจะมีข้อจำกัดที่ทอนพลัง “ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ไม่ได้” จินตนาการใหญ่ที่ไม่มีข้อจำกัดจึงเพิ่มพลัง โดยการที่คนไทยต้องมีการจินตนาการใหญ่ร่วมกันว่า เราจะร่วมกันสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก
๓. ประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกเป็นอย่างไร
ควรมีการระดมความคิดกันทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด ว่าหมู่บ้านน่าอยู่เป็นอย่างไร ท้องถิ่นน่าอยู่เป็นอย่างไร จังหวัดน่าอยู่เป็นอย่างไร และประเทศน่าอยู่เป็นอย่างไร แทนที่ใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะเป็นผู้นิยามว่าประเทศน่าอยู่ที่สุดเป็นอย่างไร คนไทยทั้งหมดจะเป็นผู้นิยาม ในกระบวนการนี้จะเป็นการสร้างวิสัยทัศน์และเป้าหมายร่วม ซึ่งจะเกิดพลังขับเคลื่อนมหาศาล
๓. ประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกเป็นอย่างไร
ควรมีการระดมความคิดกันทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด ว่าหมู่บ้านน่าอยู่เป็นอย่างไร ท้องถิ่นน่าอยู่เป็นอย่างไร จังหวัดน่าอยู่เป็นอย่างไร และประเทศน่าอยู่เป็นอย่างไร แทนที่ใครคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจะเป็นผู้นิยามว่าประเทศน่าอยู่ที่สุดเป็นอย่างไร คนไทยทั้งหมดจะเป็นผู้นิยาม ในกระบวนการนี้จะเป็นการสร้างวิสัยทัศน์และเป้าหมายร่วม ซึ่งจะเกิดพลังขับเคลื่อนมหาศาล
ตัวอย่างองค์ประกอบของการเป็นประเทศน่าอยู่
(๑) มีเศรษฐกิจดี ประชาชนมีสัมมาชีพอย่างถ้วนหน้าและมั่นคง
(๒) มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจไมตรีจิต ไม่ทอดทิ้งกัน
(๓) มีสันติประชาธรรม ที่มีการเคารพศักดิ์ศรีคุณค่าความเป็นคนของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีประชาธิปไตย เคารพสิทธิมนุษยชน มีความเป็นธรรม
(๔) มีสิ่งแวดล้อมดี ที่เกื้อกูลต่อชีวิต
(๕) มี สสส. คือ สุนทรียธรรม สันติภาพ และสุขภาพ
(๑) มีเศรษฐกิจดี ประชาชนมีสัมมาชีพอย่างถ้วนหน้าและมั่นคง
(๒) มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจไมตรีจิต ไม่ทอดทิ้งกัน
(๓) มีสันติประชาธรรม ที่มีการเคารพศักดิ์ศรีคุณค่าความเป็นคนของทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน มีประชาธิปไตย เคารพสิทธิมนุษยชน มีความเป็นธรรม
(๔) มีสิ่งแวดล้อมดี ที่เกื้อกูลต่อชีวิต
(๕) มี สสส. คือ สุนทรียธรรม สันติภาพ และสุขภาพ
ทั้ง ๕ รวมกันอาจเรียกว่าเบญจลักษณ์ของการเป็นหมู่บ้านน่าอยู่ ท้องถิ่นน่าอยู่ จังหวัดน่าอยู่ ประเทศน่าอยู่เบญจลักษณ์ดังกล่าวอาจเป็นโครงให้เพิ่มเติม ตกแต่ง ต่อเติม อย่างใดก็ได้ตามปรารถนาของแต่ละกลุ่ม
๔. การพัฒนาอย่างบูรณาการ
โดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้งการจะเป็นประเทศน่าอยู่ ต้องมีการพัฒนาอย่างบูรณาการ ๘ เรื่องเชื่อมโยงกัน คือ เศรษฐกิจ-จิตใจ-สังคม-วัฒนธรรม-สิ่งแวดล้อม-สุขภาพ-การศึกษา-ประชาธิปไตย ซึ่งอาจเรียกว่า “บูรณาการ ๘”
