ภาพ
ของตำรวจกัมพูชาถือไม้พองไล่ตีประชาชนชาวเขมรและการใช้รถแทร็คเตอร์เข้ารื้อ
ถอนบ้านและที่อยู่อาศัยเพื่อขับไล่ประชาชนชาวเขมรนับแสนคนให้ออกไปจากที่ดิน
แปลงใหญ่หลายแห่งที่อยู่รอบกรุงพนมเปญที่รัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของ ฮุน
เซน ได้ให้สัมปทานระยะยาวถึง 99 ปี
แก่กลุ่มนักลงทุนจากจีน เกาหลีใต้ และมาเลเซียนั้น
ได้กลายเป็นภาพที่ชินตาของชาวเขมรไปแล้วเนื่องจากว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิด
ขึ้นบ่อยที่สุดในกัมพูชานับเป็นเวลาเกือบ 10 ปีมาแล้ว
ยิ่ง
ไปกว่านั้น
การที่รัฐสภากัมพูชาที่ถูกควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จโดยพรรคประชาชนกัมพูชาของ
ฮุน เซน
ได้ผ่านร่างกฎหมายที่ว่าด้วยการอนุญาตให้ชาวต่างชาติมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ
อาคารชุดได้ในสัดส่วน 49% ของ
แต่ละโครงการด้วยแล้ว
ก็ยิ่งทำให้ประชาชนชาวเขมรต้องถูกไล่ที่มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยน้ำมือของนัก
การเมืองและกลุ่มธุรกิจการเมืองในสังกัดพรรคประชาชนกัมพูชาของ ฮุน เซน
นั่นเอง
โดย
สำหรับการไล่ที่ในกัมพูชานั้นถือเป็นอำนาจโดยชอบธรรมตามกฎหมายของรัฐบาล ฮุน
เซน เนื่อง
จากว่าในความเป็นจริงแล้วชาวเขมรส่วนใหญ่ในกรุงพนมเปญนั้นจะไม่มีเอกสาร
สิทธิ์อย่างใดๆเลยในที่ดินและที่อยู่อาศัยที่พวกตนครอบครองนับตั้งแต่ปี 1979 เป็นต้นมาแล้ว เพราะในช่วงที่ฝ่ายเขมรแดงครองอำนาจทางการเมืองในกัมพูชาจากปี 1975 ถึงต้นปี 1979 นั้น
เขมรแดงไม่เพียงจะกวาดต้อนผู้คนทั้งหมดให้ออกไปจากกรุงพนมเปญเท่านั้น
หากแต่ด้วยการบีบบังคับให้ผู้ที่ถูกกวาดต้อนเหล่านั้นต้องทำงานหนักจนล้มตาย
ไปเป็นจำนวนมากนั้น ก็ยังหมายถึงการทำให้ตึกรามบ้านช่องต่างๆ
ที่อยู่ในกรุงพนมเปญนั้นกลายเป็นทรัพย์สินที่ปราศจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ไปโดย
ปริยายอีกด้วย
ครั้น
เมื่อเวียดนามได้กรีฑาทัพเข้ายึดกรุงพนมเปญและไล่บดขยี้เขมรแดงจนต้องถอยล่น
มาประชิดชาย แดนที่ติดต่อกับไทย แล้วก็ติดตามด้วยการสนับสนุนให้เขมรฝ่ายเฮง
สัมริน – เจีย ซิม และ ฮุน เซน ขึ้นมามีอำนาจทางการเมืองในกัมพูชาในต้นปี 1979 นั้น
จึงทำให้ประชาชนชาวเขมรจำนวนมากต่างก็เข้าจับจองเอาตึกรามบ้านช่องที่ไร้
เจ้าของนั้นมาเป็นของตนเองด้วยเช่นกัน
แต่ก็ด้วยการครอบครองโดยที่ไม่มีสิทธิ์อย่างใดๆเลย
และเมื่อประกอบกับธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ในกรุงพนมเปญได้ขยายตัวมากขึ้น
อย่างต่อเนื่องในตลอดช่วง 1 ทศวรรษ
มานี้ จึงทำให้ชาวเขมรที่ไม่มีสิทธิ์เหล่านี้ต้องถูกอำนาจที่ล้นเหลือของ
ฮุน เซน นั้นขับไล่ให้ออกไปจากบ้านที่พวกเขาได้อยู่อาศัย มากว่า 30 ปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เครือข่ายองค์การคุ้มครองทางด้านสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา รายงานว่าเฉพาะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ รัฐ บาลของ ฮุน เซน ได้ไล่ที่ซึ่งเป็นเหตุทำให้ประชาชนชาวเขมรต้องกลายเป็นผู้ไร้ที่อยู่อาศัยแล้วมากกว่า 2 แสนคน แต่ถ้าหากจะนับจากปี 1998 ที่ ฮุน เซน ได้เป็นนายกรัฐมนตรีเพียงหนึ่งเดียว (หลังจากที่ต้องทนเป็นนายกรัฐมนตรีอันดับที่ 2 รองจาก เจ้านโรดม รณฤทธิ์ หัวหน้าพรรคฟุนซินเปกในขณะนั้น นับเป็นเวลากว่า 4 ปี) นั้น ก็ปรากฏว่า ฮุน เซน ได้ทำให้ประชาชนชาวเขมรเกือบ 4 แสนคนต้องกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัยไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
