บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

รู้เท่าทันกระบวนการรับรองแผนที่ 1: 200,000




ประกาสิทธิ์ แก้วมงคล 

ผู้ช่วยวิจัย สถาบันไทยคดีศึกษา 

สืบเนื่องจากอาทิตย์ที่ผ่านมา (5-12 ตุลาคม 2552) นักวิชาการภาคประชาชนได้ค้นพบประเด็นสำคัญที่สุดประเด็นหนึ่งคือ พบว่ารัฐสภาไทยได้มีมติเห็นชอบ กรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา และกลไกอื่นๆภายใต้กรอบนี้ ตั้งแต่การประชุมร่วมสมัยสามัญนิติบัญญัติ เมื่อ 28 ตุลาคม พ.ศ.2551 โดยภายใต้กรอบนั้น มีการกำหนดแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) ไทย-กัมพูชา ที่ทำขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 อยู่ด้วย และหนึ่งในนั้น มีการระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่าให้ใช้แผนที่ 1:200,000 เป็นหลักฐานในการพิจารณาจัดทำหลักเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา

หลังจากการค้นพบประเด็นนี้ ทำให้ภาคประชาชนตระหนักว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติไทย ที่ถือว่าเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยไปในทางมิชอบ ซึ่งแม้จะเป็นมติข้างมาก แต่ก็มิได้สอดคล้องกับประชามติตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  จึงได้มีการเสนอความจริงเรื่องนี้สู่สาธารณะอย่างกว้างขวาง  และนำเสนอต่อรัฐบาลและรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2552 เพื่อให้ดำเนินการแก้ไขปัญหาและความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน

อันที่จริง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ หากยังจำกันได้ ตั้งแต่เมื่อเดือนมิถุนายน 2551 ปีที่แล้ว กระทรวงการต่างประเทศได้ทำสมุดปกขาวชื่อ กรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยให้ข้อมูลลักษณะนี้ต่อประชาชน โดยอ้างว่า การปักปันเขตแดนบริเวณเขาพระวิหารยังไม่แล้วเสร็จทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วเสร็จไปแล้ว, แผนที่1:200,000เป็นแผนที่ของคณะกรรมการปักปันสยาม-ฝรั่งเศส ทั้งๆที่ไม่ใช่และสามารถโต้แย้งได้ และ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่10 กรกฎาคม พ.ศ.2505 เป็นการกำหนดเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหาร ทั้งที่เป็นเพียงการกำหนดเขตบริเวณ เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้ ถูกโต้แย้งมาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว โดยภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทเขาพระวิหาร เพราะหากเชื่อ/ยึดถือตามนี้ ประเทศไทยจะถูกทำให้เสียเปรียบทุกประตู และถือว่าเป็นการบิดเบือนความจริงที่ไม่มีคนไทยคนไหนที่รู้เรื่องจะยอมรับได้ แต่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องนับตั้งแต่รัฐบาลลงมาก็ไม่เคยมีการชี้แจงให้กระจ่างและไม่เคยมีการแก้ไขความผิดพลาดแม้แต่ครั้งเดียว กระบวนการต่างๆยังคงถูกดึงดันลากถูเรื่อยมา จนกระทั่งหลักฐานต่างๆเริ่มมาปรากฏชัด 

จนถึงล่าสุด คือ เมื่อ นายวศิน ธีรเวชญาณ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายกระทรวงการต่างประเทศ และประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(JBC) ฝ่ายไทย ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ในงานเสวนาเรื่อง รู้ลึกข้อเท็จจริงเขตแดนทางบกและทางทะเลไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2552 ที่จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศ โดยได้ให้เหตุผลในลักษณะเดียวกัน ถึงเรื่องที่ต้องบรรจุแผนที่ 1: 200,000 เอาไว้ในแผนแม่บทและข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ของเจบีซี ซึ่งสื่อนำมาสรุปเป็นประเด็นได้ว่า
  1. เป็นแผนที่ที่เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนผสมสยาม-ฝรั่งเศส ซึ่งตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่5
  2. รัฐบาลสยามได้ขอร้องให้ฝรั่งเศสจัดพิมพ์แผนที่ฉบับนี้ขึ้น

  3. แผนที่ดังกล่าวผูกพันประเทศไทยตามคำตัดสินของศาลโลก คดีปราสาทพระวิหาร

และข้าพเจ้าได้เคยอธิบายข้อเท็จจริงเพื่อโต้แย้งเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว แต่จะขอนำมาปัดฝุ่นทบทวนกันอีกครั้งว่า
1) ประเด็นที่อ้างว่าแผนที่ 1: 200,000 เป็นแผนที่ที่เป็นผลงานของคณะกรรมการปักปันเขตแดนผสมสยาม-ฝรั่งเศส ซึ่งตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่5

ข้อเท็จจริง

แผนที่ของกัมพูชา มาตราส่วน 1:200,000 ดังกล่าวเป็นแผนที่ซึ่งคณะกรรมการปักปันเขตแดนผสมฝ่ายฝรั่งเศส เป็นผู้จัดทำขึ้นฝ่ายเดียว โดยไม่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการผสมสยาม-ฝรั่งเศส ตามสนธิสัญญา ค.ศ.1904 แต่อย่างใด เนื่องจากแผนที่ฉบับนี้ถูกพิมพ์ขึ้นที่กรุงปารีส ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1907 แต่คณะกรรมการผสมชุดดังกล่าวได้ยุบเลิกไปก่อนหน้านั้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1907 และคณะกรรมการปักปันผสมชุดนี้ ไม่มีหน้าที่หรือไม่ปรากฏว่ามีคำสั่งให้ทำแผนที่ฉบับนี้ขึ้น จึงไม่มีส่วนรับรู้ในการทำแผนที่ฉบับดังกล่าว ดังนั้น ย่อมไม่สามารถที่จะกล่าวว่าแผนที่ฉบับนี้(1:200,000) เป็นแผนที่ของคณะกรรมการปักปันสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904  

ข้อเท็จจริงข้างต้นที่กล่าวมานี้ ต่อมาได้รับการยืนยันอย่างหนักแน่นจากผู้พิพากษาศาลโลกถึง 4 ท่าน และหนึ่งในนั้นคือ เซอร์ เจรัลด์ ฟิทซ์มอริส ซึ่งแม้ว่าจะพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาด้วยเหตุผลอื่นก็ตาม แต่ก็ได้ยอมรับต่อความจริงในข้อนี้ว่า แผนที่ 1: 200,000 ของกัมพูชา ไม่ใช่ผลงานของคณะกรรมการปักปันผสมสยาม-ฝรั่งเศส ดังจะขอยกข้อความช่วงหนึ่งมาให้ดู ดังนี้

...แต่เมื่อสรุปแล้วที่แน่นอนมีอยู่เพียงเรื่องเดียว คือแผนที่ภาคผนวก1 นั้น เจ้าหน้าที่ฝ่ายแผนที่ของฝรั่งเศสเป็นผู้ทำขึ้นที่กรุงปารีสเมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1907 และแผนที่นี้คณะกรรมการผสมไม่เคยได้เห็น (อย่าว่าแต่จะได้เห็นชอบหรือรับเอาเลย) และคณะกรรมการผสมนี้ปรากฏว่าได้ยุติการปฏิบัติงานไปโดยสิ้นเชิงในราวเดือนกุมภาพันธ์ของปีนั้น...ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าประเทศไทยเป็นฝ่ายได้รับความสำเร็จสำหรับตอนนี้ของคดี...จะต้องถือว่าแผนที่นี้ทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียวโดยแท้ไม่ผูกพันประเทศไทยแต่อย่างใด...(อ้าง คำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ คดีปราสาทพระวิหาร)


2) ประเด็นที่อ้างว่ารัฐบาลสยามได้ขอร้องให้ฝรั่งเศสจัดพิมพ์แผนที่ฉบับนี้ขึ้น

ข้อเท็จจริง

รัฐบาลสยามในสมัยนั้น ได้ขอร้องให้ฝรั่งเศส จัดพิมพ์แผนที่นี้ขึ้นก็ไม่เป็นความจริง เนื่องจากรัฐบาลสยามไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับการพิมพ์แผนที่ขึ้น และแม้จะร้องขอหรือไม่ก็ตาม ฝรั่งเศสก็จงใจจัดพิมพ์แผนที่ขึ้นอยู่แล้ว เป็นแต่ว่า ในภายหลังที่ได้เห็นแผนที่ดังกล่าวแล้ว รัฐบาลสยามได้ขอให้ฝรั่งเศสจัดส่งแผนที่มาให้เพิ่มเติม โดยที่ยังไม่ทราบข้อบกพร่องของแผนที่นั้น ซึ่งปรากฏเป็นเพียงจุดเล็กๆบนแผนที่จำนวนหลายระวาง จึงไม่ได้โต้แย้งใดๆ   ซึ่งด้วยเหตุผลเรื่องการรับเอาแผนที่มาใช้โดยไม่มีการโต้แย้งเพียงเท่านี้เอง ที่ต่อมาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลก ใช้เป็นเหตุผลหลักในการตัดสินให้ปราสาทพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา

             3) ประเด็นที่อ้างว่าแผนที่ดังกล่าวผูกพันประเทศไทยตามคำตัดสินของศาลโลก คดีปราสาทพระวิหาร

ข้อเท็จจริง

ที่อ้างว่า แผนที่ฉบับนี้ผูกพันประเทศไทยตามคำตัดสินของศาลโลก คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ.2505 นั้น ข้าพเจ้าอยากเรียนยืนยันถึงข้อเท็จจริงอีกชุดหนึ่งว่า แผนที่ฉบับนี้ไม่ได้มีผลผูกพันประเทศไทยตามคำตัดสินของศาลโลกแต่อย่างใดทั้งสิ้น เหตุผลเพราะว่า คำตัดสินอันถือเป็นที่สิ้นสุดและต้องปฏิบัติตามนั้น คือคำตัดสินสุดท้าย (final judgment)  ซึ่งศาลตัดสินให้

  1. ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา
  2. ประเทศไทยต้องถอนกำลังทหาร ตำรวจ หรือยาม ออกจากบริเวณปราสาทพระวิหาร
  3. ประเทศไทยต้องส่งคืนโบราณวัตถุที่นำออกไปจากปราสาทพระวิหารคืนให้แก่กัมพูชาแต่ศาลโลกไม่ได้ตัดสินให้
  4. ศาลโลกไม่ได้ติดสินรับรองสถานะของแผนที่ฉบับนี้ว่าเป็นแผนที่ของคณะกรรมการปักปันผสมสยามฝรั่งเศส และ
  5. ศาลไม่ได้ติดสินว่าเส้นเขตแดนที่ปรากฏบนแผนที่ฉบับนี้เป็นเส้นเขตแดนที่ถูกต้องระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา

ประเทศไทยจึงได้ส่งคืนตัวปราสาทพร้อมทั้งกำหนดบริเวณเพื่อจะให้กัมพูชาได้มีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารตามคำตัดสินแล้วตั้งแต่ พ.ศ.2505 จึงถือว่าไม่มีพันธกรณีใดๆอีกแล้ว ที่ไทยจะต้องปฏิบัติตามอีก และนับตั้งแต่ได้ค้นพบความผิดพลาดของแผนที่ 1:200,000 เป็นต้นมา ประเทศไทยก็ไม่เคยยอมรับแผนที่ฉบับดังกล่าวอีก  ดังนั้น การดำเนินการใดๆ ของรัฐบาลและข้าราชการในปัจจุบัน ที่เป็นการกลับไปยอมรับแผนที่ฉบับนี้อีกครั้ง ย่อมเป็นความผิดและเป็นความรับผิดของผู้ที่เกี่ยวข้องในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ความผิดของคนในอดีต

                ข้อมูลต่างๆปรากฏชัดเจนอย่างนี้ หากรัฐสภาไทยไม่ยกเลิกเพิกถอนมติรัฐสภา วันที่ 28 ตุลาคม 2551 และการกระทำใดๆ ที่มีการยอมรับแผนที่ฝรั่งเศส 1:200,000 ทั้งก่อนหน้าและภายหลัง ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา  และหากรัฐสภาให้การรับรองร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย กัมพูชา จากผลการประชุมเจรจาของ JBC  หลังวันที่ 28 ตุลาคม 2551 เมื่อไหร่ ความผิดสถานเดียวคือ เจตนาแบ่งแยกราชอาณาจักรไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง