บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การเมืองกับมรดกโลกกดดันให้ ฮุน เซน ต้องดิ้น

 












          ภาพ ของตำรวจกัมพูชาถือไม้พองไล่ตีประชาชนชาวเขมรและการใช้รถแทร็คเตอร์เข้ารื้อ ถอนบ้านและที่อยู่อาศัยเพื่อขับไล่ประชาชนชาวเขมรนับแสนคนให้ออกไปจากที่ดิน แปลงใหญ่หลายแห่งที่อยู่รอบกรุงพนมเปญที่รัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของ ฮุน เซน ได้ให้สัมปทานระยะยาวถึง 99 ปี แก่กลุ่มนักลงทุนจากจีน เกาหลีใต้ และมาเลเซียนั้น ได้กลายเป็นภาพที่ชินตาของชาวเขมรไปแล้วเนื่องจากว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นบ่อยที่สุดในกัมพูชานับเป็นเวลาเกือบ 10 ปีมาแล้ว

ยิ่ง ไปกว่านั้น การที่รัฐสภากัมพูชาที่ถูกควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จโดยพรรคประชาชนกัมพูชาของ ฮุน เซน ได้ผ่านร่างกฎหมายที่ว่าด้วยการอนุญาตให้ชาวต่างชาติมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ อาคารชุดได้ในสัดส่วน 49% ของ แต่ละโครงการด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ประชาชนชาวเขมรต้องถูกไล่ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยน้ำมือของนัก การเมืองและกลุ่มธุรกิจการเมืองในสังกัดพรรคประชาชนกัมพูชาของ ฮุน เซน นั่นเอง

โดย สำหรับการไล่ที่ในกัมพูชานั้นถือเป็นอำนาจโดยชอบธรรมตามกฎหมายของรัฐบาล ฮุน เซน เนื่อง จากว่าในความเป็นจริงแล้วชาวเขมรส่วนใหญ่ในกรุงพนมเปญนั้นจะไม่มีเอกสาร สิทธิ์อย่างใดๆเลยในที่ดินและที่อยู่อาศัยที่พวกตนครอบครองนับตั้งแต่ปี 1979 เป็นต้นมาแล้ว เพราะในช่วงที่ฝ่ายเขมรแดงครองอำนาจทางการเมืองในกัมพูชาจากปี 1975 ถึงต้นปี 1979 นั้น เขมรแดงไม่เพียงจะกวาดต้อนผู้คนทั้งหมดให้ออกไปจากกรุงพนมเปญเท่านั้น หากแต่ด้วยการบีบบังคับให้ผู้ที่ถูกกวาดต้อนเหล่านั้นต้องทำงานหนักจนล้มตาย ไปเป็นจำนวนมากนั้น ก็ยังหมายถึงการทำให้ตึกรามบ้านช่องต่างๆ ที่อยู่ในกรุงพนมเปญนั้นกลายเป็นทรัพย์สินที่ปราศจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ไปโดย ปริยายอีกด้วย

ครั้น เมื่อเวียดนามได้กรีฑาทัพเข้ายึดกรุงพนมเปญและไล่บดขยี้เขมรแดงจนต้องถอยล่น มาประชิดชาย แดนที่ติดต่อกับไทย แล้วก็ติดตามด้วยการสนับสนุนให้เขมรฝ่ายเฮง สัมริน – เจีย ซิม และ ฮุน เซน ขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองในกัมพูชาในต้นปี 1979 นั้น จึงทำให้ประชาชนชาวเขมรจำนวนมากต่างก็เข้าจับจองเอาตึกรามบ้านช่องที่ไร้ เจ้าของนั้นมาเป็นของตนเองด้วยเช่นกัน แต่ก็ด้วยการครอบครองโดยที่ไม่มีสิทธิ์อย่างใดๆเลย และเมื่อประกอบกับธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ในกรุงพนมเปญได้ขยายตัวมากขึ้น อย่างต่อเนื่องในตลอดช่วง 1 ทศวรรษ มานี้ จึงทำให้ชาวเขมรที่ไม่มีสิทธิ์เหล่านี้ต้องถูกอำนาจที่ล้นเหลือของ ฮุน เซน นั้นขับไล่ให้ออกไปจากบ้านที่พวกเขาได้อยู่อาศัย มากว่า 30 ปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เครือข่ายองค์การคุ้มครองทางด้านสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา รายงานว่าเฉพาะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ รัฐ บาลของ ฮุน เซน ได้ไล่ที่ซึ่งเป็นเหตุทำให้ประชาชนชาวเขมรต้องกลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัยแล้วมากกว่า 2 แสนคน แต่ถ้าหากจะนับจากปี 1998 ที่ ฮุน เซน ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพียงหนึ่งเดียว (หลังจากที่ต้องทนเป็นนายกรัฐมนตรีอันดับที่ 2 รองจาก เจ้านโรดม รณฤทธิ์ หัวหน้าพรรคฟุนซินเปกในขณะนั้น นับเป็นเวลากว่า 4 ปี) นั้น ก็ปรากฏว่า ฮุน เซน ได้ทำให้ประชาชนชาวเขมรเกือบ 4 แสนคนต้องกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัยไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