อย่าง
ไรก็ตาม
การที่เครือข่ายองค์การคุ้มครองทางด้านสิทธิมนุษยชนได้ออกมาเคลื่อนไหวและ
เปิดเผยข้อมูลในลักษณะเช่นว่านี้ต่อสาธารณชนและนานาชาติดังกล่าวนี้
แทนที่ว่าจะเป็นสิ่งกระตุ้นเตือนเพื่อที่ว่าจะทำให้ ฮุน เซน
ต้องคิดหาทางแก้ไขและให้การช่วยเหลือแก่ประชาชนชาวเขมรเหล่านี้
แต่กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ ฮุน เซน กำลังทำเป็นอย่างแรกอยู่ในเวลานี้
ก็คือการผลักดันร่างกฎหมายเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวขององค์กรอิสระเหล่านี้
ในกัมพูชาออกมาบังคับใช้ให้เร็วที่สุด ซึ่งนับเป็นกรณีที่ทำให้ ฮุน เซน
ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งภายในและต่างประเทศอย่างกว้างขวางในเวลานี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
สหรัฐอเมริกานั้นถึงกับขู่ว่าจะตัดความช่วยเหลือที่ให้แก่รัฐบาล ฮุน เซน
เลยทีเดียว
เพราะ
ฉะนั้น การที่ ฮุน เซน
ได้พยายามกระทำในทุกวิถีทางเพื่อผลักดันให้ความขัดแย้งกับไทยอันเกี่ยว
เนื่องกับเขตแดนและกรณีปราสาทพระวิหาร (มรดกโลกของ ฮุน เซน) ไปสู่เวทีสากลนั้น จึงไม่ได้หวังเพียงการเข้ามาของมหาอำนาจว่าจะทำให้กัมพูชาเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบไทยเหมือนกับในอดีตเมื่อ 49 ปี
ก่อน
ซึ่งศาลระหว่างประเทศได้ตัดสินให้กัมพูชาได้ครอบครองปราสาทพระวิหารแต่เพียง
ฝ่ายเดียวเท่า นั้น หากแต่ ฮุน เซน
ยังต้องการที่จะสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของฝ่ายค้าน และกลบกระแสเสียงกร่นด่า
ของชาวเขมรที่มีต่อการนำของ ฮุน เซน อีกด้วย
แน่
นอนว่าความผิดพลาดของ ฮุน เซน
ย่อมมิใช่เพียงเรื่องปัญหาการไล่ที่ประชาชนชาวเขมรเท่านั้นแต่ยังมีอยู่
อย่างมากมายที่ฝ่ายค้านสามารถที่จะหยิบยกขึ้นมาใช้เป็นประเด็นสำคัญเพื่อ
บ่อนทำลาย ฮุน เซน ในทางการเมืองได้ อย่างเช่นการที่ให้สถานีโทรทัศน์
“บายน” ของ ฮุน มานา บุตรสาวแสนสวยสุดที่รักของ ฮุน เซน
นั้นได้ระดมเงินบริจาคได้มากกว่า 2 ล้าน
ดอลลาร์สหรัฐ
เพื่อช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวชาวเขมรที่เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจากเหตุ
โศกนาฏกรรมในช่วงเทศกาลลอยกระทงปีที่แล้ว
แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผลทำให้ภาพลักษณ์ในการเป็นผู้นำของ ฮุน เซน
ดีขึ้นแต่อย่างใดเลย
ซึ่ง
นั่นก็เป็นเพราะว่า ฮุน เซน
ไม่เพียงจะออกมาประกาศปัดความรับผิดชอบในฐานะผู้นำรัฐบาลและยังได้แสดงท่าที
ปกป้องพลพรรคของตนที่จะต้องร่วมรับผิดชอบในฐานะคณะผู้ปกครองกรุงพนมเปญเท่า
นั้น
หากแต่ล่าสุดการปัดความรับผิดชอบเช่นว่านี้ก็ยังได้ลุกลามไปถึงสภาแห่งชาติ
กัมพูชาอีกด้วย เมื่อปรากฏว่า เฮง สัมริน ประธานสภาแห่งชาติ
ผู้ซึ่งอยู่ใต้ชายคาพรรคประชาชนกัมพูชาของ ฮุน เซน
ที่ครองเสียงข้างมากจนสามารถผูกขาดอำนาจในสภาแห่งชาติได้อย่างเบ็ดเสร็จนั้น
ได้ปฏิเสธคำร้องของฝ่ายค้าน
ที่ขอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อสืบสวน-สอบสวนหาสาเหตุที่ก่อให้เกิดเหตุ โศกนาฏกรรมดังกล่าวขึ้น
อย่าง
ไรก็ตาม การปฏิเสธความรับผิดชอบของ ฮุน เซน
และพรรคประชาชนกัมพูชาดังกล่าวก็หาได้ทำ ให้เรื่องราวมีอันต้องจบลงไปง่ายๆ
แต่อย่างใดไม่ เพราะฝ่ายค้านกล่าวก็คือ พรรคสัม รังสี
และพรรคสิทธิมนุษยชนนั้นได้ใช้เป็นโอกาสในการขยายผลไปสู่การบ่อนทำลายทางการ
เมืองต่อ ฮุน เซน และพรรคประชาชนกัมพูชา ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ด้วยการประสานความร่วมมือกับองค์กรสิทธิมนุษยชนในกัมพูชาและต่าง
ประเทศในการจัดตั้งคณะกรรมการที่เป็นอิสระจากรัฐบาลของ ฮุน เซน
ขึ้นมารับผิดชอบในการค้นหาความจริงที่ก่อให้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมดังกล่าวแล้ว
การ
เดินเกมรุกของฝ่ายค้านทางการเมืองในกัมพูชาดังกล่าวนี้นับได้ว่าเป็นการ
เคลื่อนไหวที่ฉลาดมากครั้งหนึ่ง
เนื่องจากรู้ว่าการจัดตั้งคณะกรรมการที่เป็นอิสระจากรัฐบาลขึ้นมาเพื่อสืบ
ค้นหาความจริงที่ก่อให้เกิดเหตุโศกนาฏกรรมครั้งล่าสุดนี้
ย่อมจะไม่ถูกขัดขวางจากทางฝ่ายรัฐบาลของ ฮุน เซน อย่างแน่นอน
เพราะถ้าหากฝ่ายรัฐบาลของ ฮุน เซน จะกระทำเช่นนั้นย่อมจะถูกมองว่ารัฐบาลของ
ฮุน เซน นั้นได้พยายามกระทำในทุกวิถีทางเพื่อปกปิดความบกพร่องของฝ่ายตน
โดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียของครอบครัวผู้ที่เสียชีวิตไปกว่า 350 ศพนั่นเอง
ส่วน
กรณีที่เกี่ยวกับปราสาทพระวิหารนั้น ผลที่เกิดจากความผิดพลาดโดยตรงของ ฮุน
เซน ก็คือการที่เขาได้ใช้ความสำเร็จจากการเจรจาต่อรองจนทำให้ UNESCO รับรอง
ให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้นมารับใช้ผลประโยชน์ทางการเมืองของเขาและ
พรรคประชาชนกัมพูชาโดยแท้
ซึ่งนั่นก็คือการที่ได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่า
สุดเมื่อกลางปี 2008 ที่
ผ่านมา
ทั้งๆที่ในช่วงก่อนหน้านั้นผลจากการหยั่งเสียงของทุกสำนักต่างได้ผลลัพธ์
เป็นอย่างเดียวกัน
นั่นก็คือผู้ที่ชาวเขมรอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีของกัมพูชามากที่สุดในเวลา
นั้นคือ สัม รังสี
เพราะว่าการบริหารของรัฐบาล ฮุน เซน ในช่วงปี 2003-2008 นั้น
นอกจากจะสร้างปัญหาด้วยการไล่ที่ของประชาชนชาวเขมรตาดำๆหลายแสนคนเพื่อนำเอา
ที่ดินไปให้นายทุนสร้างตึกและอาคารชุดแล้ว
ยังมีปัญหาที่เกี่ยวกับการกดค่าจ้างและลดค่าล่วงเวลาของแรงงานเพื่อเอาใจนาย
ทุนในช่วงที่มีปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลก
การถูกครหาและสงสัยว่ายินยอมเสียผืนแผ่นดินให้กับฝ่ายเวียดนาม
และความล้มเหลวในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงการรัฐบาลอีกด้วย
แต่
ครั้นเมื่อการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระวิหารได้เข้ามาช่วยชีวิต ฮุน เซน
และพรรคประชาชนฯไว้เช่นนี้กลับยิ่งทำให้เกิดการเผชิญหน้ากับรัฐบาลไทยมาก
ขึ้นถึงขนาดทำให้ไม่ได้ผลประโยชน์อันใดเลยจากการเป็นมรดกโลกของปราสาทพระ
วิหารในตลอดช่วงเกือบ 3 ปี
มานี้ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะความผิดพลาดของ ฮุน เซน อีกเช่นเคยเนื่องจาก ฮุน
เซน ได้แสดงความอหังการ์ประกาศกร้าวเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองกับ อภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย
มิหนำซ้ำยังได้แสดงการสนับสนุนฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับฝ่ายของ อภิสิทธิ์
อย่างชัดเจนด้วยการแต่งตั้งให้ ทักษิณ ชินวัตร
เป็นที่ปรึกษานโยบายด้านเศรษฐกิจของตนเองและรัฐบาลกัมพูชาอีกต่างหาก
ยิ่ง
เมื่อต้องตกเป็นเป้าหมายของการที่จะถูกเล่นงานจากทางฝ่ายของ สัม รังสี
ที่กำลังจะหวนกลับไปจับมือกับเจ้านโรดม รณฤทธิ์
ที่เพิ่งจะประกาศหวนคืนสู่การเมืองอีกครั้งเมื่อปลายปีที่ผ่านมาด้วยแล้ว
ก็ยิ่งทำให้ ฮุน เซน ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากมากขึ้นไปอีก
ทั้ง
นี้ก็เนื่องจากว่าปมเขื่องที่ฝ่ายของ สัม รังสี
ได้นำเสนออย่างสดๆร้อนๆในเวลานี้
ก็คือการเสนอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเขตแดนของกัมพูชากับประเทศ
เพื่อนบ้าน (ไม่เฉพาะกับไทยเท่า นั้นแต่ยังรวมถึงเวียดนามและลาวด้วย) ที่
เป็นอิสระจากรัฐบาลของ ฮุน เซน แต่กลับปรากฏว่า ฮุน เซน
ได้ปฏิเสธข้อเสนอที่ว่านี้ไปแล้ว
โดยให้เหตุผลว่าเรื่องเกี่ยวกับเขตแดนเป็นเรื่องทางเทคนิคที่จะต้องใช้ผู้
ที่มีความรู้ความชำนาญการเป็นพิเศษเท่านั้น
ครั้น
แล้วการปฏิเสธเช่นนี้ของ ฮุน เซน
กลับยิ่งทำให้ประชาชนชาวเขมรในวงกว้างได้ตั้งคำถามและข้อสงสัยว่าสาเหตุที่
ฮุน เซน
ได้ปฏิเสธข้อเสนอของฝ่ายค้านเช่นนี้เป็นเพราะต้องการปกปิดสิ่งที่ได้ตกลง
ร่วมกับฝ่ายเวียดนามเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนระหว่างกันไปแล้วหรือไม่
แน่
นอนว่า ฮุน เซน
ย่อมที่จะต้องปฏิเสธข้อสงสัยดังกล่าวอยู่แล้วแต่ว่าการปฏิเสธก็ย่อมจะไม่
สามารถทำให้ข้อสงสัยเหล่านี้หายไปจากความคิดของชาวเขมรได้แต่อย่างใด
จึงมีแต่การขยายความขัดแย้งที่มีอยู่กับไทยให้เป็นเรื่องใหญ่เท่านั้น
จึงจะสามารถกลบเกลื่อนเรื่องทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิผล
ทั้งนี้ด้วยการสร้างภาพให้ไทยมีสถานะเป็นทั้งผู้รุกรานอธิปไตยและขัด
ขวางมรดกโลกของกัมพูชานั่นเอง
ส่วน
การจัดการกับ สัม รังสี นั้น ฮุน เซน
ก็ได้เลือกใช้บริการจากอำนาจฝ่ายตุลาการที่เขาใช้เพื่อบ่อนทำลายคู่ต่อสู้
ทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง
โดยล่าสุดก็ปรากฏว่าศาลอาญาที่กรุงพนมเปญได้ตัดสินจำคุก สัม รังสี เป็นเวลา
2 ปี
ในข้อหาหมิ่นประมาท ฮอร์ นัมฮง ว่าเป็นอดีตผู้คุมสถานกักกันเชลยของเขมรแดง
ซึ่งถ้าหากรวมกับคดีอื่นๆที่ศาลของ ฮุน เซน ได้ตัดสินโทษต่อ สัม รังสี
ไปแล้วนั้นก็รวมกันได้เกินกว่า 10 ปีแล้วนั่นก็หมายความว่า สัม รังสี จะไม่สามารถกลับไปลงเลือกตั้งได้ถึง 2 สมัยเป็นอย่างน้อยเลยทีเดียว และเมื่อถึงตอนนั้น สัม รังสี ก็มีอายุเลย 70 ปีไปแล้ว ซึ่งก็เช่นเดียวกันกับ ฮุน เซน ถ้าหากว่าไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน!!!
ทรงฤทธิ์ โพนเงิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น