๔. การพัฒนาอย่างบูรณาการ
โดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้งการจะเป็นประเทศน่าอยู่ ต้องมีการพัฒนาอย่างบูรณาการ ๘ เรื่องเชื่อมโยงกัน คือ เศรษฐกิจ-จิตใจ-สังคม-วัฒนธรรม-สิ่งแวดล้อม-สุขภาพ-การศึกษา-ประชาธิปไตย ซึ่งอาจเรียกว่า “บูรณาการ ๘”
การพัฒนาอย่างบูรณาการ เอากรมหรือหน่วยงานเป็นตัวตั้งไม่ได้ เพราะกรมหรือหน่วยงานแยกเป็นเรื่องๆ ต้องเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง เรามีตัวอย่างของหมู่บ้านและตำบลที่มีการพัฒนาอย่างบูรณาการ แล้วเกิดความร่มเย็นเป็นสุขประดุจสวรรค์บนดิน ควรส่งเสริมให้ทุกหมู่บ้าน ทุกท้องถิ่น และทุกจังหวัด สามารถรวมตัวกันพัฒนาอย่างบูรณาการจนเกิดสภาวะร่มเย็นเป็นสุขเต็มพื้นที่
ถ้ามหาวิทยาลัยหนึ่งแห่งร่วมมือกับจังหวัดหนึ่งจังหวัดในการพัฒนาอย่างบูรณาการทั้งจังหวัดภายใน ๕ ปี ทุกชุมชนท้องถิ่นจะเข้มแข็ง ภายใน ๑๐ ปี บ้านเมืองจะร่มเย็นเป็นสุข ภาคธุรกิจมีโครงสร้างอย่างกว้างขวางและบุคลากรที่มีความสามารถจำนวนมาก หากภาคธุรกิจรวมตัวกันและทำงานพัฒนาสังคมอย่างเป็นระบบ จะเป็นพลังมหาศาลในการสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุด ภาคธุรกิจน่าจะรวมตัวกันเป็น “สภานักธุรกิจเพื่อการพัฒนา” (Business Council for Development) เชื่อมโยงกับองค์กรทางธุรกิจที่มีอยู่ในทุกจังหวัด ส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาอย่างบูรณาการโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้งทุกชุมชน ทุกท้องถิ่น และทั้งจังหวัด ปัญหาต่างๆ ต่อให้ยากเพียงใดไม่น่าจะทานพลังแห่งความร่วมมือของคนไทยได้
๕. ปฏิรูปประเทศไทยอย่างน้อย ๑๐ เรื่อง
นอกจากการพัฒนาอย่างบูรณาการโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง ยังมีเรื่องหรือประเด็นใหญ่ที่ต้องการปฏิรูปอีกหลายเรื่อง เรื่องเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกัน จะปฏิรูปแต่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น ปฏิรูปการเมือง จะไม่สำเร็จ เครื่องดนตรีทั้งวงต้องบรรเลงเพลงเดียวกัน รูปข้างล่างแสดงประเด็นใหญ่ๆ ๑๐ เรื่อง ที่เชื่อมโยงกัน แต่ละเรื่องเป็นเรื่องใหญ่ ยากและยังแตกแขนง แยกย่อยไปได้อีก ควรมีบุคคล กลุ่ม องค์กร สถาบัน ที่จับประเด็นใดประเด็นหนึ่งหรือมากกว่าศึกษาค้นคว้า ให้เกิดความเข้าใจชัดเจนและผลักดันไปสู่การปฏิบัติ
๕. ปฏิรูปประเทศไทยอย่างน้อย ๑๐ เรื่อง
นอกจากการพัฒนาอย่างบูรณาการโดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง ยังมีเรื่องหรือประเด็นใหญ่ที่ต้องการปฏิรูปอีกหลายเรื่อง เรื่องเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกัน จะปฏิรูปแต่เรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น ปฏิรูปการเมือง จะไม่สำเร็จ เครื่องดนตรีทั้งวงต้องบรรเลงเพลงเดียวกัน รูปข้างล่างแสดงประเด็นใหญ่ๆ ๑๐ เรื่อง ที่เชื่อมโยงกัน แต่ละเรื่องเป็นเรื่องใหญ่ ยากและยังแตกแขนง แยกย่อยไปได้อีก ควรมีบุคคล กลุ่ม องค์กร สถาบัน ที่จับประเด็นใดประเด็นหนึ่งหรือมากกว่าศึกษาค้นคว้า ให้เกิดความเข้าใจชัดเจนและผลักดันไปสู่การปฏิบัติ
ความจริงมหาวิทยาลัยต่างๆ มีอาจารย์และนักวิชาการจำนวนมาก ควรจะเป็นขุมกำลังของการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย การที่มหาวิทยาลัยไม่เป็นพลังของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเพราะมหาวิทยาลัยทำงานโดยเอาวิชาเป็นตัวตั้งอย่างเดียว ขาดการรวมตัวกันทำงานเชิงประเด็น นอกจากโครงสร้างที่เป็นคณะวิชา ภาควิชา สาขาวิชา มหาวิทยาลัยควรส่งเสริมให้คณาจารย์และนักวิชาการรวมตัวกันข้ามองค์กร ข้ามสาขาวิชา ตามประเด็น เช่น ที่ยกตัวอย่างมา ๑๐ เรื่อง หรือประเด็นอื่นใดที่คิดว่ามีความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศ และเกาะติดประเด็นนั้นๆ ส่งต่อความรู้ไปให้สังคมเคลื่อนไหวไปสู่ความสำเร็จ
๖. เครือข่ายปฏิรูป
ประเทศไทยที่ครอบคลุมทั้งประเทศ(บุคคล กลุ่ม องค์กร สถาบัน) ในการปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดนี้ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือสถาบันใดสถาบันหนึ่ง หรือรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งจะทำได้สำเร็จ แต่บุคคล กลุ่มบุคคลองค์กร สถาบันต่างๆ สามารถคิดโดยอิสระ เคลื่อนไหวเข้ามาเชื่อมโยงด้วยมีเป้าหมายและวิสัยทัศน์ใหญ่ร่วมกัน คือ เปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปประเทศไทยในที่สุด จะเกิดเครือข่ายปฏิรูปประเทศไทยที่ครอบคลุมทั้งประเทศเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่จุดลงตัวใหม่ด้วยพลังทางสังคม พลังทางปัญญา พลังทางการจัดการ และพลังทางสันติวิธี ที่ทุกคนเป็นอิสระ สร้างสรรค์เต็มที่ ไม่มีใครหรือองค์กรใดมีอำนาจเหนือใคร ทุกคนทุกกลุ่มเข้ามาเชื่อมโยงกันด้วยความสมัครใจและความสุขในการได้เรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
๗. เซลล์สมองทางสังคม ศูนย์ข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย
๖. เครือข่ายปฏิรูป
ประเทศไทยที่ครอบคลุมทั้งประเทศ(บุคคล กลุ่ม องค์กร สถาบัน) ในการปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสร้างประเทศไทยให้เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดนี้ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือสถาบันใดสถาบันหนึ่ง หรือรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งจะทำได้สำเร็จ แต่บุคคล กลุ่มบุคคลองค์กร สถาบันต่างๆ สามารถคิดโดยอิสระ เคลื่อนไหวเข้ามาเชื่อมโยงด้วยมีเป้าหมายและวิสัยทัศน์ใหญ่ร่วมกัน คือ เปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปประเทศไทยในที่สุด จะเกิดเครือข่ายปฏิรูปประเทศไทยที่ครอบคลุมทั้งประเทศเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่จุดลงตัวใหม่ด้วยพลังทางสังคม พลังทางปัญญา พลังทางการจัดการ และพลังทางสันติวิธี ที่ทุกคนเป็นอิสระ สร้างสรรค์เต็มที่ ไม่มีใครหรือองค์กรใดมีอำนาจเหนือใคร ทุกคนทุกกลุ่มเข้ามาเชื่อมโยงกันด้วยความสมัครใจและความสุขในการได้เรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
๗. เซลล์สมองทางสังคม ศูนย์ข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย
ความจริงในแต่ละพื้นที่มีบุคคล องค์กร สถาบันจำนวนมาก ที่ต่างคนต่างอยู่ ทำให้ไม่มีพลังสร้างสรรค์เกิดขึ้น ดัง (รูป ก.) ที่เหมือนสังคมไม่มีเซลล์สมอง และรูป (ข.) แสดงเซลล์สมองทางสังคมทำหน้าที่เชื่อมโยงส่วนต่างๆ เข้ามาเรียนรู้ร่วมกัน ทำให้เกิดพลั งสร้างสรรค์ไปสู่ความสำเร็จ
เซลล์สมองทางสังคมทำหน้าที่ ๖ อย่าง คือ
(๑) สำรวจข้อมูลในพื้นที่
(๑) สำรวจข้อมูลในพื้นที่
(๒) ส่งเสริมการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำ
(๓) มีการจัดการความรู้ คือดึงความรู้จากการปฏิบัติเก่าที่มีอยู่ในตัวคนออกมาใช้
(๔) วิจัยสร้างความรู้ใหม่ที่ต้องการใช้งาน
(๕) สังเคราะห์ประเด็นนโยบายที่เกิดขึ้น
(๖) ทำการสื่อสารทั้งในพื้นที่และกับภายนอก
หน่วยงานที่ทำหน้าที่เซลล์สมองอาจเป็นองค์กรที่มีอยู่แล้ว เช่น อบต. โรงพยาบาลชุมชน ฯลฯ อยู่ที่การปรับตัวให้ทำหน้าที่ครบทั้ง 6 ประการ นักพัฒนาเอกชนสามารถรวมตัวเป็นกลุ่มเซลล์สมองทางสังคม
มหาวิทยาลัยควรเป็นเซลล์สมองขนาดใหญ่ ถ้ามีเซลล์สมองน้อยใหญ่ทำงานเชื่อมโยงกันเต็มประเทศ ประเทศไทยก็จะเปลี่ยน เปลี่ยนจากการเป็นสังคมอำนาจ ไม่มีเซลล์สมอง ซึ่งไม่ได้ผล ไปเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ หรือสังคมที่มีเซลล์สมอง เกิดผลสัมฤทธิ์สูง สามารถสร้างสังคมที่คนไทยทุกคนมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และมีความสุขได้
ควรมีศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย เพื่อรวบรวมและกระจายข้อมูลข่าวสารให้รู้กันทั่วใคร ที่ไหนกำลังทำอะไร เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศไทย หนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยก็สามารถเป็นศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย ศูนย์ต่างๆ สามารถเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย
เพื่อคนไทยครับ ประเทศไทยกำลังประสบวิกฤตการณ์ที่ยากที่สุดๆ ไม่มีใคร องค์กรใด สถาบันใด หรือรัฐบาลใด สามารถแก้ไขได้ นอกจากคนไทย กลุ่ม องค์กร สถาบัน เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งมีวิธีการทำงานอย่างเป็นระบบที่ไม่ได้ใช้อำนาจ แต่ใช้การเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ หรือปัญญา เป็นเครื่องมือ เกิดพลัง 4 คือ พลังทางสังคม พลังทางปัญญา พลังทางการจัดการ พลังแห่งสันติวิธี ซึ่งเป็นอิทธิพลังหรือพลังแห่งความสำเร็จ ปฏิรูปประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศที่ร่มเย็นเป็นสุข หรือประเทศที่น่าอยู่ที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น