อย่าง ไรก็ตาม การที่เครือข่ายองค์การคุ้มครองทางด้านสิทธิมนุษยชนได้ออกมาเคลื่อนไหวและ เปิดเผยข้อมูลในลักษณะเช่นว่านี้ต่อสาธารณชนและนานาชาติดังกล่าวนี้ แทนที่ว่าจะเป็นสิ่งกระตุ้นเตือนเพื่อที่ว่าจะทำให้ ฮุน เซน ต้องคิดหาทางแก้ไขและให้การช่วยเหลือแก่ประชาชนชาวเขมรเหล่านี้ แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ ฮุน เซน กำลังทำเป็นอย่างแรกอยู่ในเวลานี้ ก็คือการผลักดันร่างกฎหมายเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวขององค์กรอิสระเหล่านี้ ในกัมพูชาออกมาบังคับใช้ให้เร็วที่สุด ซึ่งนับเป็นกรณีที่ทำให้ ฮุน เซน ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งภายในและต่างประเทศอย่างกว้างขวางในเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐอเมริกานั้นถึงกับขู่ว่าจะตัดความช่วยเหลือที่ให้แก่รัฐบาล ฮุน เซน เลยทีเดียว

เพราะ ฉะนั้น การที่ ฮุน เซน ได้พยายามกระทำในทุกวิถีทางเพื่อผลักดันให้ความขัดแย้งกับไทยอันเกี่ยว เนื่องกับเขตแดนและกรณีปราสาทพระวิหาร (มรดกโลกของ ฮุน เซน) ไปสู่เวทีสากลนั้น จึงไม่ได้หวังเพียงการเข้ามาของมหาอำนาจว่าจะทำให้กัมพูชาเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบไทยเหมือนกับในอดีตเมื่อ 49 ปี ก่อน ซึ่งศาลระหว่างประเทศได้ตัดสินให้กัมพูชาได้ครอบครองปราสาทพระวิหารแต่เพียง ฝ่ายเดียวเท่า นั้น หากแต่ ฮุน เซน ยังต้องการที่จะสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของฝ่ายค้าน และกลบกระแสเสียงกร่นด่า ของชาวเขมรที่มีต่อการนำของ ฮุน เซน อีกด้วย

แน่ นอนว่าความผิดพลาดของ ฮุน เซน ย่อมมิใช่เพียงเรื่องปัญหาการไล่ที่ประชาชนชาวเขมรเท่านั้นแต่ยังมีอยู่ อย่างมากมายที่ฝ่ายค้านสามารถที่จะหยิบยกขึ้นมาใช้เป็นประเด็นสำคัญเพื่อ บ่อนทำลาย ฮุน เซน ในทางการเมืองได้ อย่างเช่นการที่ให้สถานีโทรทัศน์ “บายน” ของ ฮุน มานา บุตรสาวแสนสวยสุดที่รักของ ฮุน เซน นั้นได้ระดมเงินบริจาคได้มากกว่า 2 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวชาวเขมรที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุ โศกนาฏกรรมในช่วงเทศกาลลอยกระทงปีที่แล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผลทำให้ภาพลักษณ์ในการเป็นผู้นำของ ฮุน เซน ดีขึ้นแต่อย่างใดเลย

ซึ่ง นั่นก็เป็นเพราะว่า ฮุน เซน ไม่เพียงจะออกมาประกาศปัดความรับผิดชอบในฐานะผู้นำรัฐบาลและยังได้แสดงท่าที ปกป้องพลพรรคของตนที่จะต้องร่วมรับผิดชอบในฐานะคณะผู้ปกครองกรุงพนมเปญเท่า นั้น หากแต่ล่าสุดการปัดความรับผิดชอบเช่นว่านี้ก็ยังได้ลุกลามไปถึงสภาแห่งชาติ กัมพูชาอีกด้วย เมื่อปรากฏว่า เฮง สัมริน ประธานสภาแห่งชาติ ผู้ซึ่งอยู่ใต้ชายคาพรรคประชาชนกัมพูชาของ ฮุน เซน ที่ครองเสียงข้างมากจนสามารถผูกขาดอำนาจในสภาแห่งชาติได้อย่างเบ็ดเสร็จนั้น ได้ปฏิเสธคำร้องของฝ่ายค้าน ที่ขอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อสืบสวน-สอบสวนหาสาเหตุที่ก่อให้เกิดเหตุ โศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้น

อย่าง ไรก็ตาม การปฏิเสธความรับผิดชอบของ ฮุน เซน และพรรคประชาชนกัมพูชาดังกล่าวก็หาได้ทำ ให้เรื่องราวมีอันต้องจบลงไปง่ายๆ แต่อย่างใดไม่ เพราะฝ่ายค้านกล่าวก็คือ พรรคสัม รังสี และพรรคสิทธิมนุษยชนนั้นได้ใช้เป็นโอกาสในการขยายผลไปสู่การบ่อนทำลายทางการ เมืองต่อ ฮุน เซน และพรรคประชาชนกัมพูชา ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ด้วยการประสานความร่วมมือกับองค์กรสิทธิมนุษยชนในกัมพูชาและต่าง ประเทศในการจัดตั้งคณะกรรมการที่เป็นอิสระจากรัฐบาลของ ฮุน เซน ขึ้นมารับผิดชอบในการค้นหาความจริงที่ก่อให้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมดังกล่าวแล้ว

การ เดินเกมรุกของฝ่ายค้านทางการเมืองในกัมพูชาดังกล่าวนี้นับได้ว่าเป็นการ เคลื่อนไหวที่ฉลาดมากครั้งหนึ่ง เนื่องจากรู้ว่าการจัดตั้งคณะกรรมการที่เป็นอิสระจากรัฐบาลขึ้นมาเพื่อสืบ ค้นหาความจริงที่ก่อให้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมครั้งล่าสุดนี้ ย่อมจะไม่ถูกขัดขวางจากทางฝ่ายรัฐบาลของ ฮุน เซน อย่างแน่นอน เพราะถ้าหากฝ่ายรัฐบาลของ ฮุน เซน จะกระทำเช่นนั้นย่อมจะถูกมองว่ารัฐบาลของ ฮุน เซน นั้นได้พยายามกระทำในทุกวิถีทางเพื่อปกปิดความบกพร่องของฝ่ายตน โดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียของครอบครัวผู้ที่เสียชีวิตไปกว่า 350 ศพนั่นเอง

ส่วน กรณีที่เกี่ยวกับปราสาทพระวิหารนั้น ผลที่เกิดจากความผิดพลาดโดยตรงของ ฮุน เซน ก็คือการที่เขาได้ใช้ความสำเร็จจากการเจรจาต่อรองจนทำให้ UNESCO รับรอง ให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้นมารับใช้ผลประโยชน์ทางการเมืองของเขาและ พรรคประชาชนกัมพูชาโดยแท้ ซึ่งนั่นก็คือการที่ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่า สุดเมื่อกลางปี 2008 ที่ ผ่านมา ทั้งๆที่ในช่วงก่อนหน้านั้นผลจากการหยั่งเสียงของทุกสำนักต่างได้ผลลัพธ์ เป็นอย่างเดียวกัน นั่นก็คือผู้ที่ชาวเขมรอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชามากที่สุดในเวลา นั้นคือ สัม รังสี

เพราะว่าการบริหารของรัฐบาล ฮุน เซน ในช่วงปี 2003-2008 นั้น นอกจากจะสร้างปัญหาด้วยการไล่ที่ของประชาชนชาวเขมรตาดำๆหลายแสนคนเพื่อนำเอา ที่ดินไปให้นายทุนสร้างตึกและอาคารชุดแล้ว ยังมีปัญหาที่เกี่ยวกับการกดค่าจ้างและลดค่าล่วงเวลาของแรงงานเพื่อเอาใจนาย ทุนในช่วงที่มีปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลก การถูกครหาและสงสัยว่ายินยอมเสียผืนแผ่นดินให้กับฝ่ายเวียดนาม และความล้มเหลวในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงการรัฐบาลอีกด้วย

แต่ ครั้นเมื่อการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารได้เข้ามาช่วยชีวิต ฮุน เซน และพรรคประชาชนฯไว้เช่นนี้กลับยิ่งทำให้เกิดการเผชิญหน้ากับรัฐบาลไทยมาก ขึ้นถึงขนาดทำให้ไม่ได้ผลประโยชน์อันใดเลยจากการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระ วิหารในตลอดช่วงเกือบ 3 ปี มานี้ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะความผิดพลาดของ ฮุน เซน อีกเช่นเคยเนื่องจาก ฮุน เซน ได้แสดงความอหังการ์ประกาศกร้าวเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย มิหนำซ้ำยังได้แสดงการสนับสนุนฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายของ อภิสิทธิ์ อย่างชัดเจนด้วยการแต่งตั้งให้ ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษานโยบายด้านเศรษฐกิจของตนเองและรัฐบาลกัมพูชาอีกต่างหาก

ยิ่ง เมื่อต้องตกเป็นเป้าหมายของการที่จะถูกเล่นงานจากทางฝ่ายของ สัม รังสี ที่กำลังจะหวนกลับไปจับมือกับเจ้านโรดม รณฤทธิ์ ที่เพิ่งจะประกาศหวนคืนสู่การเมืองอีกครั้งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากมากขึ้นไปอีก

ทั้ง นี้ก็เนื่องจากว่าปมเขื่องที่ฝ่ายของ สัม รังสี ได้นำเสนออย่างสดๆร้อนๆในเวลานี้ ก็คือการเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเขตแดนของกัมพูชากับประเทศ เพื่อนบ้าน (ไม่เฉพาะกับไทยเท่า นั้นแต่ยังรวมถึงเวียดนามและลาวด้วย) ที่ เป็นอิสระจากรัฐบาลของ ฮุน เซน แต่กลับปรากฏว่า ฮุน เซน ได้ปฏิเสธข้อเสนอที่ว่านี้ไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่าเรื่องเกี่ยวกับเขตแดนเป็นเรื่องทางเทคนิคที่จะต้องใช้ผู้ ที่มีความรู้ความชำนาญการเป็นพิเศษเท่านั้น

ครั้น แล้วการปฏิเสธเช่นนี้ของ ฮุน เซน กลับยิ่งทำให้ประชาชนชาวเขมรในวงกว้างได้ตั้งคำถามและข้อสงสัยว่าสาเหตุที่ ฮุน เซน ได้ปฏิเสธข้อเสนอของฝ่ายค้านเช่นนี้เป็นเพราะต้องการปกปิดสิ่งที่ได้ตกลง ร่วมกับฝ่ายเวียดนามเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนระหว่างกันไปแล้วหรือไม่
แน่ นอนว่า ฮุน เซน ย่อมที่จะต้องปฏิเสธข้อสงสัยดังกล่าวอยู่แล้วแต่ว่าการปฏิเสธก็ย่อมจะไม่ สามารถทำให้ข้อสงสัยเหล่านี้หายไปจากความคิดของชาวเขมรได้แต่อย่างใด จึงมีแต่การขยายความขัดแย้งที่มีอยู่กับไทยให้เป็นเรื่องใหญ่เท่านั้น จึงจะสามารถกลบเกลื่อนเรื่องทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิผล ทั้งนี้ด้วยการสร้างภาพให้ไทยมีสถานะเป็นทั้งผู้รุกรานอธิปไตยและขัด ขวางมรดกโลกของกัมพูชานั่นเอง

ส่วน การจัดการกับ สัม รังสี นั้น ฮุน เซน ก็ได้เลือกใช้บริการจากอำนาจฝ่ายตุลาการที่เขาใช้เพื่อบ่อนทำลายคู่ต่อสู้ ทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดก็ปรากฏว่าศาลอาญาที่กรุงพนมเปญได้ตัดสินจำคุก สัม รังสี เป็นเวลา 2 ปี ในข้อหาหมิ่นประมาท ฮอร์ นัมฮง ว่าเป็นอดีตผู้คุมสถานกักกันเชลยของเขมรแดง ซึ่งถ้าหากรวมกับคดีอื่นๆที่ศาลของ ฮุน เซน ได้ตัดสินโทษต่อ สัม รังสี ไปแล้วนั้นก็รวมกันได้เกินกว่า 10 ปีแล้วนั่นก็หมายความว่า สัม รังสี จะไม่สามารถกลับไปลงเลือกตั้งได้ถึง 2 สมัยเป็นอย่างน้อยเลยทีเดียว และเมื่อถึงตอนนั้น สัม รังสี ก็มีอายุเลย 70 ปีไปแล้ว ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับ ฮุน เซน ถ้าหากว่าไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน!!!
ทรงฤทธิ์ โพนเงิน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง